เมื่อเรามองทุกสิ่งได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ...... เมื่อเห็นปัญหาเราก็จะพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อไปช่วย ไปแก้ปัญหา และยิ่งพบกับปัญหายากลำบากมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายให้เราต้องหาทางแก้ปัญหานั้นให้ได้อย่างลึกซึ้ง
๑๕ ก.พ.๕๑
เช้าวันนี้เริ่มด้วย... วิทยากรให้นั่งสงบทำสมาธิประมาณ ๔๕ นาที โดยระหว่างนั่งสมาธิวิทยากรก็จะบรรยาย เล่าเรื่องต่างๆ เน้นประเด็นที่ว่า ให้เปรียบว่า คนอื่น หรือ สรรพสิ่งบนโลก เป็นเหมือนแขนขา ร่างกายของเรา... เพราะเมื่ออวัยวะของเราบาดเจ็บหรือเจ็บปวด เราจะดูแลอวัยวะส่วนนั้นเป็นอย่างดีและทันทีทันใด ดังนั้นหากคิดว่า คนอื่นหรือสิ่งรอบตัวเราเป็นเหมือนแขนขา เราจะดูแล รักษา เยียวยา สิ่งเหล่านั้นเป็นอย่างดี ไม่ใช่แค่สงสารหรือเห็นใจแต่เราจะกระโดดลงไปช่วย...
"หากร่างกายเราส่วนหนึ่งบาดเจ็บสาหัสเราคงไม่ตัดอวัยวะส่วนนั้นออกทันทีเพื่อบรรเทาความเจ็บปวดแต่จะรักษาอวัยวะนั้นจนหายดี.. ดังนั้นถ้าเรามองทุกสิ่งรอบตัวเป็นอวัยวะของเรา เราก็จะไม่ตัดสิ่งที่มีปัญหานั้นออกแต่เราจะเยียวยารักษาสิ่งนั้นเป็นอย่างดี"
สำหรับการเยียวยารักษานั้นประเด็นที่สำคัญคือต้องเชื่อมโยงเข้ากับทุกส่วนในร่างกายหรือทุกสรรพสิ่ง ซึ่งจะทำให้เรามองเห็นและเข้าใจสิ่งต่างๆ ได้ลึกซึ้งแม้จะเป็นสิ่งเล็กๆ (เป็นการฝึกให้เราคิดเชื่อมโยงแบบองค์รวม.. ไม่ใช่เฉพาะจุด)
"การถูกมีดบาดที่ปลายนิ้ว ใช่ว่าความเจ็บ ความรู้สึกจะอยู่แค่ที่ปลายนิ้ว แต่ความเจ็บจะขยายไปทั้ง นิ้ว มือ แขน ร่างกาย... ประสาทรับรู้ต่างๆ ถูกส่งให้ทุกส่วนในร่างกายไปเยียวยารักษาบาดแผลที่ปลายนิ้วนั้น"
เมื่อเรามองทุกสิ่งได้อย่างลึกซึ้ง เข้าใจอย่างลึกซึ้ง ...... เมื่อเห็นปัญหาเราก็จะพยายามพัฒนาตัวเองเพื่อไปช่วย ไปแก้ปัญหา และยิ่งพบกับปัญหายากลำบากมากขึ้นเท่าไร ก็ยิ่งเป็นสิ่งที่ท้าทายให้เราต้องหาทางแก้ปัญหานั้นให้ได้อย่างลึกซึ้ง
หลังจากนั้นสมาธิ จิตใจสงบดีแล้ว... วิทยากรได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับความเมตตากรุณา การคิดอย่างลึกซึ้ง หลายเรื่อง แต่เรื่องที่เป็นประเด็นในการพูดคุยของผู้เข้าร่วมมากๆ คือ เรื่องพระโพธิสัตว์กัปตัน รายละเอียดมีอยู่ว่า (รายละเอียดปลีกย่อยอาจมีคลาดเคลื่อนเล็กน้อยนะคะ.. เนื่องจากเป็นภาษาอังกฤษ)
"เรือลำหนึ่ง มีผู้โดยสารอยู่เต็มลำเรือ ในเรือลำนั้นมีพระโพธิสัตว์จำนวน ๕๐๐ คน ที่เดินทางไปช่วยสิ่งมีชีวิตต่างๆ บนโลก ซึ่งในเรือลำนั้นมีลูกเรือ ๑ คน (ไม่ใช่พระโพธิสัตว์) ตั้งใจจะฆ่าพระโพธิสัตว์ทั้ง ๕๐๐ คนนั้น เพื่อเอาทรัพย์สิน... แต่มีพระโพธิสัตว์ที่เป็นกัปตันเรือหยั่งรู้ว่า ลูกเรือคนนั้นจะฆ่าพระโพธิสัตว์ทั้งหมด... จึงคิดทบทวนว่า หากลูกเรือคนนั้นฆ่าพระโพธิสัตว์ทั้งหมดจะต้องรับทุกข์หนักมากจนไม่สามารถนับอไขยสงค์ได้ และพระโพธิสัตว์ทั้งหมดต้องตายและไม่สามารถไปช่วยเหลือสรรพสิ่งที่รอความช่วยเหลืออยู่... ทำให้คิดที่จะฆ่าลูกเรือคนนั้นเองเพื่อตัดกรรมที่ลูกเรือคนนั้นจะได้รับและป้องกันไม่ให้พระโพธิสัตว์ถูกฆ่า และตนจะเป็นคนรับกรรมที่ฆ่าลูกเรือคนนั้นเพียงคนเดียว"
ซึ่งเมื่อฟังจบ วิทยากรให้จับกลุ่มย่อยแล้วแลกเปลี่ยนในกลุ่มใหญ่... ผู้เข้าร่วมเกือบทั้งหมดไม่เห็นด้วยกับการฆ่าคน วิธีการอื่นน่าจะมีที่ดีกว่านี้ และทางพุทธไม่ให้ใช้ความรุนแรง การฆ่าคนถือเป็นบาปหนัก... วิทยากรก็ไม่ได้สรุปว่าจริงๆ แล้วพระโพธิสัตว์ได้ฆ่าลูกเรือจริงหรือไม่ เพราะเป็นเพียงการคิดเท่านั้น ซึ่งในความจริงก็มีวิธีการอื่นๆ อีกมากมายที่ทำได้ แต่ที่ยกเรื่องนี้ให้ฟังก็เพื่อให้เห็นว่าพระโพธิสัตว์มองเห็นและเข้าใจอย่างลึกซึ้งถึงผลที่จะตามมาและมีความเมตตากรุณามากจนยอมเสียสละตัวเองรับกรรมแทน เพื่อให้ลูกเรือไม่ต้องรับทุกข์แสนสาหัสและพระโพธิสัตว์ทั้งหมดก็สามารถทำประโยชน์ต่อไปได้อีกมาก... ข้อคิดสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ ในบางครั้งเราต้องเข้มแข็งกล้าตัดสินใจที่เด็ดขาดเพื่อให้ส่วนรวมคงอยู่
ประโยคเด็ดที่ได้จากวันนี้คือ
- ในแนวทางพระโพธิสัตว์ คือ ทำอย่างไรจึงจะเก่ง สอน ฝึกคนอื่นได้ มีความสามารถมากขึ้นได้ โดยการใช้สติ ไม่ใช่ไร้สติ พระโพธิสัตว์ต้องฝึกฝนทุกศาสตร์ ที่สำคัญคือ ต้องฝึกใจให้นิ่งมีปัญญา แต่ ปัญญา คือ ความเยือกเย็น กรุณา คือ ความอบอุ่น ดังนั้นพระโพธิสัตว์ต้องมีทั้งปัญญาและกรุณาเพราะถ้ามีแต่ปัญญาไม่มีกรุณา คนๆ นั้นจะมีแต่ความเย็นชา
- ผู้นำเปรียบเหมือนจรวดนำวิถี ผู้นำพาไปทางไหนผู้ตามก็จะตามไปทางนั้น ดังนั้นการเข้าถึงผู้นำได้จะสามารถพาผู้ตามไปเส้นทางใดได้ง่าย
- สิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการศึกษา คือ ทำให้ระบบประสาทเป็นมิตรกับการศึกษาไม่ใช่ศัตรู เพราะเดี๋ยวนี้นักเรียนเห็นการศึกษาเป็นศัตรู เป็นเรื่องน่าเบื่อ เป็นเรื่องยาก เป็นเรื่องไกลตัว
ติดตามอ่านกิจกรรมวันที่ ๑๗ ก.พ.๕๑ ได้ในบันทึกต่อไปนะคะ
URAImAN