ในวันที่ 2 พวกเราบางคนกระวีกระวาดตื่นมาออกกำลังกาย รำมวยจีน ตั้งแต่เจ็ดโมงเช้า อาจารย์สอนให้เราอบอุ่นร่างกายก่อนที่จะ เริ่มรำ ช่วงที่รำมวยจีนให้คิดว่ากำลังอุ้มลูกบอลหนัก 25 กิโลกรัม ชอบตอนที่มีเพลงเปิดคลอ พร้อมกับคำพูดของอาจารย์ช่วยให้เราสร้างจินตนาการเกิดความผ่อนคลายระหว่างออกกำลังไปด้วย วันแรกยังไม่ได้เน้นความถูกต้องของท่าทางสักเท่าใด
หลังอาหารเช้า กลับมาพบกันประมาณเก้าโมงครึ่ง ให้ทุกคนหันหน้าหาคู่ของตัวเองแล้วเล่าว่าเมื่อคืนรู้สึกอย่างไร หลับสบายไหม พบอะไรบ้าง เสร็จแล้วให้เปลี่ยนที่นั่งเพื่อหาคู่ใหม่ หันหน้าเข้ามาคุยกันเรื่องเดิมอีก จากนั้นกลับมานั่งที่เดิมแล้ว reflect ในวงใหญ่ให้เล่าว่าเราฟังแล้วได้ยินอะไรจากคนที่เราไปคุย และการเปลี่ยนที่นั่งทำให้เรารู้สึกอย่างไรบ้าง ผลก็คือการเปลี่ยนที่นั่งทำให้ energy ในการพูดคุยของเราเปลี่ยนไปด้วย
อาจารย์กระบวนกร เริ่มให้เทคนิคของการสนทนาในวง dialogue
&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&&
ช่วงบ่ายเปิดพื้นที่ให้จับกลุ่ม 5 คนเพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์ของการเป็น Inno FA ของแต่ละคน ให้สังเกตว่าเรากินพื้นที่คนอื่นมากเกินไป พูดมากกว่าฟังหรือไม่ จากการพูดคุยแบบเป็นทางการกลายเป็นการพูดคุยเรื่องทั่วไปเพื่อเรียนรู้กันและกันมากขึ้น หลายวงเกิดปรากฏการณ์แบบเดียวกันในหัวข้อเรื่องที่แตกต่างกันไป
หลังอาหารเย็นพวกเรากลับมาล้อมวงใหญ่เรียนรู้เรื่องสภาวะปกติ กับ สภาวะปกป้อง สภาวะทั้งสองของเรามีคุณสมบัติที่ตรงกันข้ามกัน ที่สำคัญถ้าเราอยู่ในสภาวะปกป้อง เราจะปิดรับ ไม่สื่อสาร หวาดระแวง ทำให้เราต้องใช้พลังมากกว่าสภาวะปกติ ถ้าเราใช้ภาวะปกป้องมากๆ เราจะเครียด สุขภาพแย่ลง
ในส่วนของเนื้อหา เริ่มรู้จักปัญญา 3 ฐาน ได้แก่
ในค่ำวันที่สอง พวกเราได้จับมือกันนั่งล้อมวง และกระบวนกรดับไฟ จุดเที่ยนวับๆ แวมๆ เปิดพื้นที่ให้ใครก็ได้ที่อยากบอกอะไรกับคนในวง โดยให้พูดเป็นคำสั้นๆ สัก 3 คำ สื่อสารอย่างมีเงื่อนไข ตอนนี้แหละที่ต้องฝึกความอดทนต่อความเงียบ ไม่ค่อยมีคนอยากพูด บางคนมาเผยตอนหลังว่า อยากฟังมากกว่า บางคนก็บอกว่า การเงียบอาจสื่อผ่านมือที่จับคนข้างๆ บางคนนึกคำไว้ในใจที่ตรงกับคนที่พูดออกมา ... สำหรับตัวเองค่อนข้างอึดอัดกับความเงียบ ฝึกฝืนที่จะไม่พูด และเฝ้าดูคนอื่นก่อน อีกทางหนึ่งแม้อยากพูด ก็ต้องสรรหาคำให้เหมาะสมมากกว่าพูดยาวๆ ทำให้พูดไม่ออก หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง มีคนเริ่มพูดออกมายาว ทำให้คนอื่นพูดตามบ้าง พี่คนเดิมกลับมาพูดอีก ทำให้คนอื่นก็เลยกล้าพูดรอบสองตาม
บรรยากาศในวงเหมือนมีมนต์สะกด ทำให้คิดไปถึงอดีตที่ถูกลืมไปนาน ผุดขึ้นมา จนอยากบอก แต่เกรงว่าจะกินพื้นที่ จึงขออนุญาตกระบวนกร ว่าขอร้องเพลงได้ไหม เมื่อได้รับอนุญาต เราเลยร้องเพลง "อยากให้ความรักเพื่อคนทั้งโลก" ตอนร้อง คนอื่นจะรู้สึกอย่างไรไม่รู้ แต่สำหรับตัวเอง มันมาจากก้นบึ้งของหัวใจจริงๆ ไม่ได้สนใจคุณภาพเสียงของตัวเอง เหมือนตอนอยู่ในวง chorus เลย คืนที่สองผ่านไป กลับไปนอนหลับสนิทเป็นสุขมากกว่าคืนแรก
สวัสดีค่ะ อาจารย์
สวัสดีค่ะ 1. pa_daeng
จริงๆ ไม่ค่อยอยากเรียกป้าแดงเลยค่ะ เรียกพี่ดีไหมคะ
ต้องขอขอบพระคุณค่ะที่เข้ามาร่วมแสดงความคิดเห็น คิดอยู่เหมือนกันว่าต้องมีคนเคยเข้าอบรมทำนองนี้บ้าง โดยเฉพาะในแวดวง G2K
ว่าแต่ที่ป้าแดงเต้นเวบ เป็นยังไงคะ ส้มไม่เคยเต้นเลยค่ะ พอจะแนะนำได้ไหมคะ
Key Learning : Difficult for me to understand what you have really experienced. However, the message seemed to be focused on "Deep Listening" & "Respecting the person whom we are talking with" ???
Challenge : Can we apply this practice to discuss about our work topics in the office ??
Dear KP
I really apprciate, you follow my learning experience by reading and giving your opinions that is the most valuable for me.
I realize it's hard to deeply explain what real matter I got from this session. However, I think you already understand the key point of this experience. I would like you to join as one participant in the 3rd round and then you will get more than reading my diary ka.