ปัจจุบันการดื่มกาแฟเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
บางคนมักนิยมดื่มกาแฟในตอนเช้า
บางคนดื่มหลังการรับประทานอาหารหรือวันละหลายๆ ถ้วย
ระหว่างทำงาน
ยิ่งบางคนต้องเข้าประชุมบ่อยๆ จะได้รับประทานกาแฟทั้งในช่วงพักเช้า
(ประมาณ 10 โมงเช้า ) และช่วงพักบ่าย (ประมาณบ่าย 3
โมง) จะเห็นว่า
กาแฟได้กลายเป็นวัฒนธรรมของการประชุมไปแล้ว
กาแฟทำให้สมองและร่างกายตื่นตัว มีความกระปรี้กระเปร่า
ดื่มแล้วสดชื่น ในกาแฟมีสารคาเฟอีน(Caffeine)
ซึ่งมีผลในการกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลาง
กระตุ้นหัวใจทำให้หัวใจเต้นเร็วขึ้น
กระตุ้นกระเพาะอาหารให้หลั่งกรดออกมาเพื่อช่วยในการย่อยอาหาร
กระตุ้นการขับปัสสาวะทำให้ปัสสาวะบ่อยและขยายหลอดลม
คาเฟอีนเป็นอัลคาลอยด์ธรรมชาติพบในเมล็ดกาแฟ
ใบชาและเมล็ดโกโก้ มีลักษณะเป็นผงสีขาว
มีรสขม นอกจากชาและกาแฟที่นิยมดื่มกันแล้ว
ในเครื่องดื่มหลายชนิดยังมีคาเฟอีนเป็นส่วนผสมอยู่ ได้แก่
น้ำอัดลมพวกเป็ปซี่โคล่า เครื่องดื่มชูกำลัง
ชาเขียว ฯลฯ
ซึ่งเครื่องดื่มแต่ละประเภทจะมีปริมาณคาเฟอีนแตกต่างกันไปดังตารางที่
1
นอกจากนี้ยังพบในขนมหลายชนิด ได้แก่
ช็อกโกแลต ลูกอมรสกาแฟ ลูกอมสอดไส้ช็อกโกแลต
คุกกี้กาแฟ เค้กกาแฟ เค้กช็อกโกแลต
ไอศกรีมกาแฟ ฯลฯ
ตารางที่
1 ปริมาณคาเฟอีนในเครื่องดื่ม
ประเภทเครื่องดื่ม
ปริมาณเครื่องดื่ม ปริมาณคาเฟอีน
(1 ออนซ์ = 30 มิลลิลิตร) (มิลลิกรัม)
กาแฟเอสเพรสโซ
1.5 - 2
ออนซ์
100
กาแฟต้ม
8
ออนซ์
80 – 135
กาแฟสำเร็จรูปพร้อมชงดื่ม
8
ออนซ์
65 – 100
กาแฟพร่องคาเฟอีน
8
ออนซ์
2 – 4
ชาสำเร็จรูปพร้อมชงดื่ม
8
ออนซ์
30
ชาเขียว 8
ออนซ์
20
ชาขาว
8
ออนซ์
15
ชาชงจากใบชา
8
ออนซ์
50
Coca Cola
12
ออนซ์
45.6
Pepsi
Cola 12
ออนซ์
37.2
นมรสช็อกโกแลต
8
ออนซ์
8
โกโก้หรือช็อกโกแลตร้อน
8
ออนซ์
5
เครื่องดื่มชูกำลัง
8.2
ออนซ์
80
คาเฟอีนถูกดูดซึมอย่างรวดเร็วที่กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสโลหิต
ถึงระดับสูงสุดใช้เวลา 15 – 45 นาที
ออกฤทธิ์กระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางสูงสุดภายใน 30-60
นาที
คาเฟอีนถูกเปลี่ยนแปลงที่ตับและขับออกทางปัสสาวะ
บางส่วนที่ไม่เปลี่ยนแปลงจะถูกขับออกทางน้ำลาย
น้ำอสุจิและน้ำนม
โดยทั่วไปคาเฟอีนมีค่ากึ่งชีวิตในผู้ใหญ่ 3 - 4 ชั่วโมง
ผู้หญิงท้อง 18 - 20 ชั่วโมง
ผู้หญิงทานยาเม็ดคุมกำเนิดอาจถึง 13 ชั่วโมง และเด็กแรกเกิดราว
30 ชั่วโมง
ในขนาดต่ำ 50 – 200 มิลลิกรัม
จะกระตุ้นระบบประสาทส่วนกลางทำให้ไม่ง่วง ตื่นตัว กระปรี้
กระเปร่า สดชื่น มีเรี่ยวแรง
หายจากอาการอ่อนเพลีย
หากได้รับในขนาดสูง 250 – 750 มิลลิกรัม (2 - 7
ถ้วย) จะมีอาการกระสับกระส่าย
มึนงง คลื่นไส้ ปวดศีรษะ กล้ามเนื้อตึงตัว
นอนไม่หลับและหัวใจเต้นเร็วหรือผิดจังหวะ
ถ้าได้รับในขนาดสูงเกิน 750 มิลลิกรัม (7 ถ้วย)
นอกจากอาการดังที่กล่าวแล้วข้างต้น
จะมีอาการกระสับกระส่าย ตื่นเต้น ตกใจง่าย
ความคิดสับสน พูดจาวกวน วิงเวียน ท้องเดิน
อาเจียน หน้าแดง หายใจขัด และชักได้
คาเฟอีนมีค่า LD_50
(ขนาดยาที่มีรายงานว่าจำนวนประชากรที่ได้รับยาเข้าไปถึงตายได้ 50
%) อยู่ที่ประมาณ 10 กรัม
ถ้าปริมาณคาเฟอีนในกาแฟแต่ละถ้วยอยู่ที่ประมาณ 50 - 200
มิลลิกรัม การดื่มกาแฟในขนาด 50 – 200 ถ้วย
อาจทำให้ตายได้
ความไวต่อฤทธิ์คาเฟอีนในแต่ละบุคคลจะแตกต่างกัน
โดยทั่วไปแล้วผู้ที่ได้รับเป็นประจำและต่อเนื่อง
ร่างกายก็จะทนต่อฤทธิ์คาเฟอีนได้ สำหรับบุคคลทั่วไป
คาเฟอีนขนาด 200 – 300 มิลลิกรัมต่อวัน
ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกาย
หากได้รับในขนาดสูงเกิน 300 มิลลิกรัมต่อวัน
ก็มีโอกาสเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจล้มเหลว
หัวใจวายหรือเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจได้
โดยผลการวิจัยบอกว่าเสี่ยงในอัตรา 2.8
เท่าของคนที่ไม่ดื่มกาแฟ ยังพบว่าคาเฟอีนในปริมาณสูง 300
มิลลิกรัมต่อวัน (2 - 3 ถ้วยต่อวัน)
จะไปขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียมและเป็นตัวเร่งอัตราการสูญเสียแร่ธาตฺจากกระดูกได้
ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคกระดูกพรุน
จะเห็นได้ว่า หากร่างกายได้รับในปริมาณมากเกินไป
คาเฟอีนจะมีผลเสียต่อร่างกายได้
คาเฟอีนจัดเป็นสารเสพติด
ถ้าใช้คาเฟอีนอย่างต่อเนื่องไประยะหนึ่ง แล้วหยุดทันที
จะมีอาการขาดยาเกิดขึ้น
ความดันโลหิตลดต่ำลงทำให้มีอาการปวดศีรษะ 1 – 5 วัน
(แต่บรรเทาอาการได้โดยรับประทานยาแก้ปวดหรือดื่มกาแฟ)
นอกจากนั้นอาการขาดยาที่มักพบ ได้แก่ หงุดหงิด ไม่สามารถทำงานได้
ตกใจง่าย กระสับกระส่าย
และรู้สึกง่วงนอน
ในรายที่รุนแรงอาจมีอาการคลื่นไส้และอาเจียน
ดังนั้น ถ้าต้องการเลิกคาเฟอีน ควรค่อยๆ
ลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนลงในอัตราวันละ ½ ถ้วย
หรือสัปดาห์ละ 2 – 5 ถ้วย
ขึ้นกับปริมาณการดื่มเครื่องดื่มดังกล่าว
สนใจอ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้ที่
1. http://www.erowid.org/chemicals/caffeine/caffeine_effects.shtml
2. http://www.bkkfood.com/choicecoffee/fact.php
3. http://www.cs.unb.ca/~alopez-o/caffaq.html