วันหนึ่งไปสอนนิสิตปริญญาโทหลักสูตรบริหารการศึกษา ที่ศูนย์เพชรบูรณ์ บรรยายในส่วนกฎหมายทั่วไปที่ผู้บริหารควรรู้ เช่น กฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา กฎหมายแพ่งพาณิชย์ อาญา เป็นต้นส่วนกฎหมายที่เกี่ยวกับการศึกษาก็เป็นอาจารย์อีกท่านหนึ่ง
และนิสิตที่เรียนส่วนใหญ่ก็คือผู้อำนวยการและหรือรองผู้อำนวยการโรงเรียนต่างๆ มีพระสงฆ์ ตำรวจ ผู้จัดการธนาคาร และอื่นบ้าง..เช่นนักธุรกิจ เป็นต้น
ก็สนุกดี..ได้แลกเปลี่ยนความรู้กัน..และได้เห็นมุมมองของผู้บริหารโรงเรียน ว่าเขามีมุมมองของเขาอย่างไรในการทำงานของเขา..
ไปสอนทั้งวันเสาร์ และวันอาทิตย์เทอมนั้นรู้สึกว่าวันเสาร์สอนที่จังหวัดเพชรบูรณ์ วันอาทิตย์สอนที่จังหวัดตาก รถตู้มหาวิทยาลัยก็จะมารับประมาณตีสี่ เสร็จแล้วก็หลับไปบนรถ...ตื่นมาก็ถึงเพชรบูรณ์พอดี.. ชอบมากสอนนิสิตที่ทำงานแล้ว..และได้ไปสอนต่างจังหวัด..ได้เปลี่ยนบรรยากาศ..เพราะช่วงบ่ายเราจะว่างต้องรออาจารย์อีกท่านสอนบ่ายแล้วกลับพร้อมกัน บางทีก็ให้รถตู้พาไปเที่ยววัดแถวๆนั้น หรือไปดูของพื้นบ้านบ้าง..สนุกดี...ทำงานแล้วก็ได้พักผ่อนไปในตัว..ด้วย..
กลุ่มหนึ่งๆก็ใหญ่เหมือนกันเป็นร้อยๆคน และนิสิตส่วนใหญ่ก็ตั้งใจเรียนกันดี น่ารักทุกคน..การเรียนการสอนส่วนหนึ่งก็ให้มีทำรายงานกลุ่มและมีตัวแทนกลุ่มออกมาPresent และเราก็พยายามบอกนิสิตว่าเมื่อมีโอกาสก็ควรไปให้ความรู้กับชาวบ้านด้วยนะ..ก็ มีกลุ่มหนึ่ง...ประทับใจมากเป็นพิเศษ..คือ พอเขาPresent เสร็จ เขาพูดว่า "อาจารย์ครับผมว่านะครับ..พวกกฎหมายนี้ชาวบ้านเขาไม่รู้เรื่องหรอกครับ โดยเฉพาะกฎหมายที่เกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญาเนี่ย..ชาวบ้านเขาอยู่ของเขาแบบนี้มานานแล้ว....ปลูกข้าว ทำนา ทำสวนของเขาก็ดีอยู่แล้วครับ..ผมว่าคงไม่ต้องไปบอกอะไรเขาหรอกครับอาจารย์.."ขอบคุณครับ.. เราก็ขอบคุณคะ..(แต่ในใจก็คิดว่า..ตายละผู้อำนวยการโรงเรียนคิดแบบนี้เสียแล้ว..แล้ว..เราจะหวังให้ใครไป..ช่วยเผยแพร่ความรู้ต่อไปล่ะเนี่ย) ก็มึนไปเหมือนกัน.....
ฟังแล้วก็ "เกือบตกเก้าอี้..เหมือนกัน..มึน..สอนมาตั้งนาน ก็กะจะให้..ท่านผอ ช่วยไปให้ความรู้ชาวบ้านต่อสักหน่อย..แต่ท่านผอ..รีบตัดบทเสียแล้ว.." แล้วจะทำอย่างไร..ความจริงเรื่องนี้น่าคิดมาก..ว่าสิ่งที่เขาคิดนั้นถูกหรือไม่ หรือเราคิดผิด.."ชาวบ้านเขาไม่รู้ก็ไม่ควรให้เขารู้ต่อไปอย่างนั้น..หรือ.." ยกตัวอย่าง เช่น กฎหมายคุ้มครองพันธุ์พืช ก็เป็นเรื่องที่ชาวบ้านควรรู้ เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจดทะเบียนพันธุ์พืชใหม่ หรือ..การแบ่งปันผลประโยชน์ในการใช้ทรัพยากรพันธุ์พืช เป็นต้น..กฎหมายตัวนี้คุ้มครองสิทธิเกษตรกร..ดังนั้น ก็เป็นเรื่องใกล้ตัวชาวบ้าน ซึ่งชาวบ้านควรจะรู้ไว้บ้างเหมือนกัน ..ส่วนจะรู้มากหรือน้อย..ก็อีกเรื่องหนึ่ง (ความเห็นส่วนตัว) หรือแม้แต่กฎหมายอื่นๆเมื่อเรารู้ก็ควรไปช่วยเผยแพร่ความรู้ให้ชาวบ้านเขาได้รู้ด้วยเหมือนกัน..
และความเห็นส่วนตัว มีความคิดว่า..หน้าที่ของครู อาจารย์ คือให้ความรู้นิสิต นักศึกษาและ ประชาชนซึ่งหมายรวมถึงบุคคลทั่วไปด้วย เช่น ชาวบ้าน เกษตรกร เป็นต้น..เพราะครู อาจารย์มีหน้าที่ต้องช่วย"สร้างคน สร้างประเทศชาติ..ทั้งทางตรงและทางอ้อม"การสร้างคน สร้างประเทศชาติก็ทำได้หลายทางด้วยกัน แต่สิ่งหนึ่งที่ควรทำคือนอกจากจะให้ความรู้ อบรมสั่งสอนนิสิต นักศึกษาแล้ว ก็ต้องมีหน้าที่ให้ความรู้ประชาชนเท่าที่สามารถทำได้ด้วย ส่วนเมื่อให้ความรู้เขาไปแล้ว เขาจะรู้ หรือรับรู้ได้มากหรือน้อยก็คงจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง..แต่ไม่ควรคิดว่า..ไม่ต้องไปให้ความรู้เขาหรอก..เพราะให้ไปเขาก็ไม่รู้เรื่องหรอก เขาก็อยู่กันมานานแล้ว..ถ้าอย่างนั้น..จะเกิดอะไรขึ้นถ้าครู อาจารย์ทุกคนคิดแบบนี้..
เรื่องนี้เราก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าสิ่งที่ ผอ พูด กับสิ่งที่เราคิดนั้น..สิ่งไหนจะถูกหรือผิดอย่างไร...หรือเราอาจคิดผิด ผู้อำนวยการโรงเรียน เขาพูดถูกก็ได้ เพราะเขาอยู่ใกล้ชิดชาวบ้าน อาจเข้าใจชาวบ้านดีก็ได้....เรากลับบ้านไปก็เลยไปถามคุณแม่..ไปเล่าให้คุณแม่ฟัง..ในฐานะอดีตผู้อำนวยการโรงเรียนเหมือนกัน....อยากรู้ว่าคุณแม่จะมีมุมมองอย่างไร..คุณแม่บอกว่า"อ้าว..คิดแบบนี้ได้อย่างไร..กัน..ไม่น่าคิดแบบนี้ คุณแม่เราก็มึนไปเหมือนกัน.." แล้วไม่ทราบท่านอื่นคิดอย่างไรกันนะคะ..
เผื่อจะได้มุมมอง..หลากหลายมุมมองมากขึ้น..ขอบพระคุณมากคะ..
ด้วยรักจากใจ
สวัสดีค่ะอาจารย์
ไม่เครียดค่ะ...สนุกๆๆๆ..แลกเปลี่ยนกันค่ะ
สวัสดีคะคุณครูอ้อย
I love u
สวัสดีครับ ขออนุญาต ลปรร ด้วยครับ เพราะถูกพาดพิงอาชีพเดียวกัน
ก็คงจะไม่สนับสนุนหรือคัดค้านว่าความคิดของฝ่ายใดถูกหรือผิดนะครับ แต่ผมมีมุมมองอย่างนี้ครับ
ที่ท่านผู้อำนวยการโรงเรียนท่านนั้นพูด ก็ถูกครับ แต่ถูกส่วนหนึ่งในมุมมองของเขา คือ อาจจะมองว่าชาวบ้านคงจะมุ่งแต่การทำมาหากิน คงจะไม่สนใจเรื่องกฏหมายทรัพย์สินทางปัญญา ซึ่งมองว่าเป็นเรื่องไกลตัว ในเมื่อเขาไม่สนใจ เอาไปบอกเขาก็ไม่มีประโยชน์อะไร (ไม่ทราบว่าผมจะคิดตรงกับผู้อำนวยการท่านนั้นหรือเปล่า)
มุมมองดังกล่าว เป็นมุมมองแบบ "ชนชั้น" ครับ เรายังแยกระดับ แยกชนชั้นกันอยู่ เป็นสังคมแนวดิ่ง ในกรณีของกฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา อาจจะมองว่าเป็นเรื่องของข้าราชการ หรือ ผู้มีอำนาจเท่านั้น ชนชั้นล่างไม่จำเป็นต้องรู้ คือ รู้ไปก็ไม่มีประโยชน์ ประเดี๋ยวมีปัญหา ผู้มีอำนาจเขาก็จัดการให้เอง อะไรประมาณนั้น
แต่ถ้ามองแบบแนวราบ คือ มองว่าทุกคนเท่ากันหมด กรณีของกฏหมายทรัพย์สินทางปัญญา ก็จำเป็นที่จะต้องบอกให้ทุกคนได้มีความรู้ความเข้าใจครับ เพราะถือว่าเป็นเรื่องของทุกคน ทุกคนต้องมีสิทธิและหน้าที่ ในการที่จะรับรู้และมีส่วนร่วม การป้องกันและแก้ปัญหา
ผมว่าถ้าจะให้ดี หากย้อนอดีตไปได้ ต้องย้อนกลับไปถามผู้อำนวยการท่านนั้นอีกทีว่า มีเหตุผลอะไร ที่คิดอย่างนี้ อาจจะมีคำตอบอะไรดีๆก็ได้นะครับ
ขอบคุณครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีคะคุณsmall man
ขอบคุณมากคะ สำหรับความคิดเห็นที่ดีคะ.
แต่อย่างไรก็ตาม (ความเห็นส่วนตัว)คิดว่าก็เป็นหน้าที่ของผู้รู้ต้องพยายามไปให้ความรู้ประชาชน หรือชาวบ้าน..เท่าที่จะทำได้คะ..ส่วนเขาจะรับได้แค่ไหนก็..อีกเรื่องหนึ่ง..จึงต้องช่วยกัน..
ยกตัวอย่าง กรณีของมหาวิทยาลัยนเรศวร เราจะมีหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ทุกคณะจะเวียนกันไปร่วมกิจกรรมกับหน่วยแพทย์เคลื่อนที่ ตามชนบท หรือพื้นที่ห่างไกลความเจริญ แต่คณะนิติ กับหน่วยกฎหมายของมหาวิทยาลัยจะสลับกันไปทุกครั้ง..และมีเอกสารความรู้กฎหมายเบื้องต้นไปแจกให้ฟรี
ปัญหาที่เราพบก็คือชาวบ้านจำนวนไม่น้อยสนใจกฎหมาย ทั้งที่รู้หนังสือบ้างไม่รู้บ้าง แต่เพราะถูกโกง หรือถูกครอบงำ จากหัวหน้าชุมชน..ซึ่งดูจะมีความรู้มากกว่าเพื่อน..ดังนั้น จึงคิดว่าเป็นหน้าที่ของผู้รู้ เช่น ครู อาจารย์ เป็นต้น ต้องพยายามให้ความรู้เขาเมื่อมีโอกาส..แม้การไปให้ความรู้ชาวบ้าน.."ร้อยคน จะมีแค่หนึ่งคนที่เข้าใจบ้าง" ก็คิดว่าดีเยี่ยมแล้วคะและเป็นหน้าที่ของเรา ..ที่ต้องให้ความรู้เขา..เพราะหนึ่งในร้อยนั้น..เราอาจกำลังชุบชีวิตครอบครัวเขาอยู่..ก็เป็นได้..(กำลังจะถูกโกง)..และเขาเองก็.. อาจช่วยเราไปเผยแพร่ความรู้ต่อเพื่อนบ้านได้..อีกเป็นสิบ.. เป็นร้อยคนก็ได้ ผิดบ้างถูกบ้างก็ไม่เป็นไร แต่อย่างน้อยเขาก็ตื่นตัวล่ะ..และเขา.. จะเริ่มให้ความสนใจในเรื่องของกฎหมายมากขึ้น เริ่มมองเห็นประโยชน์ของการรู้กฎหมาย..เริ่มให้ความสนใจในสิทธิ หน้าที่ของตนเองในฐานะประชาชน ที่อยู่ภายใต้กฎหมายรัฐธรรมนูญ ...มากขึ้น..และเริ่มมองว่ากฎหมายเป็นเรื่องใกล้ตัว..ต้องรู้บ้างไม่มากก็น้อย..แล้วจะปลอดภัย..ไม่ถูกโกง..ไม่ถูกเอาเปรียบ..
กฎหมายคืออะไรชาวบ้านบ้างคนก็ยังไม่รู้..กฎหมายรัฐธรรมนูญคืออะไร..ก็ยิ่งไม่รู้อีก..แต่ไม่รู้มากเท่าไร..ก็เป็นหน้าที่ของเรา..ที่ต้องให้ความรู้เขา..มากยิ่งขึ้น..ท้อแท้ไม่ได้เลย..
ดังนั้น ถ้ายิ่งบอกว่ากฎหมายทรัพย์สินทางปัญญา ชาวบ้านก็ยิ่งไม่ทราบเข้าไปอีกว่าอะไร..เพราะฟังแล้วน่าจะไกลตัวมากเลย.. แต่พอพูดถึง..ภูมิปัญญาชาวบ้าน..ตำรับยาสมุนไพร การแพทย์แผนไทย นวดแผนโบราณ....สิ่งเหล่านี้..ก็เริ่มเป็นเรื่องใกล้ตัวเขา.เขาก็เริ่มรู้แล้วว่า..อ้อ..เอ๊ะ ..เรื่องใกล้ตัวเขานี่..หรือเรื่องกู้ยืมเงิน..อ้อ เพิ่งถูกโกงเอง อะไรแบบนี้ ...ซึ่งเป็นเรื่องใกล้ตัวเขามาก..เขาก็จะเริ่มสนใจที่อยากจะรู้.. แต่ต้องใช้ภาษาชาวบ้านคุยกับชาวบ้าน..ไม่ใช่ใช้ภาษากฎหมายคุยกับชาวบ้าน....จึงคิดว่า..ผอที่ว่านี้.. ก็คงเคยคุยกับชาวบ้าน..แต่อาจใช้ภาษาที่ชาวบ้านไม่เข้าใจ..เมื่อไม่เข้าใจ..เขาก็มองว่าเป็นเรื่องไกลตัว..ไม่เกี่ยวกับเขา เขาก็เลยไม่สนใจ..จึงเป็นปัญหาได้..
สิ่งที่น่าเห็นใจมากที่สุดคือได้รับรู้ว่า..ชาวบ้านถูกโกง ชนิดที่ไม่น่าเชื่อว่าคนเราจะหลอกได้ง่ายๆแบบนี้.."ชาวบ้านบอกก็ฉันไม่รู้เรื่องอะไร..ก็เขาให้ฉันเขียนชื่อ นามสกุลลงไปในกระดาษ..เงินฉันก็ไม่ได้ไปเอาของเขามา ฉันไม่ได้ไปเอา อะไรของเขามาเลย แต่เขาให้ฉันใช้หนี้เขา.."..ฟังแล้ว..มึนแทนป้าแก....นึกสงสาร..และนึกในใจว่าต้องพยายามให้ความรู้ชาวบ้าน..ให้มากที่สุดเท่าที่มีโอกาส..เพราะชาวบ้าน.. ถูกเอาเปรียบจากผู้ที่มีความรู้มากกว่า...น่าสงสารมาก...จึงคิดว่าเป็นหน้าที่ของเราๆท่านๆคงต้องช่วยกันคนละไม้ละมือ..เท่าที่สามารถทำได้คะ..น่าจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดคะ ขอบคุณคะ
ด้วยรักจากใจ..ยาย หมูอ้วน
สวัสดีอีกครั้งครับ ท่านอาจารย์
อ่านแล้วประทับใจมากครับ ประทับใจในความเป็น "ครู" ของท่านอาจารย์
จากที่อ่านมา ท่านอาจารย์มีความเป็น "ครู" สูงมากครับ
ท่าน ผอ.ท่านนั้น อาจจะมุ่งเน้นแต่เรื่องบริหาร เลยอาจจะหลงลืมความเป็น "ครู" ไป
ขอความกรุณาท่านอาจารย์ช่วยเน้นย้ำความเป็นครูให้กับท่านผู้อำนวยการโรงเรียนบ้างก็ดีนะครับ
ขอบคุณครับ
สวัสดีคะท่านผอ.
ขอบพระคุณคะ และจะรับไปปฏิบัติตามคำแนะนำคะ
ขอบคุณคะ
ด้วยรักจากใจ