เมื่อวานขณะนั่งฟังวิทยากรพูดถึงแบบสำรวจและการวิเคราะห์ในเวทีกศน. มีคนสงสัยว่าการจัดการความรู้คืออะไร อยากให้หาผู้รู้มานิยามให้ชัดเจนตรงกัน
ท่านผู้ว่าราชการจังหวัดเคยบอกว่าจัดการความรู้ก็เหมือนเรื่องเต๋า
เรื่องเซ็น
อ่านครั้งเดียวมาพูด จะพูดผิด
ต้องอ่านหลายๆเที่ยวและเรียนรู้จากธรรมชาติ
ผมเห็นว่าการเคลื่อนงานของเครือข่ายยมนาและปกครองจังหวัดเรื่องแผนชีวิตชุมชนโดยใช้แบบสำรวจรายครัวเรือนคือการจัดการความรู้
เพราะค้นพบว่าการเรียนรู้จนเกิดความตระหนักถึงกับคิดจะเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมเดิมๆที่พึ่งพาภายนอกมากเกินไปนั้น
เกิดจากการเรียนรู้โดยตรงจากบัญชี รับ-จ่ายครัวเรือน
ดังนั้นผลลัพท์ของเรื่องดังกล่าวคือ
แผนชีวิตชุมชนเพื่อการพึ่งพาตนเอง
จึงออกแบบให้คนทำเรียนรู้โดยการลงมือบันทึกด้วยตัวเองมากที่สุด
แต่ส่วนใหญ่ก็ทราบกันดีว่า
เพราะคนเรากลัวการเปลี่ยนแปลงและมักจะหลอกตนเองเพื่อให้นรก
เป็นของคนอื่น(ศัพท์ของอัลแบร์
กามูร์)จึงขาดสัจจะในการบันทึกความจริงทั้งหมดซึ่งจะปอกเปลือกตนเอง(เรื่องราโชมอนของคุโรซาว่าแสดงให้เห็นชัดเจนยิ่ง
แม้ตายไปเป็นผีก็ยังบอกไม่หมด-โกหก)สรุปคือการจัดการความรู้เพื่อการปลดปล่อยเป็นศาสตร์ที่เข้ามาคาบเกี่ยวกับการปลดปล่อยตนเองเพื่อการหลุดพ้นของพุทธศาสนาที่พูดถึงปริยัธ
ปฏิบัติและปฏิเวช
(อ.ประพนธ์จึงชอบเขียนถึงกระบี่อยู่ที่ใจและไม่มีกระบี่ไม่มีใจ)ที่นำไปสู่การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมตนเอง
ยังมีการจัดการความรู้เพื่อการครอบงำพึ่งพาด้วยเช่นกัน เช่นการโฆษณาเบียร์ช้างเพื่อให้เป็นคนไทยเจียดเงินเข้ากระเป๋าเสี่ยเจริญ เขามีความรู้ว่าทำอย่างไรให้คนดื่มเบียร์ช้างและทำได้จริงๆด้วย
เพราะจัดการความรู้เป็นเครื่องมือ จึงใช้ได้ทั้ง2ด้าน แล้วแต่ทิฐิของผู้ใช้
นอกจากกระบวนการแผนชีวิตครัวเรือน/ชุมชนแล้ว
ผมคิดว่ากระบวนการสัจจะลดรายจ่ายวันละ
1บาทก็เป็นเครื่องมือเรียนรู้เพื่อการปลดปล่อยตนเองที่มีประสิทธิภาพเช่นกัน
การเปลี่ยนจากพึ่งพามาเป็นพึ่งตนเอง เปลี่ยนจากขอมาเป็นให้
พัฒนาตนเองให้มีสัจจะในเรื่องง่ายๆโดยการทำอย่างต่อเนื่องเป็นกุศโลบายสำคัญของครูชบ
ยอดแก้ว
ผมตั้งความหวังในใจว่า
เป้าหมาย25,600คนจำนวน400หมู่บ้านจะเข้าร่วมขบวนสัจจะลดรายจ่ายวันละ1บาท
ซึ่งนอกจากเป็นกระบวนการเรียนรู้เพื่อการเปลี่ยนแปลง(พฤติกรรม)ทั้งทางวัตถุและจิตใจอย่างง่ายแล้ว
ยังเกิดผลงอกเงยเป็นเงินสวัสดิการวันละ 25,600 บาทอีกด้วย
นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการจัดการกับความรู้ที่มีอยู่
แต่หากไม่ทำก็เป็นเพียงความรู้ที่นอนนิ่งอยู่บนหิ้งเท่านั้น
ผมชื่นใจมากที่ไปในหลายเวทีของภาคีหน่วยงานร่วมในโครงการนี้ซึ่งพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เราทำโครงการนี้เพื่อจังหวัดนครศรีธรรมราช เพื่อการเรียนรู้ น่าอยู่ ยั่งยืนของลูกหลานชาวนครศรีธรรมราช นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการจัดการกับความรู้ เพราะพลังการทำงานที่หลุดพ้นจาก ตัวตนจะมีพลังที่ยิ่งใหญ่มาก เมื่อหลุดพ้นจากกรอบตัวตนก็จะเกิดปิติและความสุข
สมตามคำกลอนของท่านอ.พุทธทาสที่ว่า"ทำงานอย่างสนุกและเป็นสุขขณะทำงาน"
ถ้าเราจัดการกับความรู้ข้อสุดท้ายนี้ได้ก็ทำงานกันด้วยความสุขทุกๆคนครับ
ไม่มีความเห็น