ท่องแดนมังกร ตอนที่ 1


และแล้วผมก็มีโอกาสได้ท่องแดนมังกรกับเขาเสียที เส้นทางการเดินทางในครั้งนี้ของผม เริ่มจาก สุวรรณภูมิ-เสินเจิ้น-กวางโจว-เสินเจิ้น-ฮ่องกง-เสินเจิ้น-สุวรรณภูมิ รวมทั้งหมด 5 วัน

18 มีนาคม 2551

ด้วยว่าเวลานัดหมายของผมคือเวลา 03.30 น. ของรุ่งเช้าวันที่ 18 ทำให้ผมค่อนข้างเป็นกังวลว่าจะตื่นขึ้นมาเตรียมตัวไปตามกำหนดนัดหมายไม่ทัน จึงหลับๆตื่นๆ แกมหลับแกมฝันอยู่ตลอด เมื่อเสียงนาฬิกาปลุกดังขึ้น ผมไม่มีเวลาคิดอะไรมากมาย ได้แต่รีบลุกขึ้นอาบน้ำแต่งตัว คว้ากระเป๋า เหมาแท๊กซี่ มุ่งสู่สุวรรณภูมิทันที ผมถึงสุวรรณภูมิประมาณ 13.40 น. นับว่ารวดเร็วดีพอใช้ จ่ายค่ารถเสร็จสรรพผมจึงเดินอาดๆเข้าไปในอาคาร สักครู่ก็เจอคณะผู้ร่วมเดินทาง ซึ่งมีการเตรียมการ นัดแนะข้อปฏิบัติต่างๆเล็กน้อย แล้วตั้งหน้าตั้งตารอเวลาเช็คอินเวลา ตี 5 ครึ่ง รู้แบบนี้ก็ออกจะฉุนเล็กน้อยว่าทำไมรีบนัดเร็วนัก แต่มาคิดอีกที เขาคงจะเผื่อมีอะไรฉุกละหุก การเหลือเวลาไว้สักหน่อยก็คงจะสามารถแก้ไขได้ทัน คิดได้แบบนี้ก็พอเบาใจ

พิธีการด่านตรวจที่ด่านสุวรรณภูมิก็ค่อนข้างสะดวก รวดเร็วใช้ได้ จะว่าไปอะไรๆก็ดีไปหมด เสียอย่างเดียวห้องน้ำมีน้อยเสียเหลือเกิน นี่ถ้าเกิดคนแห่มาเรือนหมื่นก็คิดไม่ออกเหมือนกันว่าจะเป็นแบบไหน

เวลา 05.55 น. เราทะยานเวหามุ่งสู่สนามบินนานาชาติเสินเจิ้นด้วยสายการบินบางกอกแอร์เวย์ จะว่านักบินเก่งหรือว่าเครื่องเขาดีก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ ตอนเครื่องเทคตัวขึ้น ไม่มีสะดุดเลย ไม่เหมือนเครื่องโลคอสต์บางบริษัท ทั้งนี้ มีข้อยกเว้นนิดหน่อยที่เครื่องอาจสั่นๆบ้างตอนก่อนจะเข้าเสินเจิ้น เนื่องจากสภาพอากาศแปรปรวน

ถึงสนามบินนานาชาติเสินเจิ้นด้วยเวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง ซึ่งก็ต้องปรับเวลาใหม่เพราะเวลาจีนเร็วกว่าเวลาไทยหนึ่งชั่วโมง ผมเหลือบไปเห็นนาฬิกาของจีนที่สนามบินเวลา 10.00 น.

เสินเจิ้นนับว่าเป็นประตูสู่ประเทศจีนเลยทีเดียว แต่ก็ประตูจีนนี่เองที่ทำให้เราออกจะหงุดหงิดกระวนกระวาย เพราะพิธีการตรวจคนเข้าเมืองของที่นี่ช้ามาก แถมเจ้าหน้าที่ก็หน้าตาจีนมากๆ จีนได้ใจจริงๆ (ก็คนจีนนี่หว่า)คือหมายความว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้จีนจริงๆจนไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษเลย การสื่อสารของเราจึงยากลำบากมาก มีคนในคณะผมคนหนึ่งถูกดึงตัวไปสอบสวนหลังจากที่ตรวจพาสปอร์ต เขาพาไปที่ห้องห้องหนึ่งที่เขาเอาฉากกั้นสูงระดับสายตาเป็นห้องสำหรับโต๊ะทำงานของเจ้าหน้าที่ สอบถามอยู่ชั่วครู่ชั่วยามก็อนุญาตให้ผ่านด่าน ภายหลังจึงทราบว่าชื่อของเพื่อนคือกังวาล สะกดเป็น KUNGWAN คงจะเห็นว่าคล้ายเหว่ยเซียะกัง ราชายาเสพติด ก็เลยไปสะกิดต่อมสงสัยเจ้าหน้าที่จีนเข้า

เวลา 11.50 น. เราออกจากสนามบินมุ่งหน้าสู่ภัตตาคารซันเวย์ ของโรงแรมซันเวย์ ออกจะตื่นเต้นพอสมควรที่จะได้ลิ้มลองอาหารจีนแท้ๆก็คราวนี้แหละ พอถึงสถานที่ "ชือฟั่น" (กินข้าว) เรานั่งล้อมวงบนโต๊ะกลม ในหนึ่งโต๊ะมีกาน้ำชา เบียร์สัญชาติจีน 2 ขวด เขอโข่วเขอเล่อ (โคลาโคล่า) 1 ขวด พร้อมชุดจานชาม ตะเกียบ จอกน้ำชา แก้วน้ำ จากนั้นบริกรก็เริ่มเสริฟอาหาร สำหรับมื้อแรกในจีนก็ต้องนับว่ารสชาติพอใช้ แม้ว่าจะจืดๆ มันๆ ก็ตาม หลายคนบอกว่าไม่ถูกปาก ผมบอกว่าให้กลับไปกินที่บ้านสิ ใช่ว่าจะได้กินแบบนี้ทุกวันเสียเมื่อไหร่กัน มีข้อสังเกตว่าอาหารจานเนื้อก็เนื้อล้วนๆ จานผักก็ผักทั้งหมด ไม่มีปนกัน หลังจากเสริฟครบเมนู เด็กเสริฟก็ยกผลไม้รวมมา มีองุ่นลูกโตๆ แตงอะไรสักอย่างหนึ่งก็ไม่ทราบได้ แตงโม และมะเขือเทศ เพิ่งจะรู้จริงๆครับว่าในสายตาคนจงกว๋อเหยิน (คนจีน) เห็นมะเขือเทศเป็นผลไม้ ถ้าที่เมืองไทยล่ะก็ นี่มันเป็นผักชัดๆ ถามเด็กอนุบาลก็ยังได้

บนโต๊ะอาหารมื้อแรกที่แดนมังกรทำให้ผมรู้ข้อปฏิบัติเล็กๆน้อยๆ คือ คนจีนไม่ดื่มน้ำเย็น ไม่มีน้ำแข็ง มีแต่น้ำชา แต่ถ้าต้องการน้ำแข็งน้ำเย็นก็ต้องรอหน่อยเพราะเขาจะไปหามาให้ การดื่มน้ำชา ถ้าหมดกา ก็ให้ยกฝาวางไว้ที่ปากกับหูกา บริกรก็จะรู้ได้ว่าเราต้องการน้ำชาอีก ถ้าปิดไว้ หมายถึงว่ายังมีอยู่หรือไม่ต้องการเติม อ้อ ! อีกอย่างหนึ่ง รสชาติของเบียร์ที่นี่ก็พอใช้แต่จืดเกินไปสำหรับลิ้นคนไทยที่เคยสำผัสน้ำอำพันแบบเข้มๆที่เมืองไทยมาแล้วจนเคยชิน

รับประทานอาหารเสร็จก็ต้องรีบเข้าห้องน้ำห้องท่า เพราะทางข้างหน้าจะมีที่ให้คลายทุกข์หรือเปล่าก็ไม่รู้ได้ เขาบอกว่าในสายตาคนจีนห้องน้ำที่นี่ภัตตาคารนี้ดีมากแล้ว แต่ผมว่าห้องน้ำของปั๊มน้ำมันบ้านตูยังดีกว่าเยอะ แต่เอาเถอะ เข้าบ้านก็ต้องก้มหัวให้ชายคา ในห้องน้ำมีโถฉี่ มีคอห่านแต่ติดตั้งระนาบเดียวกับพื้น มีประตู พื้นห้องน้ำมีคราบน้ำมันของร้าน ทั้งมันทั้งลื่น เดินก็ต้องระวัง ถ้าเดินแบบนี้นานๆ คงเป็นกังฟูวิชาตัวเบาติดตัวไปอีกวิชาแหงๆ

ออกจากภัตตาคารเรามุ่งสู่กวางโจวเพื่อเข้าโรงแรมที่พักซึ่งใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง ระหว่างทางมีปั๊มน้ำมันเพียงที่เดียวเท่านั้นที่พอจะแวะให้ปลดทุกข์ได้บ้าง ถ้าใครทุกข์หนักก็คงต้องทุกข์หนักมากขึ้นก็คราวนี้ล่ะ เพราะว่าห้องน้ำที่นี่ไม่มีประตู จะนั่งอึก็ต้องหันหน้าออกประตู ต้องตีหน้าซื่อเข้าไว้เหมือนเล่นเกมจิตวิทยากัน อย่าไปมัวแต่อายลุกลี้ลุกลน จะเป็นที่สังเกตกว่าเดิมมาก ดังนั้นต้องนิ่งไว้ก่อนพ่อสอนไว้ เขาก็เลิกสนใจไปเอง ดีนะที่ผมแค่ทุกข์แบบเบาๆ ขั้นตอนก็เรียบๆง่ายๆแบบสากลที่ทั่วโลกเขาทำกัน เลยรอดตัวไปคราวหนึ่ง

จากนั้นทีมของเราผ่านแม่น้ำจูเจียงซึ่งกว้างใหญ่ไพศาลมาก ตอนแรกนึกว่าเป็นทะเลเสียอีก ที่ไหนได้เป็นแม่น้ำจูเจียงที่กั้นระหว่างเสินเจิ้นกับกวางโจว รัฐบาลเสินเจิ้นนี่ยอดเยี่ยมจริงๆครับ ตัดถนนเส้นตรงตลอดแนว อะไรจะตรงขนาดนี้ก็ไม่รู้ เจอแม่น้ำไม่ว่าจะกว้างถึง 4 กิโลเมตร ก็สร้างสะพานข้าม เจอภูเขาก็เจาะอุโมงค์ ได้รับข้อมูลมาว่าเพราะค่าแรงของจีนถูกมากก็เลยทำได้ แต่ผมว่าน่าจะมาจากหลายองค์ประกอบมากกว่า ส่วนหนึ่งคงมาจากผู้บริหารที่เข้มแข็ง งบประมาณที่ไม่ถูกชักส่วนแบ่ง และคนที่มีจิตสำนึกรักชาติแท้จริง ไม่ใช่ดีแต่ปากเหมือนเมืองไทยเราทุกวันนี้

ตลอดทางผมมักจะพบเห็นรถแบ็คโฮ รถขุด รถไถ จอดเรียงราย มีอยู่ที่หนึ่งกะคร่าวๆคิดว่าเป็นพันคันทีเดียวเป็นข้อสังเกตว่าคงมีอัตราการขยายตัวของสิ่งก่อสร้างอย่างมาก ซึ่งไม่เป็นที่แปลกใจเท่าใดเพราะตลอดรายทางมีแต่ตึกรูปทรงสี่เหลี่ยมแทงยอดขึ้นสูงเสียดฟ้า

เวลาประมาณห้าโมงเย็นเราก็เข้าสู่นครกวางโจว อันดับแรกที่ไปคือถนนปักกิ่งซึ่งเป็นย่านการค้าและแหล่งช้อปปิ้ง ถนนกว้างใหญ่ ผู้คนเดินกันขวักไขว่ มีสินค้ามากมายจำหน่ายทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า นาฬิกา อื่นๆจิปาถะ และก็ตามสไตล์ผมคือเที่ยวสบายๆสไตล์ไม่มีสตางค์  ไม่ซื้อไม่หาอะไรทั้งนั้น เอาแต่ดูๆมองๆแล้วก็ถ่ายรูปไปตามประสา

สนนราคาข้าวของก็พอสมควรอยู่ ไม่ว่าจะแบรนด์เนม หรือโนเนมก็ยังแพง คิดคำนวณเป็นเงินไทยก็ไม่น้อยเลย ราคาแบบนี้อยู่ที่บ้านเราก็อย่าหวังเลยว่าจะได้แอ้มเงินผม 

ผ่านมาถึงตอนกลางถนนมีจุดสนใจอยู่อย่างหนึ่งคือถนนสมัยซ่ง เป็นถนนโบราณของจริงยาวประมาณ ยี่สิบเมตร อยู่ลึกลงไปในพื้นดินประมาณสองเมตรเป็นก้อนหินเรียงต่อๆกันจนเป็นรูปถนน แต่ทางการเขาก่อผนังกันด้านข้างไว้แล้วเอากระจกหนาปูทับด้านบนให้เราพอจะชะโงกหน้าลงไปมองเห็นร่องรอยแห่งอารยธรรมโบราณได้เท่านั้น

อากาศตอนนี้ก็ค่อนข้างชื้นอยู่แล้ว ยิ่งมีสายฝนตกลงมาปรอยๆอีก ยิ่งทำให้หนาวเข้าไปอีก แน่ล่ะ!ตอนอยู่เมืองไทยถ้าได้กลิ่นฝนล่ะก็ ผมจะหาเบียร์สักกระป๋องมาจิบแก้หนาว ผมจึงเดินย้อนกลับไปที่จุดนัดหมายก่อนเวลาพอสมควร พบว่าพรรคพวกนั่งดื่มด่ำกับน้ำอำพันอยู่ก่อนแล้ว เมื่อเดินเข้าไปถึงเขาก็ส่งเบียร์สัญชาติจีนให้ผมกระป๋องหนึ่ง ราคา 15 หยวน เรานั่งดื่มน้ำรำข้าวอัดแก๊สริมฟุตบาทข้างป้านรถเมล์ซึ่งก็ไม่ค่อยมีคนอยู่แล้ว ซักพัก ก็มีชายชราทำท่ามาขอกระป๋อง เราก็รีบซดแล้วส่งให้ อาแปะได้ของเราไปเยอะน่าดู

ครู่ใหญ่ต่อมาผมเกิดมีความทุกข์เบา แต่ในสถานการณ์เช่นนั้นนับว่าไม่เบาเสียแล้ว ทำอย่างไรดีล่ะทีนี้ มองซ้ายมองขวา เจอชายชาวจีนวัยกลางคนสองคนนั่งอยู่แถวๆนั้น ลักษณะการแต่งกายและข้าวของคิดว่าคงเป็นคนเก็บของเก่า แต่จะอาชีพอะไรก็ช่างเถอะ สังเกตโหงวเฮ้งน่าจะใจดีพอสมควร ผมจึงเริ่มปฏิบัติการ

ผม-ตุ้ยปู้ฉี หวอชงไท่กว๋อหลาย (ขอโทษนะครับ ผมมาจากประเทศไทย)

ลุง-หนีห่าว

ผม-หนีห่าว

ลุง- ###################### แย่แล้วครับรัวมาเป็นชุดแต่ละคำนอกตำราทั้งนั้น งั้นเข้าเรื่องเลยก็แล้วกัน

ผม-หนานเช่อสั่วๆ (ห้องน้ำชายๆ) และทำท่าลูบท้อง

ลุง-เช่อสัว?

ผม-ตุ้ย? (ใช่ๆ)

จากนั้นลุกแกก็ลากแขนผมไปเลาะกำแพงเข้าไปในตึกใหญ่โตโออ่าหลังหนึ่งทางประตูข้าง เจอยาม แกก็ร้อง "######" พร้อมชี้โบ๊ชี้เบ๊ว่า "เช่อสัวๆ" ยามก็ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ ผมเลยรอดตายไปอีกคราวหนึ่ง ขากลับออกมาพรรคพวกถามว่ามีห้องน้ำด้วยเหรอ ผมว่ามีๆ อยู่ข้างในตึก พวกก็เลยเฮโลกันเข้าไปกะว่าจะอาศัยลูกมั่วบ้าง แต่คราวนี้ไม่สำเร็จเสียแล้ว ก็คุณยามคนเดิมนั่นเองออกมายืนจังก้ายกมือห้ามเข้าเด็ดขาด ชาวเราผู้ทนทุกข์เบาด้วยฤทธิ์เบียร์จีนก็เลยต้องจำต้องทนกันไปก่อน ซึ่งก็ทำให้ได้คำคมคติสอนใจว่า มาจีนต้องอดทน :D

มารู้ทีหลังว่าตึกดังกล่าวเป็นอาคารที่พักของเจ้าหน้าที่ด้านการเงินการคลังระดับสูงของรัฐบาล ผมสังเกตเห็นว่ามีสิงห์โตหินคู่ใหญ่เบ้อเร่อเท่อตั้งอยู่ตรงบันไดประตูหน้าของอาคารด้วย

เพราะสัญชาตญาณเอาตัวรอดคนเดียวนี้เองก็เลยถูกเพื่อนร่วมคณะบ่นกันยกใหญ่ ช่วยไม่ได้ครับของแบบนี้ ก็มันทนไม่ไหวจริงๆ นี่นา จะแอบฉี่รดรั้วเหมือนแถวๆชนบทบ้านเราก็คงไม่ไหวแน่ๆ แต่ค่อยยังชัวที่ใช้เวลาไม่นานนักจากที่นั่นไปถึงภัตตาคาร สถานที่สำหรับ "ชือฟั่น" ของเรา เมื่อถึงภัตตาคาร ห้องน้ำจึงเป็นที่แรกที่มองหากันไปตามระเบียบ

อาคารมื้อค่ำก็คล้ายๆอาหารมื้อกลางวัน คือ ทั้งจืด ทั้งมัน ทั้งเลี่ยน บนโต๊ะก็เหมือนเดิม และอาหารก็ทะยอยออกมากระแทกโต๊ะทีละอย่าง ที่ว่ากระแทกโต๊ะนี่ก็ต้องบอกว่ามันกระแทกจริงๆครับ พนักงานเสริฟวางจานดังเคร้งคร้างๆ พูดกันเสียงดังขโมงโฉงเฉง นี่ถ้าเป็นบ้านเรานะผมว่าต่อให้อร่อยยังไงก็เถอะ บริการแบบนี้มีหวังไม่รุ่งแน่ๆ ดีนะที่พอทำใจกันมาบ้างแล้วว่าจะเจอแบบนี้ เรื่องการพูดเสียงดัง การวางของแรงๆ ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดามากๆ สำหรับชาวจีนที่นี่

กินข้าวเสร็จเราก็มุ่งหน้าสู่ โรงแรมหลงจั๋ว (LONG ZHOU HOTEL) ซึ่งสภาพดีมาก สิ่งอำนวยความสะดวกก็ครบครัน เป็นอันว่าจบการเดินทางวันแรกที่กวางโจว

ธีรนร นพรส
23 มีนาคม 2551

หมายเลขบันทึก: 172522เขียนเมื่อ 23 มีนาคม 2008 14:50 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 23:14 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (2)
  • เล่าได้ละเอียดมากเลยครับ
  • อยากเห็นภาพ
  • สบายดีไหม
  • จำรูปใหม่ไม่ได้
  • งง งง ว่าใคร
  • อิอิๆๆ

สบายดีครับพี่ขจิต เรื่องรูปต้องรอหน่อยครับเพราะตอนนี้ใช้เน็ตคาเฟ่ บังเอิญไม่มีที่ให้ใสรูปด้วย

นี่ตอนแรกเองนะครับ ตอนสองกำลังตามมาติดๆครับ

ขอบคุณครับที่มาเยี่ยม พี่ขจิตเป็นไงมั่งครับ ตอนนี้อยู่เมกา หรืออยู่เมืองไทยครับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท