มีนิทานของชาวจีนเรื่องหนึ่งเล่าว่า.... สามีภรรยาคู่หนึ่งอาศัยอยู่ในชนบทกับท่านผู้เฒ่าท่านหนึ่ง และมีม้าฉลาดแสนรู้อีกตัวหนึ่ง ทั้งสองสามีภรรยารักม้าตัวนี้มาก วันหนึ่งม้าหนีไป ทั้งสามีภรรยาเสียใจมาก ท่านผู้เฒ่าก็ได้ปลอบใจว่า
“อย่าเสียใจเลย เพราะชีวิตนี้ไม่แน่” เวลาผ่านไปหลายวัน ม้าตัวนั้นก็กลับมาที่บ้าน แต่คราวนี้ได้พาแฟนมาด้วย เป็นม้าป่าอีกตัวหนึ่ง สามีภรรยาต่างก็ดีใจมาก แต่ท่านผู้เฒ่าก็บอกว่า... “อย่าเพิ่งดีใจ เพราะชีวิตนี้ไม่แน่”
ต่อมาวันหนึ่ง สามีพาม้าตัวใหม่มาหัดขี่เล่นไปรอบๆ บ้าน ม้ายังไม่เชื่องดี จึงยังไม่สามารถบังคับได้ดังใจ ม้าพาวิ่งลอดเข้าไปใต้ถุนบ้าน ตัวเขาชนกระแทกเข้ากับตัวบ้านอย่างแรง ตกลงมาพิการแขนขาหัก ทั้งสามีภรรยาต่างก็เสียใจกับเหตุการณ์นี้มาก ท่านผู้เฒ่าก็ปลอบว่า... “อย่าเสียใจ เพราะชีวิตนี้ไม่แน่”
ต่อมาเกิดสงครามขึ้น ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้าน ถูกทางราชการเกณฑ์ไปเป็นทหารทุกคน
สามีได้รับการยกเว้นเนื่องจากเป็นคนพิการ การสู้รบเป็นไปอย่างรุนแรง ทำให้ทหารตายเกือบหมด สามีภรรยาก็ดีใจที่ตัวเองไม่ต้องไปเสียชีวิตในการสงครามครั้งนี้...
นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า... บางครั้งเราอาจเกิดความรู้สึกว่า เราได้สูญเสียมากมาย...
เราเสียเปรียบน่าเสียใจ... แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว เราอาจจะเห็นว่า สิ่งเหล่านี้ก็ไม่ใช่สิ่งที่น่าเสียใจอะไรมาก อาจจะกลับกลายเป็นสิ่งที่ดีก็ได้
บางสิ่งบางอย่างที่เรารู้สึกว่าดี แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว สิ่งเหล่านี้ก็อาจจะไม่ใช่สิ่งที่ดีก็ได้
มันก็กลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น เป็น “อนิจจัง” ไม่แน่นอนจริงๆ เราจึงควรทำความเข้าใจกับเรื่องของ “ความไม่แน่นอน” และรู้จัก “ปล่อยวาง”
จากหนังสือ ”ปีกระต่ายขอจงสวัสดี”
ของพระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก
เข้ามาเยี่ยมค่ะ จริงนะ มันไม่มีอะไรแน่นอนหรอก แต่ตัวเองชอบคิดว่า สิ่งที่เกิดขึ้นกับเราย่อมเหมาะและดีสำหรับเราเสมอ
สวัสดีครับ
ถ้าจำไม่ผิดคงเป็นเรื่องราวที่ชาวจีนเล่าต่อกันมาซึ่งเป็นการยังยั้งไม่ให้คนด่วนสรุปว่าดีหรือไม่ดี ชีวิตยังอีกยาวไกล
ขอบคุณมากครับ
สวัสดีค่ะ พี่วัลภา คนไม่มีราก
สวัสดีค่ะ คุณสุทธิรักษ์
ครับ อ่านแล้วก็นึกปลงกับความไม่แน่นอน อะไร ๆ ย่อมเกิดขึ้นได้มีทั้งเสียใจ และดีใจ มันแทบเกิดขึ้นทุก ๆ ย่างก้าวที่เราเดิน
สวัสดีค่ะ คุณไอดิน
ขอบคุณค่ะ
คุณ suksom