อยากทราบว่าเพื่อนๆครูทุกท่าน
มีกระบวนการการเรียนการสอนอย่างไรบ้างเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้ของเด็กยุคปัจจุบันนี้
ที่จะทำให้นักเรียนสามารถเข้าถึงคุณค่าในเรื่องราวต่างๆที่อยู่รอบๆตัวเขาหรือที่เขาต้องเผชิญหน้า
หรือมีปฏิสัมพันธ์กับการดำเนินชีวิตของเขา หรือที่ว่าการเรียนเรียนรู้ที่แท้จริงนั้นเป็นการที่เด็กมีโอกาส
ได้ใช้ความรู้ความสามารถของตนเองมาขัดเกลาตนเองได้เป็นอย่างดีและมีึคุณภาพ
มิใช่ว่า สวย/หล่อ รวย เก่ง แต่ไม่สามารถจัดการในการนำความรู้ความคิดมาช่วยในการดำรงชีวิตให้อยู่อย่างปกติสุขได้
ดังนั้นจึงขอเชิญชวนแลกเปลี่ยนและแสดงความคิดเห็นในหัวข้อที่ว่า การศึกษาที่แท้จริงเป็นอย่างไร จึงจะสามารถทำให้เด็กนำความรู้ที่ได้รับมาใช้ได้อย่างมีคุณค่า
โรงเรียน ( สถานศึกษา ) เป็นสถานที่สร้างประสบการณ์ในการดำเนินชีวิตให้ผู้ที่รับการศึกษาได้เรียนรู้ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็น วิชาความรู้ คุณธรรม จริยธรรม การรู้จักปรับตัวเข้ากับสังคม การนำประสบการณ์ที่ได้จากเรียนรู้ไปทดลองใช้ในขีวิตประจำวันจริงได้อย่างเหมาะสมและมีความสุขภายใต้การปกครองแบบประชาธิปไตย ( การปกครองของประชาชน โดยประชาชน และเพื่อประชาชน / ทุกคนมีสิทธิเสรีภาพเท่าเทียมกัน สามารถใช้เสรีภาพตนเองได้ แต่ต้องอยู่ภายใต้กฏหมายและไม่ละเมิดสิทธิของผู้อื่น )และอื่น ๆ อีกมากมาย นั่นคือ จุดมุ่งหมายหลักของการศึกษาสมัยก่อน (ที่ต้องมีไม้เรียวเพื่อกำหนดทิศทางของจิตใจตั้งแต่เด็กจึงจะโต จากคนให้เป็นมนุษย์)
แต่การศึกษาในปัจจุบันบางสถาบันมุ่งให้การศึกษา วิชาความรู้เพียงอย่างเดียว ไม่ได้เน้น"ความรู้คู่คุณธรรคุณธรรม" ทำให้บุคลากรที่จบการศึกษาออกมาในยุค "ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม" มุ่งหาวัตถุ และ ใช้วิชาความรู้ในทางที่ผิดเพราะขาดคุณธรรม จริยธรรม เอารัดเอาเปรียบผู้ที่มีการศึกษาด้อยกว่าเพื่อให้ได้มาซึ่งวัตถุ กลายเป็นการแบ่งชนชั้นอย่างอัตโนมัติ (ต้องให้ไปอยู่อินเดียจึงจะเหมาะ)
การศึกษาที่แท้จริงอยู่ที่จิตใจไม่ใช่สถานศึกษา การดำรงชีวิตอยู่ในสังคมเป็นการเรียนรู้ที่ "ล้ำค่า" มากที่สุด ใบประกาศหรือปริญญาบัตรเป็นแค่เป็นตัวบ่งบอกระดับการศึกษาของสังคมที่กำหนดขึ้นเท่านั้น สำคัญที่สุดอยู่ที่จิตใจ และทักษะในการดำรงชีวิตคู่คุณธรรม ที่จะต้องใช้เพื่อดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้อย่างมีความสุขปราศจากการเบียดเบียนเพื่อนร่วมโลกทุกทิศทางตลอดอายุขัยของตัวเอง
ครูสิงห์
ขอบคุณมาก สำหรับความคิดเห็นของครูสิงห์ ที่ได้บอกกล่าวถึงการศึกษาที่แท้จริงอยู่ที่จิตใจ จะเห็นได้ว่าพลังในการทำงานของครูเป็นพลังอันที่มาของจิตวิญญาณที่มองเห็นเด็กเป็นสื่อกลางโดยการู้สึกเกรงขามเชื่อมกับกำลังพัฒนาการรับรู้ของเด้ก โดยมีความรู้สึกตัวของครูเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดในการให้การศึกษา ความรู้สึกตัวของครูนั้นสามารถมีอิทธิพลในทางสร้างสรรค์ต่อเด็กอย่างไม่สามารถประมาณการได้เลย
เด็กหูหนวกเรียนครูแว่นตา
อยากบอกว่าการศึกษาที่ควรจัดให้เด็กนั้นนั้น ควรให้การศึกษาแก่เด็กทั้งตัว มิใช่เน้นแต่ด้านสติปัญญาแต่เพียงอย่างเดียว เช่น พอเด็กเริ่มเรียนอนุบาลก็ใส่วิชาการเต็มที่ จ้ำจี้จำไชว่าต้องอ่านออก ต้องเขียนได้ โดยมีบล๊อกไว้ให้แล้วว่าต้องทำตามนี้เท่านั้นจะออกนอกเหนือจากที่บล๊อกไว้ไม่ได้ ของเล่นก็สำเร็จรูปมาแล้ว แล้วเด็กจะคิดเองได้อย่างไรกัน เหมือนเครื่องแกงสำเร็จรูปเมื่อซื้อมาก็แกงกินได้เลย ถามกลับว่าแล้วส่วนผสมมีอะไรบ้างรู้ไหม เวลาตำเครื่องแกงควรตำสิ่งไหนก่อนล่ะ ตำอย่างไรจึงจะไม่ให้พริกกระเด็นใส่ตาล่ะ ตำละเอียดแค่ไหนดีล่ะจึงจะมีรสชาดอร่อย ถ้าเด็กไม่มีประสบการณ์ตรงนี้เขาจะผ่านกระบวนการคิดแบบต่างๆมาได้อย่างไร จะแก้ปัญหาได้อย่างไร เฉกเช่นเดียวกันกับของเล่นสำเร็จรูป วิชาการแบบสำเร็จรูป................
เด็กได้เล่นอย่างอิสระโดยใช้สิ่งของต่างๆในห้องเรียนมาเล่นได้อย่างมีความสุข และคิดเองว่าตนเองชอบที่จะเล่นเป็นอะไร และสามารถนำสิ่งของรอบๆตัวไปแปลงเล่นเป็นอย่างอื่นได้อีก
เรียนปนเล่นแบบนี้ มีความสุข อีกทั้งได้เรียนรู้ร่วมกันกับเพื่อน กับครู ใช้การคิดที่หลากหลาย ได้สมาธิ เกิดการเรียนรู้ที่ซึมลึกไปในตัวของเด็กอย่างไม่รู้ตัว ไม่ต้องบังคับ ไม่ต้องมีบล๊อกว่าต้องเป็นแบบนี้แบบนั้น ครูกำหนดโจทย์ เด็กๆช่วยกันคิดตามรูปแบบของตนเอง หลังจากนั้นก็ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันว่าเธอคิดแบบนั้นฉันคิดแบบนี้ เด็กๆก็จะพบและเห็นวิธีการคิดที่หลายหลายที่เกิดขึ้นเอง โดยครูไม่ได้บล๊อกความคิดของเด็กไว้
จำได้ น้องแวว ไหม
เคยฝึกงานสอนที่โรงเรียนนี้แล้ว
คิดถึงครูมนตรีมาก
อ่าน แล้วจ้าครูมนตรี
ขอบคุณมากจ้า
ขอบคุณน้องแววมากที่เข้ามาอ่าน ครูอยากทราบว่าสุดสวยของครูสบายดีหรือไม่ มีงานทำหรือยัง