ต่อจาก
ตอนที่ 1.. และ
ตอนที่ 2.. ก็เหมือนฟ้าลิขิต เช้าวันหนึ่งพี่เม่ยก็ได้เห็นครอบครัวหมาที่แสนน่ารัก อยู่ที่บ้านหน้าปากซอยบ้านนี่เอง ครอบครัวมันมีทั้งหมด 4 ตัว สีดำ1 ตัว สีขาว 2 ตัว และสีน้ำตาลใส่ถุงเท้าขาว 1 ตัว ขนปุกปุย จึงรีบบอกคุณพ่อบ้านว่า เจอแล้วนะ และบอกด้วยว่าเรา
"ปิ๊ง" เจ้าตัวสีน้ำตาลถุงเท้าขาวเพราะถูกตาต้องใจเข้าให้แล้ว ให้ไปดำเนินการตามแผนโดยด่วน
ตัวผู้หรือตัวเมียก็ "ไม่ผรื่อ"
คุณพ่อก็ไม่รอช้ารีบชวนลูกยิ้มขับรถไปดูทันที วันแรกไปคุยกับเจ้าของเขาก่อน เจ้าของก็ใจดียกให้เลย แถมบอกให้รีบๆเอาไปเสียก่อนที่จะเป็น ขี้เรื้อน ด้วย สองพ่อลูกดีอกดีใจกลับมาบอกให้พี่เม่ยเตรียมจัดบ้านจัดช่องต้อนรับสมาชิกใหม่ พอเช้าวันรุ่งขึ้นขับรถผ่านไปก็ไม่เห็นเจ้าตัวน้อยทั้งสี่ ไม่เป็นไรเดี๋ยวเย็นนี้ก็ได้เจอกันแล้ว
พอตกเย็นนั้นบ้านเราก็ได้ต้อนรับสมาชิกใหม่ เป็นลูกหมาไทยสีน้ำตาลขนเกรียนเพศเมีย ท่าทางตื่นตระหนก คุณพ่อบอกว่าเจ้าของเขาการันตีมาแล้วว่า เจ้านี่ฉลาดที่สุดในครอกนี้เลยค่ะ พี่เม่ยกับน้องจิ้นก็ช่วยกันอาบน้ำอาบท่า หาข้าวหาปลาให้กินอิ่มหนำสำราญ เราตั้งชื่อมันว่า “เจ้าแมม”
เจ้าแมมเป็นหมาที่น่ารักมาก ฉลาดและซุกซ น ทุกวันพี่เม่ยก็จะต้องดูแลอาบน้ำให้ และเนื่องจากเป็นลูกหมาตัวแรกของน้องยิ้มและน้องจิ้น ทั้งสองคนก็ไม่รู้ว่าจะ
"เล่น" "สอน" "ฝึก" และ "เข้าใจกิริยา" ของแมมได้อย่างไร เพราะในบ้านเรามีพี่เม่ยคุ้นเคยกับการเลี้ยงหมามากที่สุด จึงเป็นหน้าที่ของพี่เม่ยที่ต้อง ถ่ายทอดประสบการณ์ ให้แก่ลูกๆ วิธีการก็คือ ทำให้ดูเป็นตัวอย่าง อาบน้ำอย่างนี้นะ คลุกข้าวอย่างนี้นะ โยนของให้แล้วสั่งให้วิ่งอย่างนี้นะ ลูกๆก็ฝึกฝนทำตามค่ะ
ดูแลเจ้าแมมทุกวัน พี่เม่ยก็รู้สึกสงสัย?? จึงเปรยๆกับน้องยิ้มว่า "เอ๊.. ตอนแม่เห็นมันครั้งแรกที่หน้าบ้านเขาน่ะ ดูเหมือนว่าขนมันจะฟูๆ แล้วก็ใส่ถุงเท้าขาวชัดเจน ทำไมพอมาอยู่กับเราขนกลับเกรียน ถุงเท้าก็ไม่ค่อยชัดแฮะ แถมยังตัวเตี้ยๆด้วย..แปลกจัง มันเปลี่ยนแปลงไปได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ..." น้องยิ้มก็ปลอบใจแม่ว่า "คงเป็นเพราะแม่ดูแว้บเดียว รถก็แล่นผ่านไปแล้ว เลยเห็นไม่ค่อยชัดน่ะ"
เอ้า..ไม่ชัดก็ไม่ชัด
ความช่างสังเกตและซักถาม เป็นบ่อเกิดแห่งความรู้ ประโยคนี้เป็นจริงได้เสมอค่ะ พี่เม่ยก็สงสัยไป..บ่นไป..และก็แบกความสงสัยอยู่ได้ไม่นาน..........................