s sukanya baikawinเขียนเมื่อ 24 กุมภาพันธ์ 2549 10:23 น. ()
แก้ไขเมื่อ 8 พฤษภาคม 2555 14:18 น. ()
ประโยชน์ของการประกันคุณภาพการศึกษา
สมศักดิ์
สินธุระเวชญ์ (2540 : 3) กล่าวว่าการประกันคุณภาพการศึกษา
ทำให้ผู้เกี่ยวข้องได้รับประโยชน์ ดังนี้
|
1. |
ผู้เรียนจะมีความรู้
ความสามารถ และมีคุณลักษณะต่าง ๆ
ครบตามความคาดหวังของหลักสูตร |
2. |
ประชาชน
จะเกิดความมั่นใจในการส่งบุตรหลานเข้าเรียนในสถานศึกษาต่าง ๆ
ว่าแต่ละแห่งมีคุณภาพการศึกษาในมาตรฐานกลางเดียวกัน |
3. |
หน่วยงานต่าง ๆ
สามารถผู้สำเร็จการศึกษาเข้าทำงานด้วยความมั่นใจ |
4. |
สังคม
มั่นใจในการจัดการศึกษาของสถาบันการศึกษา |
5. |
สถานศึกษา
มีทิศทางการจัดการศึกษาที่ชัดเจนตามมาตรฐานกลางที่กำหนด
มีระบบบริหารคุณภาพ ระบบควบคุมคุณภาพ มีการทำงานที่เป็นมาตรฐาน
ทำงานเป็นทีม และมีการพัฒนางานอย่างต่อเนื่อง |
เสนอความเห็นว่าในเชิงที่ไม่ค่อยเห็นด้วยเท่าใดนัก
ต่อการประกันคุณภาพการศึกษาแบบประเมินสถาบันทั้งองค์รวมในออสเตรเลีย
เขากล่าวว่ามหาวิทยาลัยต้องการทราบว่าในปี 1995
รัฐบาลต้องการประเมินสิ่งใดระหว่าง
|
1. |
คุณภาพของมหาวิทยาลัย
หรือ |
2. |
คุณภาพของงานเขียนที่รัฐบาลกำหนดให้ส่ง
คุณภาพที่แท้จริงอาจจะยังค้นหาไม่พบ
สิ่งที่พบอาจจะเป็นเพียงคุณภาพของการนำเสนอข้อมูล
เท่านั้น |
การประกันคุณภาพการศึกษาในประเทศออสเตรเลีย
ซึ่งเป็นเหมือนกับการตรวจสอบประสิทธิภาพ
และประสิทธิผลของการบริหาร เพราะมักจะนำเรื่องนี้ไปผูกติดอยู่กับ
การเพิ่มหรือลดงบประมาณสนับสนุนมหาวิทยาลัย
นอกจากนี้ในการทดลองตอบแบบการประเมินคุณภาพพบว่าต้องใช้เวลามาก
มหาวิทยาลัยตกอยู่ในภาวะที่ถูกบีบบังคับให้ปั้นน้ำเป็นตัว
อย่างไรก็ตาม ถ้าการประเมินคุณภาพ ตั้งอยู่บนพื้นฐานของการประเมิน
“ผลสัมฤทธิ์ในการบริหารมหาวิทยาลัยที่มีประสิทธิภาพ และประสิทธิผล”
สถาบันการศึกษาทั้งหลายก็อาจจะมีแนวโน้มที่จะเน้นที่การบริหารจัดการ
ให้มีประสิทธิภาพมากกว่าจะมุ่งความเป็นเลิศทางวิชาการ ดังนั้น
จึงทำให้มีคำถามที่ว่า การบริหารมหาวิทยาลัยอย่างมีประสิทธิภาพ นั้น
เป็นเรื่องที่ช่วย เพิ่ม หรือเป็นการ ลด คุณภาพ ของมหาวิทยาลัย
และควรประเมินที่ระดับใด ระหว่างระดับสาขาวิชา
กับระดับสถาบัน
|
รัฐบาลตั้งคณะกรรมการประกันคุณภาพการอุดมศึกษา (Committee for Quality
Assurance in Higher Education: CQAHE) เพื่อดำเนินการประเมินคุณภาพ
และเสนอความเห็นต่อรัฐบาลในการจัดสรรงบประมาณ
ถึงแม้จะมีการถกเถียงกันเกี่ยวกับธรรมชาติของกระบวนการประเมินคุณภาพที่จะนำมาใช้
แต่ท้ายที่สุดก็ได้ข้อสรุปว่า
การประเมินคุณภาพควรจะต้องทำในบริบทของภารกิจของสถาบัน
และใช้การประเมินตนเอง (Self-Assessment)
เพื่อทราบระดับความมีประสิทธิภาพในการประกันคุณภาพการศึกษาของมหาวิทยาลัย
ผลลัพธ์ที่ได้จากมหาวิทยาลัยก็ถูกตรวจสอบด้วยเช่นกัน
มีการใช้แฟ้มสะสมผลงาน (Portfolio) เพื่อตอบคำถามต่อไปนี้
|
|
- มหาวิทยาลัยมีนโยบาย และการดำเนินการ
เกี่ยวกับการประกันคุณภาพอย่างไรบ้าง
- ทั้งสองเรื่อง
มีประสิทธิภาพอย่างไรบ้าง
- มีการตัดสินคุณภาพของผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินงานอย่างไร
- ผลลัพธ์ที่ได้จากการดำเนินงาน
ของมหาวิทยาลัยมีความเป็นเลิศในสาขาใด (What Area) และด้วยวิธีการใด
(What Ways)
- พัฒนาการของมหาวิทยาลัย
เมื่อเรียงตามลำดับความสำคัญแล้ว ได้แก่สิ่งใดบ้าง
|
การตรวจสอบคุณภาพแบบมององค์การทั้งองค์รวม
เพื่อที่จะประกันคุณภาพการศึกษานั้น
เป็นวิธีการวัดที่มีความคลุมเครือเกินไป
กระบวนการประเมินแบบนี้ต้องถูกวิพากษ์วิจารณ์ในเรื่องความไม่กระจ่างชัด
และวิธีการไม่ชัดเจนหรือมีน้ำหนักเพียงพอที่จะโต้แย้งคำวิพากษ์วิจารณ์ได้
การประเมินแบบนี้ไม่ใช่กระบวนการที่จะนำไปสู่การปรับปรุงคุณภาพ
ที่ต่อเนื่องและพัฒนาวัฒนธรรมการประกันคุณภาพในมหาวิทยาลัย
|
กระบวนประเมินคุณภาพมหาวิทยาลัยไม่มีความเที่ยงตรง
มหาวิทยาลัยที่มีผลการประเมินสูงมักจะได้รับงบประมาณมาก
ในขณะที่มหาวิทยาลัยที่มีผลการประเมินต่ำต้องอยู่ในสถานะที่เสียเปรียบ
|
มหาวิทยาลัยควรมีเสรีภาพในการกำหนดภารกิจของตน
รัฐบาลควรรับผิดชอบที่จะกำกับในระดับชาติ
ซึ่งทุกมหาวิทยาลัยควรได้รับอนุญาตให้ประเมินตนเอง
ผลการประเมินของกลุ่มมหาวิทยาลัยประเภทเดียวกันมักเข้าข้างกันเอง
เพราะหากแสดงความแตกต่างอาจไม่ใช่ความฉลาด
ถ้าหากมหาวิทยาลัยเหล่านั้นต้องการงบประมาณจากรัฐบาล
ซึ่งการจัดอันดับมหาวิทยาลัยเพื่อคำนวณส่วนแบ่งงบประมาณเป็นการกระทำที่ผิดพลาด
เพราะเป็นการสร้างลำดับชั้นทางสังคม (Public Rank Ordering) ซึ่งมีผล
(และจะมีผลต่อไป)
ต่อชื่อเสียงเกียรติคุณของมหาวิทยาลัยที่ถูกจัดให้อยู่ในอันดับต่ำ
หากการจัดอันดับยังจำเป็นต่อการทำงานของคณะกรรมการ
ก็ควรจัดอันดับโดยการจำแนกประเภทและเปรียบเทียบสิ่งที่เหมือนกันเท่านั้น
แต่ด้วย เหตุผลนานาประการ
รวมทั้งความต้องการที่จะขจัดอิทธิพลทางการเมืองออกจากกระบวนการประเมิน
Massaro เห็นด้วยกับวิธีการประเมินแบบใหม่ที่ตั้งอยู่บนพื้นฐาน
การให้มหาวิทยาลัยผลัดกันประเมินกันเองภายในกลุ่ม (Peer Review
Programs) แต่ประเมินระดับโปรแกรม หรือสาขาวิชาเท่านั้น
ไม่ใช่ทั้งองค์รวมหรือทั้งมหาวิทยาลัยเช่นที่ทำอยู่ในเวลานี้
|
กล่าวโดยสรุป
การประกันคุณภาพการศึกษา
เป็นการสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้เกี่ยวข้องกับการศึกษาว่า
จะได้รับการศึกษาที่มีคุณภาพตามมาตรฐานที่กำหนด
และเป็นแนวทางการดำเนินงานของสถาบันการศึกษาอีกด้วย
วิธีการประกันคุณภาพที่ใช้กันอยู่สามารถจำแนกได้ ๓ แบบ คือ
|
1. |
แบบภาคพื้นยุโรปที่เน้นการประกันคุณภาพโดยภาคราชการดูแลอย่างใกล้ชิด |
2. |
แบบอังกฤษ
ที่มีองค์กรอิสระคอยตรวจสอบคุณภาพ และ |
3. |
แบบอเมริกันซึ่งควบคุมคุณภาพโดยระบบการรับรองวิทยฐานะ
และการอนุญาตออกใบประกอบวิชาชีพ |
สำหรับประเทศในแถบเอเชียและแปซิฟิคได้นำแนวทางของทั้ง 3
กลุ่มมาปรับใช้แตกต่างกันออกไปตามบริบทของแต่ละประเทศ
|
การประกันคุณภาพที่เหมาะสม
น่าจะเป็นการประกันที่ค่าใช้จ่ายไม่สูงเกินไป
เป็นวิธีที่อาจารย์และนักวิชาการยอมรับ และให้ความร่วมมือ
ใช้ระเบียบวิธีการประเมินที่หลากหลายเช่น
|
2. |
การวิเคราะห์สารสนเทศทางสถิติ |
3. |
การสำรวจความคิดเห็นของผู้เกี่ยวข้อง และ |
4. |
การทดสอบความรู้ ทักษะ
และความสามารถของผู้เรียน |
จากประสบการณ์การประกันคุณภาพการศึกษาของประเทศต่าง ๆ
โดยเฉพาะประเทศออสเตรเลีย
น่าจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถสร้างระบบการประกันคุณภาพที่เหมาะสม
และควรเป็นวิธีที่สถาบันการศึกษาสร้าง
หรือประยุกต์ระบบการประกันคุณภาพด้วยตนเอง
ผลักดันให้ประเมินผลการดำเนินงานตนเอง ตรวจสอบกันเองภายในกลุ่ม
เพื่อที่จะไม่เป็นการสร้างความเครียดให้แก่สถาบัน
ให้องค์กรอิสระมีส่วนร่วมในการประเมินที่ต้องอาศัยความเที่ยงตรงสูง
และควรรายงานผลต่อภายนอกอย่างชัดเจนและมีความหมาย
|
ความเห็น
ยังไม่มีความเห็น