[ตอน 1] [ตอน 3]
องค์ประกอบหลักของ “การจัดการความรู้ (KM)” ก็คือ 1) มีเป้าหมายความรู้ที่ชัดเจน 2) มีเวทีหรือช่องทางในการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ และ 3) มีการจัดเก็บองค์ความรู้ ที่นำไปใช้ต่อได้อย่างสะดวกและ
เข้าถึงง่าย
ส่วนผลงานของ KM ที่เกิดขึ้นก็คือ
1) KM สามารถนำไปช่วยแก้ปัญหาการจัดเก็บหลักฐานในการทำงานส่งเสริมการเกษตร ที่ได้เขียนไว้ในรูปแบบของเอกสาร/สิ่งพิมพ์, Internet, Web-Blog, VCD, เทปเสียง และอื่น ๆ
2) KM ช่วยพัฒนาเจ้าหน้าที่และเกษตรกรให้มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างกันจากตัวอย่างที่ทำแล้วได้ผล
3) เนื้อหาสาระที่ได้ผลได้มีการจัดเก็บและจัดทำเป็น “ชุดความรู้จากประสบการณ์” อาทิเช่น เรื่องหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง, เรื่องวิสาหกิจชุมชน, เรื่องวิทยากรกระบวนการ และเรื่องอื่น ๆ
งานตามภารกิจของกรมส่งเสริมการเกษตรกระจายอยู่ทั่วทุกทิศ ที่มีการทำอาชีพการเกษตรและมีเกษตรกรอาศัยอยู่ บทบาทหน้าที่ที่นักส่งเสริมการเกษตรต้องรับผิดชอบ ก็คือ การให้คำปรึกษาแนะนำ, การถ่ายทอดเทคโนโลยีการเกษตร, การพัฒนาอาชีพการเกษตร และอื่น ๆ โดยมุ่งสู่การทำอาชีพการเกษตรของทุกกลุ่มเป้าหมายให้บรรลุผล ภายใต้วิธีการทำงานที่ปฏิบัติ คือ การส่งเสริมรายคน กลุ่ม และมวลชน
แต่การดำเนินกิจกรรมส่งเสริมการเกษตรต่าง ๆ อาจจะถูกจำกัดด้วยทรัพยากร กำลังคน งบประมาณ และความพร้อมที่มีอยู่ ดังนั้น เจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตร จึงใช้วิธีการถ่ายทอดความรู้ให้กับเกษตรกร
โดยผ่าน “กลุ่ม” เป็นหลัก นอกจากนี้ ยังสนับสนุนให้มีการเชื่อมโยงกิจกรรมและความรู้ระหว่างกลุ่มด้วยกันเป็นลักษณะของ “เครือข่าย” ตามความต้องการและปัญหาที่เกิดขึ้นที่สามารถพึ่งพาช่วยเหลือและร่วมกันดำเนินการได้ ได้แก่ เครือข่ายการผลิต เครือข่ายการแปรรูป เครือข่ายผลิตภัณฑ์การเกษตร เครือข่ายการตลาด และอื่น ๆ
“องค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และเครือข่ายการเกษตร” จึงเป็นแนวทางการการดำเนินงานที่สามารถนำเครื่องมือ “การจัดการความรู้ (KM)” เข้าไปช่วยเสริมหนุนการปฏิบัติงาน ที่กำลังเกิดขึ้นให้สามารถเดินไปสู่เป้าหมายของกลุ่มและเป้าหมายของงานส่งเสริมการเกษตรได้ ทั้งในรูปแบบของการพัฒนากิจกรรม การพัฒนาความรู้ความสามารถ การพัฒนาศักยภาพของกลุ่ม การจัดเก็บความรู้ของกลุ่ม และอื่น ๆ เพื่อให้กลุ่มมีแนวทางและแผนปฏิบัติงานที่มาจากตนเองและเป็นของตนเอง มีการบริหารจัดการกิจกรรมตามศักยภาพและความพร้อมที่มีอยู่ และสามารถดูแลผลงานของตนเองได้ตลอดรอดฝั่ง โดยมีเจ้าหน้าที่ส่งเสริมการเกษตรทำหน้าที่หนุนเสริมตามสภาพปัญหาความต้องการของแต่ละกลุ่มกิจกรรม
ผลสุดท้ายของการชี้วัดผลงานที่เกิดขึ้นกับ “การจัดการความรู้ (KM)” ที่ได้นำไปใช้นั้นย่อมจะต้อง
1) มองหาภารกิจงานและกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน
2) มีการกำหนดหลักการที่เข้าใจตรงกัน
3) มีกระบวนการปฏิบัติที่เชื่อมโยงเป็นแนวทางเดียวกัน
4) มองเห็นความสำเร็จที่เกิดขึ้นเป็นรูปธรรม
ดังนั้น งานที่จะนำมาใช้เพื่อชี้วัดผลการดำเนินงาน KM ในปีงบประมาณ 2551 ก็คือ การจัดการความรู้ขององค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และเครือข่ายในงานส่งเสริมการเกษตร ซึ่งได้มาจากการค้นหาและการวิเคราะห์ถึงกลุ่มเป้าหมายหลัก ที่กรมส่งเสริมการเกษตรต้องดูแล และงานส่งเสริมการเกษตรที่ต้องปฏิบัติตามนโยบายและยุทธศาสตร์ให้เกิดขึ้น จึงเป็นความลงตัวที่จะมาร่วมมือกันทำและนำมาใช้เป็นตัวชี้วัดผลงานให้กับองค์กรได้ก็คือ เรื่ององค์กรเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน และเครือข่ายในงานส่งเสริมการเกษตร.
ถ้าหากว่าเรามีคนทำงานอยู่หลายระดับ เราจะต้องดูไหมว่า เราทั้งหมดหรือเกือบทั้งหมด มองไปในทิศทางเดียวกันหรือเปล่า มองเห็นเหมือนกันหรือเปล่า
เรียน คุณ Newwave1
1) ถ้าผ่านประสบการณ์การปฏิบัติ การทำความเข้าใจก็จะง่ายและรวดเร็ว
2) ความยากของการสื่อสาร และการเปิดรับ
3) ผลที่เกิดขึ้นอาจจะมาจากการคุยกันหลายครั้ง
4) ถ้า70-80 % มีมุมมองเดียวกัน งานขั้นต่อไปก็จะง่าย
5) แต่เราต้องทบทวรเป้าหมายร่วมกันบ่อย ๆ