ซิ่ง ซ่า ยา เซ็กซ์ : ชีวิตเด็ก ที่ควรเข้าใจ 3


เด็กไม่ใช่ "ตัวปัญหา" แต่เป็นทางออกของปัญหา

วัยรุ่นไม่ใช่ตัวก่อปัญหา แต่วัยรุ่นคือทางออกของปัญหา เป็นความคิดความเชื่อของพวกเรา คนทำงาน ที่เชื่อมั่นว่าไม่ใครที่จะสะท้อนภาพของวัยรุ่นได้ดีเท่ากับวัยรุ่นเองดังนั้นเพื่อให้เกิดภาพชัดเจนจึงได้ใช้การศึกษาอย่างมีส่วนร่วม กับกลุ่มวัยรุ่น 2 กลุ่ม คือ กลุ่ม Y.N. และกลุ่ม K.M. จากการพูดคุยและสนทนาปัญหาวัยรุ่นในปัจจุบัน กลุ่มวัยรุ่นทั้งชายและหญิงในชุมชนส่วนใหญ่จะมีของใช้ส่วนตัวและใช้เป็นประจำที่พบมากที่สุดคือ โทรศัพท์มือถือ ซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นโทรศัพท์ที่มียี่ห้อ หรือรุ่นใหม่ ถ่ายรูป ฟังเพลงได้  และใช้เวลาว่างในการดูภาพยนตร์ ดูโทรทัศน์ ฟังเพลง มากกว่าการอ่านหนังสือ ส่วนการเล่นกีฬาพบว่า วัยรุ่นชายมีการเล่นกีฬามากกว่าวัยรุ่นหญิง ขณะที่วัยรุ่นหญิงใช้เวลาว่างในการอยู่กับบ้าน ดูหนังฟังเพลง และเล่นอินเตอร์เน็ตมากกว่า นอกจากนี้พบว่าวัยรุ่นชายมีกิจกรรมเที่ยวกลางคืนหรือดื่มเหล้ามากกว่าวัยรุ่นหญิงด้วย  โดยกลุ่มวัยรุ่นหญิงจะมีการดื่มบ้างบ้างครั้งเมื่อมีโอกาสพิเศษ และมักจะดื่มกับกลุ่มเพื่อนสนิท พฤติกรรมเสี่ยงของวัยรุ่นในชุมชนทั้ง 3 พื้นที่ศึกษา พบว่ามีความหลากหลาย อาทิเช่น เรื่องเพศสัมพันธ์ ยาเสพติด อุบัติเหตุ

 

วัยรุ่นกับเพศสัมพันธ์ 

             ความคิด ความเชื่อเกี่ยวกับเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นและเยาวชนที่ศึกษา ทั้งกลุ่มที่เรียนและไม่เรียนหนังสือ พบว่า มีความคล้ายคลึงกันเป็นส่วนใหญ่ โดยเชื่อว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่วัยรุ่นสมัยนี้จะมีเพศสัมพันธ์กับคนรัก และมีความเชื่อว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่วัยรุ่นสมัยนี้จะมีเพศสัมพันธ์กับ กิ๊ก ซึ่งมีคำยิยามคือ คนที่รู้ใจแต่ไม่ใช่คนรัก/แฟน หรือ มากกว่าเพื่อนแต่ไม่ใช่แฟน แม้จะมีคนรักอยู่แล้ว โดยไม่บอกให้คนรักรู้ เช่นกรณีศึกษาต่อไปนี้

-     กรณีของแบงค์ ที่มีภรรยาและลูกแล้ว มักจะมีพฤติกรรมที่ชอบไปจีบสาวและมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่ทำงานร้านอาหาร โดยที่แฟนไม่ทราบ

-          กรณีของเอ็ม ที่มีแฟนแล้วแต่ยังจีบผู้หญิงอื่นทั้งที่ในโรงเรียนและตามร้านอาหารโดยบอกว่ายังไม่มีแฟน

-          กรณีของไกด์ เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงที่มีแฟนแล้ว โดยที่ผู้หญิงเป็นฝ่ายเชื้อเชิญและพาไกด์ไปที่ห้อง

-     กรณีของก้อย มีแฟนและคบผู้ชายครั้งละหลาย ๆ คนและชอบใช้การ สับราง เช่น ในขณะที่มีคบหาแบงค์ ก็ไปมีความสัมพันธ์กับป้อม ในที่สุดก็เลิกรากับแบงค์และป้อม แล้วมีแฟนใหม่อีกหลายคน

           

                    ส่วนความเชื่อเกี่ยวกับการใช้ถุงยางอนามัย พบว่า วัยรุ่นชายมีความเห็นว่า อยากจะใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายตรงข้าม เพื่อป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์มากกว่ากลัวการท้องแต่บางครั้งโอกาสที่ไม่ได้ใช้ถุงย่างก็มีสูง เช่น ไม่มีหรือไม่กล้าซื้อ รวมถึงวัยรุ่นชายบางส่วนยังมีความเชื่อว่า หากพกถุงยางอนามัยแล้วจะทำให้โอกาสที่จะเจอผู้หญิงหรือโอกาสที่จะได้มีเพศสัมพันธ์หายไป และหากไม่ได้ใช้ถุงยางอนามัย ฝ่ายชายยังเชื่อว่าฝ่ายหญิงควรเป็นฝ่ายรับประทานยาคุมกำเนิด นอกจากนี้เพียงส่วนน้อย (2-3 คน) เชื่อว่าการใช้ถุงยาอนามัยทำให้มีเพศสัมพันธ์กันมากขึ้น เพราะไม่ต้องกลัวท้อง รวมทั้งเป็นวิธีการป้องกันทั้งในผู้หญิงและชาย จึงทำให้ไม่เสี่ยงต่อการตั้งครรภ์

           

                 ขณะเดียวกันพบว่า ผู้ที่มีระดับการศึกษาหรืออายุที่สูงขึ้น มักมีประสบการณ์ทางเพศมากกว่า รุ่นน้องจึงมาปรึกษาบ่อยครั้งในเรื่องที่ตนอยากรู้อยากเห็น เชื่อว่า การมีเซ็กส์คือการผ่านประตูสู่วัยหนุ่มหรือที่วัยรุ่นรู้จักดีว่า ขึ้นครู   การมีเซ็กส์ทำให้รู้สึกเท่ห์ หรือการมีเซ็กส์เป็นเรื่องน่าภาคภูมิใจที่ทำให้อีกฝ่ายมีความสุข ในกรณีที่ศึกษากลุ่มวัยรุ่นชายในกลุ่ม Y.N.และK.M. พบว่าวัยรุ่นชายมักจะคุยกันในเรื่องเพศตรงข้าม และมักจะนำข้อมูลที่เคยมีเพศสัมพันธ์กับผู้หญิงหรือคนรักมาคุยกันในเชิงโอ้อวดว่า ..........ที่ไปไหนมาไหนด้วยกันตอนนี้ได้แล้ว  ทั้งนี้โดยความหมายของคำว่า ได้กัน กับ เอากันของภาษาเหนือจะแตกต่างกับภาษาภาคกลาง กล่าวคือ ได้กัน  มีความหมายถึงการได้เสียกัน และคำว่า เอากัน มีความหมายถึงการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นสามีภรรยาโดยการรับรู้ของครอบครัวและชุมชน วัยรุ่นผู้ชายจึงมีความกังวลเรื่องขนาดของอวัยวะเพศว่าขนาดเล็กจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่มีความสุขกลุ่มวัยรุ่นในชุมชนหลายคนจึงทดลองทำตามวิธีที่รุ่นพี่แนะนำ เช่น การนวดอวัยวะเพศด้วยน้ำมันมะกอก หรือน้ำมันจิ้งเหลน รวมถึงการฝังมุกที่วัยรุ่นบางคนซึ่งเคยเข้าไปเห็นในคุกแล้วนำออกมาบอกเพื่อนแต่ยังไม่มีใครที่กล้าจะทดลองทำ รวมถึงความเชื่อว่าการใช้ถุงยางอนามัยสวมในขณะที่สำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองจะทำให้อวัยวะเพศมีขนาดใหญ่ขึ้น เป็นต้น และมีความเชื่อว่าการพกถุงยางอนามัยจะทำให้พลาดเรื่องการมีเพศสัมพันธ์ รวมถึงการใช้ถุงยางอนามัยจะทำให้อีกฝ่ายหนึ่งไม่มีความสุข อย่างไรก็ตาม วัยรุ่นบางส่วน(ส่วนน้อยมาก และเป็นวัยรุ่นหญิงส่วนใหญ่) ไม่เชื่อว่า การที่คนสองคนรักกัน แล้วต้องมีเพศสัมพันธ์ และคิดว่าในวัยเรียนไม่ควรมีเพศสัมพันธ์เพราะจะเกิดปัญหาตามมา  ซึ่งแสดงว่ามิติหญิงชายและการควบคุมทางสังคม เช่น ผู้หญิงเป็นฝ่ายเสียหายมากกว่าผู้ชาย ยังมีอิทธิพลกับความคิดของวัยรุ่นหญิงยังมีอยู่บ้าง

           

                  ในความคิดเห็นเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศของวัยรุ่นและเยาวชน วัยรุ่นส่วนใหญ่ทั้งชายและหญิงประมาณ 15 คน จากกลุ่มที่ศึกษาไม่เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าการมีประสบการณ์ทางเพศสัมพันธ์ทำให้เพื่อนในกลุ่มยอมรับ แต่อีกบางส่วนมองว่าเป็นเรื่องที่ท้าทาย และแสดงถึงความสามารถโดยเฉพาะผู้ชาย ทั้งวัยรุ่นชายและหญิงเห็นด้วยกับความคิดที่ว่าการมีเพศสัมพันธ์ในวัยรุ่นของหญิงทำให้พ่อแม่ผิดหวัง สะท้อนให้เห็นถึงความคิดของวัยรุ่นหญิงที่ยังคงรักนวลสงวนตัวอยู่บ้าง นอกจากนี้วัยรุ่นในชุมชนส่วนใหญ่ เห็นด้วยกับความคิดที่ว่าการพกถุงยางอนามัยทำให้ผู้อื่นเข้าใจว่าตนวางแผนที่จะมีเพศสัมพันธ์ จึงทำให้ส่วนใหญ่ไม่กล้าพกถุงยางอนามัยเพราะกลัวถูกมองเป็นคนเซ็กส์จัดหรือบ้ากาม  และยังคิดว่าการซื้อถุงยางเป็นเรื่องที่น่าอายมาก ทำให้อัตราการใช้ถุงยางทุกครั้งในวัยรุ่นค่อนข้างต่ำ (มีก็ใช้ไม่มีก็ไม่ใช้) ในส่วนของความคิดเห็นเกี่ยวกับอคติทางเพศวัยรุ่นชายเห็นด้วยกับความคิดที่ว่าผู้หญิงควรรักษาความบริสุทธิ์ไว้เพื่อวันแต่งงาน และผู้หญิงไม่ควรมีประสบการณ์ทางเพศมากกว่าผู้ชาย แต่สำหรับวัยรุ่นชาย เป็นเรื่องสำคัญของผู้ชายที่จะต้องมีประสบการณ์ทางเพศมาก่อนเป็นอย่างดีก่อนแต่งงาน หรือคิดว่าผู้ชายสามารถมีคู่นอนหลายคนได้มากกว่าซึ่งสะท้อนค่านิยมเรื่องบทบาทหญิงชายของชุมชนและสังคมได้เป็นอย่างดี เช่นกรณีของแม๊ค อายุ 17 ปี กล่าวว่า เพื่อนผมเคยมีแฟนแต่ไม่ได้อยู่ด้วยกันแฟนมันเลือดไม่มี 2 เดือน มันกลัวท้องและกลัวที่บ้านรู้ จึงไปซื้อยาสอดมาสอดตามที่รุ่นพี่บอก แต่มันต้องสอดถึง 3 เม็ดเลือดถึงจะลง

            ด้านพฤติกรรมการป้องกันทั้งโรคติดต่อโดยเฉพาะการติดเชื้อ HIV และการตั้งครรภ์ วัยรุ่นทั้งชายและหญิงยังมีทัศนคติที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย ไม่มีความรู้เรื่องการป้องกันที่ถูกต้อง เช่น มีความเชื่อว่า การสวมถุงยางอนามัย 2 ชั้นจะทำให้ปลอดภัยกว่า ไม่ให้ความสำคัญกับการป้องกันเช่น กรณีการมีเพศสัมพันธ์จะใช้การหลั่งข้างนอกแทนการสวมเครื่องป้องกัน แม้จะทราบว่าการมีเพศสัมพันธ์ไม่ปลอดภัยทำให้เสี่ยงต่อการเป็นเอดส์ โดยเฉพาะวัยรุ่นในระดับมัธยมศึกษา มีการป้องกันความเสี่ยงของการติดโรคจากการมีเพศสัมพันธ์และการตั้งครรภ์น้อยมาก เนื่องด้วยการมีเพศสัมพันธ์ส่วนใหญ่เกิดในหมู่เพื่อนคนรู้จัก และคนรัก ทำให้มีความเชื่อว่าไม่มีโรค หรือโรคเอดส์เป็นเรื่องที่ไกลตัว พฤติกรรมการป้องกันที่พบจึงเป็นการป้องกันการตั้งครรภ์มากกว่า โดยใช้วิธีหลั่งภายนอก และการกินยาคุม ยาเม็ดฉุกเฉิน รวมถึงความเชื่อของวัยรุ่นชายส่วนใหญ่เชื่อว่าการใส่ถุงยางทำให้ความรู้สึกทางอารมณ์ลดลง ประกอบกับความอายที่จะไปซื้อหาถุงยางอนามัย จึงมีการใช้ถุงยางน้อย อีกประการหนึ่งวัยรุ่นเชื่อว่าการรับประทานยาคุมกำเนิดดีกว่าการใช้ถุงยาง ด้วยเหตุผลที่ว่า เพราะทันใจวัยรุ่น  โดยเฉพาะยาคุมฉุกเฉินที่วัยรุ่นรู้จักกันในนาม Potinoll

            กลุ่มวัยรุ่นได้สะท้อนว่าสังคมในโรงเรียนและชุมชนว่าเป็นสังคมที่ปิดกั้นการเรียนรู้ของวัยรุ่นเรื่องเพศ ทำให้เกิดปัญหา นอกจากนี้วัยรุ่นมักให้ความสำคัญกับ ความรัก เป็นพื้นฐานของความเชื่อใจ ไว้วางใจซึ่งกันและกัน รวมทั้งเชื่อว่าการมีเพศสัมพันธ์กับคนรักที่ไม่ใช่หญิงบริการจะไม่ทำให้เกิดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ หรือเอดส์  ทำให้ไม่เห็นประโยชน์ของการป้องกัน ยกเว้นวัยรุ่นกลุ่มอุดมศึกษาหรือผู้ที่มีวุฒิภาวะสูงขึ้นจะให้ความสำคัญกับการป้องกันมากขึ้นเพื่อป้องกันการตั้งครรภ์และการติดโรคมากกว่ากลุ่มอื่น

 

            ลักษณะและรูปแบบการมีเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นและเยาวชน

            การมีแฟนและเพศสัมพันธ์ของวัยรุ่นและเยาวชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่างทั้งหมด พบว่า วัยรุ่นทั้งชายและหญิงมากกว่าครึ่งถึงเกือบทั้งหมดมีแฟนหรือคนรักแล้ว เคยมีเพศสัมพันธ์กับแฟนคนก่อนหรือคนที่ไม่ใช่แฟนคนปัจจุบันเกือบทั้งสิ้น วัยรุ่นชายเคยมีเพศสัมพันธ์กับฝ่ายตรงข้ามมาแล้วตั้งแต่ 3 คน ขึ้นไป  วัยรุ่นชายมีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรกอายุ 14 ปี เช่นกรณีของ อ๊อด ซึ่งมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่ชั้น ม.2 ทั้งนี้ การมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกของวัยรุ่นชายเกิดจาก หลายสาเหตุเช่นอยากรู้อยากลอง จากความยินยอม (บรรยากาศพาไป) ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาของวัยรุ่นและเยาวชนที่เป็นกลุ่มตัวอย่าง  พบว่า วัยรุ่นชายส่วนใหญ่มักมีเพศสัมพันธ์กับคู่มากกว่า 1 คนและมักจะมีการใช้แอลกอฮอล์ก่อนการมีเพศสัมพันธ์

            รูปแบบการมีเพศสัมพันธ์หรือการเป็นแฟนกันในวัยรุ่นหญิงมักแสดงถึงความเป็นเจ้าของ ขณะที่วัยรุ่นชายมักแสดงถึงความสนุกหรือความมันส์เป็นหลัก และผู้ชายจะเลือกการมีเพศสัมพันธ์แบบชั่วคราว ด้วยเหตุผลที่ว่าเพราะผู้หญิงยอมเอง หรือเพราะถูกยั่วยวน ในกลุ่มวัยรุ่นY.N.และK.M.ไม่พบการมีพฤติกรรมทางเพศแบบหลายคน หรือเซ็กส์หมู่ แต่มักจะเป็นการสะสมคู่นอนหรือ เก็บแต้ม  โอ้อวดกันในกลุ่มทั้งหญิงและชาย มีการแข่งขันกันมากขึ้นเพื่อแสดงความสามารถ และพบความสัมพันธ์ในลักษณะการว่าจ้างและสมยอมของทั้งสองฝ่ายเพื่อต้องการเงิน ดังเช่นกรณีต่อไปนี้

-     กรณีของอ๊อด อายุ 15 ปี มีเพศสัมพันธ์กับผู้ใหญ่ที่มีพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศ โดยเพื่อน ๆ มอง อ๊อดว่าเป็น เด็กเลี้ยง เพื่อแลกกับเงินครั้งละ 300 500 บาท

-     กรณีของแขก อายุ 21 ปี เคยมีเพศสัมพันธ์กับพระในวัดแห่งหนึ่ง เพื่อแลกกับเงินที่นำมาใช้จ่ายครั้งละ 400 500 บาท โดยเริ่มจากการชักชวนและชักนำของกลุ่มเพื่อน เมื่อตอนอายุ 17 ปี

-     กรณีของกลุ่มวัยรุ่นK.M.พยามยามที่จะทำสถิติการมีเพศสัมพันธ์ให้เท่ากับกอล์ฟ วัยรุ่นในหมู่บ้านที่เสียชีวิตไปแล้วเมื่อ 5 ปีก่อน ซึ่งเคยทำสถิติการมีเพศสัมพันธ์ไว้ถึง 98 คน  ก่อนที่จะเสียชีวิตเพราะถูกทำร้าย

-          กรณีของบิน ที่เคยโอ้อวดเพื่อนว่าตน ถูกเก็บแต้ม จากผู้หญิงที่เจอกันในอินเตอร์เน็ต

            จากการคุยกับน้อง ๆ ทั้ง 2 กลุ่ม พบว่า ปัจจัยที่ส่งผลต่อการมีเพศสัมพันธ์ สภาพครอบครัวมีผลต่อการมีเพศสัมพันธ์น้อยมาก  แต่เกิดจาก สื่อกระตุ้นให้เกิดอารมณ์ทางเพศ  และเกิดความอยากรู้อยากเห็น อยากลองโดยเฉพาะจากสื่อโทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ โทรศัพท์มือถือ การดื่มแอลกอฮอล์และเพื่อนชักชวน ในขณะที่วัยรุ่นหญิงให้ความสำคัญต่อความรัก และการอยู่ใกล้ชิดกันสองต่อสอง เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดความต้องการทางเพศซึ่งนำไปสู่การมีเพศสัมพันธ์ กันมากกว่า

            ทั้งนี้ภาพรวมของวัยรุ่นและเยาวชนทั้งชายและหญิงทั้งที่เรียนและไม่เรียนหนังสือในกลุ่ม Y.N. และ K.M.  เป็นกลุ่มที่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศที่เปลี่ยนแปลงจากอดีตในเรื่องของวัฒนธรรม บทบาทหญิงชาย และมีแนวโน้มสูงขึ้นในอนาคต เนื่องจาก ปัจจัยหลายด้านที่มีส่วนสนับสนุนให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศหรือมีพฤติกรรมทางเพศที่ไม่เหมาะสม เช่น ปัจจัยในตัววัยรุ่นเอง โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงด้านฮอร์โมน ทำให้มีความอยากรู้อยากลองและต้องการทางเพศสูงเมื่อถูกปลุกเร้า รวมทั้งการมีความเชื่อที่ไม่ถูกต้องในเรื่องเพศและการป้องกัน ส่วนปัจจัยภายนอกของวัยรุ่น มีหลายประการ ที่สำคัญคืออิทธิพลของเพื่อนและสื่อ รวมถึงการไม่สามารถสื่อสารของครอบครัว โรงเรียนและสังคม ในเรื่องเพศ และอนามัยเจริญพันธุ์ มีส่วนสนับสนุนให้วัยรุ่นมีพฤติกรรมเสี่ยงมากขึ้น ได้แก่ การมีคู่นอนหลายคน มีเพศสัมพันธ์กับเพื่อนหรือคู่รักในวัยเดียวกันโดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย และมีการปฏิเสธหรือต่อรองทางเพศน้อย ด้วยส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะขาดการสื่อสารเรื่องเพศระหว่างเพศ และการรับรู้บรรทัดฐานระหว่างเพศชายและหญิงที่แตกต่างกัน นอกจากนี้วัยรุ่นยังรับรู้ว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีน้อย และไม่ได้ตระหนักถึงเรื่องการติดเชื้อมากนัก แต่มีความตระหนักและกลัวเรื่องการตั้งครรภ์มากกว่า จึงให้ความสำคัญกับการใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเพื่อป้องกันน้อยกว่าที่ควร เมื่อวัยรุ่นมีปัญหาสุขภาพทางเพศ หรือมีการตั้งครรภ์ มักแก้ไขปัญหาด้วยตนเองมากกว่า และใช้วิธีการที่เสี่ยงหรือเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เพื่อปกปิดครอบครัวและคนรอบข้าง อย่างไรก็ตาม พบว่า ค่านิยมทางเพศของสังคมไทย ระบบความเชื่อ บทบาทเพศ ความสัมพันธ์ชายหญิง และความสัมพันธ์เชิงอำนาจในการต่อรองทางเพศ ทำให้วัยรุ่นหญิงมีพฤติกรรมที่ต้องการการแสดงออกทางเพศคล้ายคลึงกับวัยรุ่นชาย ดังนั้น การค้นหารูปแบบที่เหมาะสมในการป้องกันพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศ จึงต้องเร่งดำเนินการและมีการศึกษาอย่างต่อเนื่อง และแก้ไขในระดับเชิงลึกของสาเหตุแห่งปัญหาด้วย

 

หมายเลขบันทึก: 175591เขียนเมื่อ 6 เมษายน 2008 18:31 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:55 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท