"จากเซ็นเซอร์สู่เรตติ้ง...ระบบที่ต้องเรียนรู้จากสังคม"
(20 กุมภาพันธ์ 2551 กับ ผศ.ดร.กฤษดา เกิดดี หัวหน้าภาควิชาภาพยนตร์ ม.รังสิต)
เช้าวันนี้มีนัดพบกับท่านอ.กฤษดา เกิดดี ผู้เป็นทั้งนักวิชาการและนักวิจารณ์ที่คร่ำหวอดในแวดวงภาพยนตร์ต่างประเทศและภาพยนตร์ไทย ท่านมีผลงานทั้งงานทางวิชาการและผลงานบทวิจารณ์มากมาย อาทิ พิพากษานอกศาล (2541, สนพ.มติชน) / การเซ็นเซอร์ภาพยนตร์ (2548, สนพ.ห้องภาพสุวรรณ) ฯลฯ และยังเป็นนักเขียนทั้งในหนังสือพิมพ์ข่าวสดและนิตยสารสตาร์พิคส์ นิตยสารที่ได้ชื่อว่าอยู่คู่กับวงการภาพยนตร์ทั้งไทยและเทศมากว่า 40 ปี ในครั้งนี้ทีมงานมีนัดกับอ.กฤษดา 10 โมงเช้าที่คณะนิเทศศาสตร์ (อาคารอุไรรัตน์) มหาวิทยาลัยรังสิต
เมื่อถึงเวลานัดหมายทีมงาน ME ซึ่งประกอบด้วยท่านอ.อิทธิพล / พี่เหยียน / อี๋ / แนทและน้องคิว ได้แลกเปลี่ยนแนวคิดและร่วมรับฟังความคิดเห็นของอาจารย์ต่อการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อภาพยนตร์ งานวิจัยที่อ.อิทธิพลกำลังดำเนินการศึกษาอยู่ โดยอาจารย์กฤษดาได้ให้ข้อคิดที่ควรคำนึงถึงในเรื่องของกฎหรือเกณฑ์ที่จะใช้ประกอบในการให้เรตติ้งแก่ภาพยนตร์ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งชาว ME สามารถประมวลมาได้ดังนี้
นอกจากนี้อาจารย์ยังให้ความเห็นในเรื่องของการพาเด็กเข้าไปชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ด้วยว่า เด็กที่อายุต่ำกว่า 10 ปี ไม่ควรเข้าไปชมภาพยนตร์ในโรงภาพยนตร์ เพราะนอกจากจะเป็นเหตุผลทางด้านสมาธิในการนั่งนิ่งๆ ในที่มืดๆ เป็นเวลานานๆ (ที่เด็กๆ มักทำไม่ได้)แล้ว ยังมีเหตุผลอื่นๆ อีก เช่น เหตุผลในด้านสภาพแวดล้อมของโรงภาพยนตร์ที่ไม่เหมาะสำหรับเด็กเล็ก(ถึงแม้จะไปชมกับผู้ปกครองก็ตาม) เพราะอันตรายต่อเด็กทั้งในเรื่องความปลอดภัย (หากเกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้น) อากาศหมุนเวียนในโรงภาพยนตร์ ฯลฯ เด็กที่อายุน้อยมากๆ ผู้ปกครองจึงไม่ควรพาไปชมในโรงภาพยนตร์เพราะเด็กอาจได้รับเชื้อโรคและกลับบ้านมาป่วยได้ แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดที่อาจารย์กฤษดา เน้นย้ำในประเด็นการจัดระดับความเหมาะสมของสื่อก็คือ เกณฑ์ต่างๆ ที่จะออกมาเป็นคู่มือต้องเป็นสิ่งที่ทุกฝ่ายสามารถทำความเข้าใจร่วมกันได้ และไม่ควรมีเหตุผลหรือเกณฑ์อื่นๆ ที่นอกเหนือไปจากที่ระบุในคู่มือดังกล่าวที่จะยกมาใช้เป็นเหตุผลในการตัดเนื้อหาภาพยนตร์ซ้ำอีก
ดิฉันชอบดูหนัง และอยากเห็นหนังไทยมีการจัด Rating และอยากให้โรงหนังจำกัดคนเข้าชมตาม Rating ในกรณีฉายหนังต่างประเทศ ไม่อยากเห็นพ่อแม่พาเด็กๆ เข้าไปดูหนังที่ไม่เหมาะสม (ที่เห็นประจำ) จริงๆ แล้วพ่อแม่ไม่เข้าใจว่าหนังบางเรื่องเป็นอันตรายต่อสุขภาพ(จิต)ลูกอย่างมาก
เห็นพูดกันมานานแล้ว ปัญหามันอยู่ตรงไหนคะ
หรือว่าตอนนี้อยู่แล้ว เพราะดิฉันไม่เข้าโรงหนังมาใกล้ครบปีแล้วค่ะ
ตอนนี้ประเด็นปัญหาหลักๆ น่าจะอยู่ที่เรื่องของความรู้ความเข้าใจ ทั้งจากตัวพ่อแม่ผู้ปกครองเอง และตัวสังคมรอบๆ ข้างค่ะ ถ้าจะกล่าวถึงปัญหาภาพรวมใหญ่ๆ ต้องบอกว่า สังคมเรากำลังขาดความรู้ในเรื่องนี้(เรื่องเรตติ้งและอีกหลายๆ เรื่อง) ที่บอกว่าขาดความรู้ไม่ใช่ว่าไม่รู้นะคะ ส่วนใหญ่จะรู้ว่าเรตติ้งคืออะไร แต่ส่วนใหญ่ไม่เห็นความสำคัญของเรตติ้งต่างหากค่ะคุณนุ้ย
ถ้าตัดฉากร่วมรักจากหนังที่มีเนื้อหาดีๆ เรื่องหนึ่งโดยไม่ให้คนดูได้ดูบริบทแวดล้อมใดๆ ของเรื่องเลยนะ และตัดฉากร่วมรักจากคลิบฉาวๆ มาให้คนดู ตัดสินได้เลยว่า 2 ฉากจากสื่อ 2 ประเภทนี้จะถูกจัดให้อยู่เรตเดียวกัน
บางฉากบางตอนในหนังมีความจำเป็นต่อการเล่าเรื่อง ผู้สร้างที่ดีควรรู้ว่าศิลปะในการถ่ายทอดทำอย่างไรได้บ้าง ในขณะที่ผู้ชมก็ควรมีความรู้เท่าทันธรรมชาติของสื่อแต่ละสื่อด้วย
ที่สำคัญไปกว่านั้น คนที่จะทำงานเกี่ยวกับการจัดเรตติ้งก็ควรเข้าใจศิลปะในการสร้างสรรค์งานของสื่อแต่ละชนิดด้วย ไม่อย่างนั้นการสร้างสรรค์ทางสังคมที่พยายามทำ ก็อาจกลายเป็นดาบสองคม เป็นเครื่องมือที่ทำลายและจำกัดความคิดสร้างสรรค์ในทางศิลปะลงได้
อีกประเด็นหนึ่งเป็นเรื่องของศิลปะและศิลธรรม
บางทีรู้สึกว่าเรื่องของศิลธรรม และศิลปะ เป็นเรื่องที่สังคมของเราได้แต่เพียงแตะๆ เอาไว้ พูดถึงศิลธรรมคนนึกถึงวัด พูดถึงศิลปะคนนึกถึงรูปวาด แต่ไม่เข้าใจลึกซึ้งจริงๆ ปัญหาเลยเกิดขึ้นมากมาย อย่างหนังหรือภาพยนตร์คนทั่วไปก็อาจจะไม่ได้มองว่ามันคือศิลปะอีกแขนงหนึ่ง
ถ้าทั้งผู้ให้/ผู้สร้างสื่อ และผู้รับชม/ผู้รับสาร สามารถผสมผสานศิลปะ และ ศิลธรรมเข้าด้วยกันได้อย่างเข้าใจ คำว่าเรตติ้งก็เขียนอยู่ในใจแล้วค่ะ
ตามอ่านอยู่ อ.แหววต้องมองภาพงานของพวกเธอทั้งหมดให้ออก อ.ว่า พวกเธอไม่มีภาพงานอันเดียวกันในหัว และที่ปรึกษาต่างๆ ก็ไม่มีภาพเดียวกัน
ไม่ได้ว่า ไม่ดีนะ อย่าเข้าใจผิด
แต่ภาพที่มีมันคนละมุม แม้ภาพเดียวกัน กระแสคิด ก็จะไม่แรงเท่าที่ควร