การจากลา...แผ่นดินไทยของพ่อ (หม่องละ)...การเดินทางของเรื่องเล่า-2(เพิ่มเติมแล้ว)


ความทรงจำของลูกสาวถึงพ่อที่เจ็บป่วยและจากลาไป

การจากลา...แผ่นดินไทยของพ่อ (หม่องละ)[1]

โดย  มึดา นาวานาถ[2]

วันที่ 26 ตุลาคม 2549 เพิ่มเติม กุมภาพันธ์ 2551

___________________________________________________________________________________

 ฮีโร่[3]ในดวงใจของจากฉันไปแล้ว  ชีวิตของคนเรานี้ย่อมมีอะไรที่ไม่แน่นอนเสมอไป...มีทั้งสุข ทุกข์ ยิ้ม ร้องไห้มีน้ำตาปะปนกันไป... 

ฮีโร่เคยเล่าให้ฟังว่า...เดิมทีฮีโร่กับนางฟ้า[4] อยู่ที่รัฐกะเหรี่ยง ประเทศพม่า อยู่กันอย่างพอมีพอกินไม่ขัดสน และแล้ววันหนึ่งก็มีทหารเข้ามารุกรานในหมู่บ้านมาขอไก่ ขอหมู ขอข้าวสารหากไม่ให้ก็จะทำร้ายทารุนอย่างไม่ปราณี  พวกเด็กหนุ่มก็จะเกณฑ์ไปเป็นทหารเพื่อทำสงครามแก่งแย่งแผ่นดิน จนฮีโร่ทนอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้จึงพาครอบครัวอพยพหนีเข้ามาอยู่ในเมืองไทย[5] เมื่อ พ.ศ.2510  เพราะคิดว่าหนีร้อนมาพึ่งเย็นและฮีโร่ตั้งใจว่าจะสิ้นลมหายใจบนผืนแผ่นดินนี้แหละ(แผ่นดินไทย)

 

...เมื่อยังจำความได้...ก่อนฮีโร่ของข้าพเจ้าจะไปทำงาน (เหมืองแร่ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน) ต้องอุ้มฉัน แล้วหอมแก้มฉันก่อน ไม่เช่นนั้นฉันก็จะไม่ยอมให้ไปทำงาน ซึ่งต้องเป็นอย่างนี้ทุกครั้ง พอกลับมาถึงบ้านฮีโร่ฉันต้องอุ้มและหอมแก้มเช่นกัน ซึ่งเป็นกิจวัตรที่ขาดมิได้...แม้เวลานั้นฮีโร่ฉันจะอายุมากแล้ว แต่ความรักความอบอุ่นที่มอบให้ฉันและครอบครัวมิเคยน้อยลงเลย และเป็นสิ่งที่ฉันสัมผัสได้เป็นความทรงจำที่ฝังลึกลงไปในเบื้องลึกของหัวใจดวงนี้มิมีวันลืม...แม้ชีวิตจะหาไม่

 

ถึงวัยต้องเข้าเรียนแล้ว...วันจันทร์-ศุกร์ต้องนอนหอพักของโรงเรียน พอวันเสาร์-อาทิตย์ก็กลับมาบ้าน เสื้อผ้าที่ใส่แล้ว นางฟ้าผู้แสนดีก็จะซักให้ฉันเสมอ...ส่วนฮีโร่ของฉันอ่านหนังสือภาษาไทยไม่ออก แต่วิชาคณิตศาสตร์ฮีโร่ของฉันไม่เคยน้อยหน้าใคร รับประกันได้ ฮีโร่ของฉันก็จะสอนคณิตศาสตร์ล่วงหน้าเสมอ... แม้ฮีโร่ของฉันจะอ่านหนังสือไม่ออกแต่จะบอกเสมอว่าให้เขียนหนังสือดีๆ เขียนให้สวยๆ อ่านออกอ่านง่าย ท่านจะย้ำเสมอๆ

 

ทุกๆวันจันทร์ ตีห้าครึ่งฮีโร่ต้องแบกพืช แตง ผัก เอาไปที่หอพักเสมอ แม้ว่าต้องเดินจากหมู่บ้าน 8 กิโลกว่าจะถึงโรงเรียนก็เข้าห้องเรียนพอดี พอส่งถึงโรงเรียนก่อนกลับฮีโร่สั่งเสมอว่า

        "เมื่อคนอื่นอยู่ได้ เราก็ต้องอยู่ได้ อย่าดื้อ อยู่ให้คนอื่นรัก ชื่นชม อย่าทำให้คนอื่นหนักใจ"

ย้ายโรงเรียนมาอยู่ต่างหมู่บ้าน(ศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน บ้านแม่คะตวน อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน) นานๆครั้งได้กลับบ้าน  การออกจากบ้านครั้งนี้ทำให้ได้ประสบการณ์การมองโลกที่กว้างขึ้น รู้จักตนเองมากขึ้นและเต็มตัว รู้ว่าสังคมภายนอกมองเราอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะกับการเป็นเด็กไร้สัญชาติ[6]

 

หากมีโอกาสดีได้กลับบ้าน ก็มักจะเอาเรื่องราวต่างๆนานากลับไปเล่าให้ฮีโร่กับนางฟ้าฟังเสมอ ฮีโร่ของฉันฟังแล้วจะให้กำลังใจฉันเสมอ เข้าใจปัญหาที่ฉันไปเจอสังคมภายนอกเสมอ ท่านบอกเสมอว่า เราต้องสู้ต่อไป ถึงอย่างไรก็ยังมีคนช่วยเหลือเรา เราต้องเป็นเด็กน่ารัก ต้องรู้จักบุญคุณที่ช่วยเหลือเรา และที่สำคัญท่านจะถามถึงพี่ที่มีบุญคุณ (เจ้าหน้าที่ศูนย์พัฒนาเครือข่ายเด็กและชุมชน) เสมอว่าสบายดีหรือเปล่า และวันกลับมีพืชผักอะไรก็เอาไปฝากท่านด้วย เมื่อเขาให้เรา เราก็ต้องรู้จักให้เขาด้วย

            นานๆครั้งที่ได้กลับบ้าน พอกลับครั้งหนึ่งก็มีเรื่องมากมายที่ฮีโร่จะเล่าให้ฟัง เราฟังปัญหาในชุมชนที่เกิดขึ้น ไม่ว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นระหว่างที่เราไม่อยู่ ทำให้ฮีโร่ฉันเหนื่อย ท้อใจอยู่บ่อยๆ ฮีโร่ฉันจะลงท้ายเสมอ

"ให้โพดา (ลูกคนสุดท้อง) ตั้งใจเรียน สู้ต่อไป อาจจะไม่ใช่สู้เพื่อพ่อแม่ แต่สู้เพื่อตนเอง และเพื่อนๆรุ่นหลัง สำหรับรุ่นพ่อแม่ ได้มิได้ ไม่สำคัญอะไรแล้ว แต่ลูกๆหลานๆต้องอยู่ต่อไปจำเป็นที่จะต้องใช้มัน (สัญชาติไทย)"

 

ฮีโร่ฉันต้องทำงานหนักทุกวัน ไม่มีวันไหนที่มิได้ขึ้นดอย ก็มีบ้างที่นางฟ้าฉันหน้ามืด ปวดเข่า สู้ความชันของไร่ไม่ไหว เมื่อกลับมาบ้านฮีโร่และนางฟ้าของฉันก็หมดแรงพอดี แต่ไม่ได้หยุดแค่นั้น แต่ต้องทำอาหาร ให้อาหารสัตว์อีกมากมายหลายอย่าง เมื่อทานอาหารเสร็จต่างคนต่างก็เพลีย ปวดเมื่อยก็ผลัดกันนวด คำบอกเล่าเหล่านี้ก็มักจะได้ยินจากนางฟ้าฉันบ่อยๆ เมื่อฉันกลับบ้าน แต่ฮีโร่ฉันไม่เคยบ่นว่าเหนื่อยกับงาน ส่วนใหญ่จะพูดถึงสถานการณ์ในชุมชนให้ฟังมากกว่าเรื่องอื่นๆ ฮีโร่ของฉันต้องการให้ชุมชนฉันมีความสามัคคี อยู่เป็นเครือญาติเดียวกัน เป็นกลุ่มเป็นก้อน มิอยากให้ชุมชนแตกแยกเหมือนอดีตของฮีโร่ที่มาจากคนละที่ละทาง

           ฉันเรียนต่อม.ปลาย ท่านทั้งสองบอกว่า "จะเรียนอย่างไร พ่อแม่ไม่มีเงินส่งนะ" ฉันบอกไม่เป็นไร ได้ทุนเรียน

 ท่านถอนหายใจอย่างโล่งอกบอกว่า "อย่างนั้นต้องตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด ผู้หลักผู้ใหญ่ให้โอกาสเราเรียนแล้ว พ่อแม่ได้แต่สนับสนุนเท่านั้น เรียนจบแล้วก็ให้กลับมาพัฒนาและช่วยเหลือผู้คน เหมือนดั่งที่ผู้อื่นมาช่วยเรา"

           ฉันมีความสุขมากๆ ที่เกิดมาท่ามกลางครอบครัวที่อบอุ่น ฉันไม่เคยขาดความรักจากฮีโร่หรือนางฟ้าฉันเลย แม้มีปัญหาเข้ามาในชีวิต ฉันก็ไม่หวั่นเพราะการมีครอบครัวที่อบอุ่นนั้นเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุด 

 ตุลาคมปี 2548 เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น...เมื่อฮีโร่ฉันล้มป่วยลง...สมาชิกในครอบครัวใจไม่ดีเอาเสียเลย ฮีโร่ฉันเริ่มมีอาการก็ไปหาหมอ[7] ก็ได้ยาพารากับยาแก้อักเสบ กลับบ้านไปโดยที่ไม่รู้ว่า ก้อนที่นูนออกมาใต้ติ่งหูข้างขวาและมีอาการปวด นั้นคือ ก้อนอะไร อาการหนักขึ้น แต่ก็ต้องทำงานหนักทุกวัน เมื่อยังมีลมหายใจและกำลัง ฉันตัดสินใจพาฮีโร่ของฉันไปหาหมอในเมือง[8] ด้วยความมั่นใจและมุ่งมั่นแม้จะมีความหวาดกลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจมากแค่ไหนก็ตาม (เพราะไม่มีบัตรประชาชน มีแต่บัตรเขียวขอบแดง[9] ซึ่งเป็นบัตรชุมชนบนพื้นที่สูง) เมื่อไปถึงก็ได้ยาพารากับยาแก้อักเสบเช่นเดิม

 

ฮีโร่ฉันเหนื่อยกับการเดินทางอย่างมาก และก้อนนั้นก็นูนใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ และเริ่มท้อแท้กับการไปหาหมอ ก็เลยตั้งใจว่าจะไม่ไปหาหมออีก เพราะไปแล้วก็กลัวตำรวจและค่าใช้จ่ายกับค่ารักษาพยาบาลสูงมาก (ไม่มีสิทธิ์ทำบัตรทองเพราะไม่มีบัตรประชาชน) ฮีโร่ฉันก็รักษากับสมุนไพรอยู่กับบ้านและท่านตั้งใจกลับไปสิ้นลมหายใจที่บ้านท่าเรือ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน

 

...ทุกปีวันลอยกระทง ฮีโร่ฉันกับนางฟ้าจะมาหาฉันแต่ปีนี้ไม่เห็นแม้เงาท่าน เพื่อนบ้านมาบอกฉันว่าฮีโร่ขายบ้านเพื่อรักษาตัวเอง แล้วเดินทางออกจากหมู่บ้านและไม่รู้ไปไหน ฉันตกใจมาก ฉันทำอะไรไม่ถูก ฉันพูดไม่ออก หัวใจฉันเต้นแรง น้ำตาฉันก็เริ่มไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว คำถามเกิดขึ้นในหัวมากมาย ฮีโร่กับนางฟ้าท่านไปไหน ไปกับใคร ไปทำอะไร ทำไมไม่บอก ลูกๆจะหาที่ไหน ได้อย่างไร...ไม่มีใครสามารถตอบฉันได้เลย ฉันนอนร้องไห้ทุกวันตลอดเวลา ไม่มีจิตใจจะเรียนหนังสือเลย ฉันกินไม่ได้นอนไม่หลับ เป็นห่วงท่าน ฉันนอนภาวนาขอให้ตามเจอท่าน ฉันจะรีบไปหาทันที จนฉันไม่สบาย...

 

1 เดือนกว่าเป็นเวลาที่ทรมานมากในใจฉัน เหมือนเวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน แต่ฉันก็ไม่ได้หยุดตามหาฮีโร่และนางฟ้าของฉัน... และแล้วพี่สาวก็โทรศัพท์มาบอกว่าตอนนี้ได้ข่าวนางฟ้าและฮีโร่แล้วจะทำอย่างไรต่อ ฉันตอบโดยไม่ต้องคิดว่าฉันจะไปหาท่านทั้งสอง แต่พี่บอกว่าเราไม่เคยไป และไม่รู้อยู่ที่ไหนรู้แค่ว่าอยู่หมู่บ้าน[10]นั้นและเป็นหมู่บ้านที่แออัดมากและใหญ่มาก ฉันก็บอกว่าต้องหา ไปถามก็ได้ ฉันดีใจอย่างบอกไม่ถูกเป็นข่าวที่ฉันรอคอยมานาน

 

วันนี้เป็นวันที่ฉันพร้อมเดินทางแล้ว แม้ปลายทางจะไม่แน่นอนก็ตาม วันนี้ฉันและพี่สาวเดินทางกันทั้งวันแม้เห็นด่านตำรวจต่างๆ ก็ภาวนาในใจให้ผ่านพ้นไปด้วยดี อย่าได้มีอุปสรรคเลย ระหว่างทางเราก็ก็ถามไปตลอดทาง เพราะก็หวั่นอยู่เหมือนกันกับสถานที่ที่ไม่เคยไป พอไปถึงหมู่บ้านที่เป็นเป้าหมายก็เดินไปด้วยถามไปตลอดทาง พอไปถึงตลาดสิ่งที่เรารอก็มาถึง เราเจอนางฟ้ากำลังซื้อกับข้าว ฉันและพี่ดีใจมากๆจนพูดไม่ออก นางฟ้าพาฉันไปหาฮีโร่ ก่อนไปถึงฉันภาวนาขอให้อาการของฮีโร่ฉันมีอาการดีขึ้นไปตลอดทาง

 

...ฮีโร่กำลังหลับอยู่ ท่านขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลา ฉันเห็นสภาพของฮีโร่แล้ว ฉันอยากร้องไห้ ท่านผอมโซทรุด ก้อนเนื้อร้ายก็นูนขึ้นเห็นชัดขึ้น กินได้แต่ข้าวต้ม แต่ตอนนี้ฉันร้องไห้ไม่ได้เพราะถ้าท่านตื่นแล้วท่านจะไม่สบายใจ เมื่อมีโอกาสก็ได้นั่งคุยกับนางฟ้า ท่านเล่าให้ฟังว่า ฮีโร่กินอะไรไม่ได้ เนื้อหมอห้ามกิน ฟักแฟงแตงกวาก็ห้ามกิน หมอฉีดยาวันละ 2 เข็ม ยาทุกอย่างทุกชนิดเราต้องซื้อเองหมด ค่ามือหมอก็ต้องออกเองอีกต่างหาก ตอนนี้เงินที่ได้จากการขายบ้านก็เหลือไม่ถึง 2 พัน ฟังแล้วสะเทือนใจ แล้วก็เกิดคำถามว่า อาการกับการได้รับยาและการดูแลวันละครั้ง มันไม่สมควรกันเลยแต่ฉันก็ยังไม่พูดอะไร

 

ตอนกลางคืนฮีโร่ฉันนอนไม่หลับ ท่านครางอยู่ตลอดเวลา ท่านอยากอาเจียนก็อาเจียนไม่ออก เวลาไอก็มีเลือดปนออกมาด้วย ฉันตกใจมาก ดูท่านแล้วคงทรมานมาก ท่านน้ำตาไหล เพลียไม่มีแรง หายใจเหนื่อยหอบ ฉันก็เริ่มปรึกษากับพี่ว่าอยากให้ฮีโร่กลับไปรักษาที่โรงพยาบาลในเมืองพี่ก็เห็นด้วย นางฟ้าแล้วแต่ฮีโร่...รุ่งขึ้นฉันได้คุยกับฮีโร่ ท่านก็ว่าแล้วแต่ลูกๆ เมื่อคิดว่าอย่างนั้นดี พ่อก็เห็นด้วย ฉันไม่รอช้า เราจะเดินทางวันนั้นเลยก่อนที่อะไรๆจะสายไปกว่านี้

 

เมื่อมาถึงฉันก็ทำเรื่องส่งตัวเข้าโรงพยาบาลในเมือง[11]ทันที ฮีโร่ฉันเหนื่อยกับการเดินทางมาก เพราะว่ากว่าไปถึงโรงพยาบาลในเมืองใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมง ขนาดคนปกตินั่งรถ 5 ชั่วโมงยังปวดเมื่อย แล้วคนป่วยหนักเล่า...จะขนาดไหน ฮีโร่ฉันเดินไม่ไหวต้องนั่งรถเข็น ในระหว่างที่ตรวจอาการ วินิจฉัยโรคก็ต้องจ่ายอยู่ตลอด แต่ค่าใช้จ่ายปิดไว้ไม่อยากให้ฮีโร่รู้ กลัวท่านจะคิดมาก กว่าจะรู้ว่าเป็นมะเร็งเกือบครึ่งเดือน ท่านก็ปวดอยู่ตลอดเวลา มีโรคแทรกทั้งปอดบวม ความดันสูง หน้ามืด ล้มในห้องน้ำบ่อยๆ ด้วย

 

หมอบอกว่าจะผ่าตัด แต่เมื่อตรวจก้อนเนื้อที่ว่าอยู่ใกล้กับเส้นเลือดใหญ่ไม่สามารถผ่าได้ หมอจึงให้ใช้วิธีฉายแสงรักษา ฮีโร่ต้องนอนอยู่ในห้องเช่า[12]เป็นเวลา 3 เดือนกว่าเพื่อฉายรังสี ฮีโร่ฉันนอนนับทุกวันทุกครั้ง รอวันที่ครบกำหนด และวันที่หายจากโรคแสนทรมานนี้ 2-3 วันครั้งที่ต้องไปทำสัญญากับสังคมสงเคราะห์ แม้เจ้าหน้าที่จะขู่จะว่าอย่างไรก็ต้องทนต้องบากหน้าไปทำ เพราะไม่มีให้จริงๆ แม้เจ้าหน้าที่จะขู่ถึงศาล ถึงการฟ้องหากไม่จ่ายก็ต้องจำใจรับปาก แม้จะมีอาการหวาดกลัวแค่ไหนก็ตาม

 

พอครบวันฉายรังสี อาการไม่ดีเท่าใดนัก หมอก็นัดมาดูอาการอีกเดือนครึ่ง แต่ระหว่างนั้นฮีโร่ฉันก็ต้องไปโรงพยาบาลบ่อยๆ เพราะอาการทรุดลงเรื่อยๆ กินไม่ได้เลย ได้แต่น้ำและนมเท่านั้น จะมีเลือดออกปากและจมูก ไม่นานมีก้อนขนาดเท่าลูกมะนาวออกมาเหนือคิ้ว สันจมูก และริมฝีปาก เมื่อพามาหาหมอ หมอก็ให้ยาแก้อักเสบ โดยที่ไม่ได้ผ่าหรือทำอะไรเลย

 

ฉันเจอครั้งแรก ฉันเกือบจำไม่ได้เพราะไม่มีสภาพรูปหน้าเดิมเลยแม้แต่น้อย ฉันสงสารท่านเหลือเกิน ฉันก็เข้าไปนั่งข้างๆท่านแล้วบอกท่านเบาๆว่า "พ่อจ๋า พ่อต้องไม่คิดมากนะ ขอให้ทำใจให้สบายและทำใจแข็งๆไว้นะ" ฉันพูดได้แค่นั้น พูดไม่ออกอีกแล้ว ฮีโร่พยักหน้าแล้วก็ยิ้มให้ฉัน แม้จะเป็นยิ้มที่ออกมาจากใจแต่เป็นยิ้มที่เศร้ามากๆ

 

ไม่กี่วัน ฮีโร่มาโรงพยาบาลอีกครั้ง การโรงพยาบาลครั้งนี้ หลานโทรมาเล่าให้ฟังว่า ไม่รู้เป็นอะไร ฮีโร่ฉันอยากมาโรงพยาบาลมากจนนอนไม่หลับ เดี๋ยวเดียวก็ถามถึงรถที่จะมารับไปโรงพยาบาล ซึ่งแตกต่างจากทุกครั้งที่ไม่อยากไปเอาเสียเลย ฮีโร่ฉันก็ยิ่งผอมโทรมลงกว่าเดิมมาก ก้อนสามก้อนนั้นยุบลงแล้วเหลือแต่รอยแผลเป็นที่รู้ทีหลังว่านางฟ้าฉันเป็นคนจัดการเอาออก

 หมอบอกว่าฮีโร่ฉันเป็นมะเร็งระยะที่สาม ไม่สามารถรักษาได้แต่ก็จะยืดชีวิตให้อยู่ได้นานที่สุด ฉันดีใจเพราะฮีโร่ฉันยังไม่ใช่ระยะสุดท้าย หมอให้นอนเติมเลือดและเกล็ดเลือด 3 คืนระหว่างที่นอนโรงพยาบาล ฮีโร่จะถามถึงบ้านทุกวันเมื่อครบกำหนดท่านจะขอหมอกลับบ้าน หมอก็ให้กลับ เมื่อกลับถึงบ้านก็ได้เจอลูกหลานอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา เมื่อท่านเห็นท่านก็น้ำตาไหลและยิ้มอย่างมีความสุข ปลื้มปีติ เวลา 04.00 น.เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ตั้งใจจะปิดเพราะเข้าใจว่าเป็นนาฬิกาปลุกแต่เห็นมีชื่อหลานก็รับด้วยความครึ่งหลับครึ่งตื่น

เสียงปลายทาง "ดา...พ่อไม่หายใจแล้วนะ ตั้งแต่ตี 3 ครึ่ง"

 

ฉันพูดอะไรไม่ออก ทำอะไรไม่ถูก น้ำตาไหลออกมาดั่งสายน้ำที่เกรี้ยวกราด เหมือนจะไม่มีวันหยุดเลย หูอื้อไปหมด ฉันตัดสินใจเดินทางกลับบ้านทันที

 

ฉันร้องไห้ตลอดทาง เห็นป่าเห็นเขายิ่งทำให้คิดถึงท่าน... ก็มีคำถามขึ้นในใจ... นี่ฉันเป็นเด็กกำพร้าพ่อแล้วหรือ.. .ไม่จริงใช่ไหม... พ่อต้องรอดูความสำเร็จของฉันก่อนไม่ใช่หรือ... ใบปริญญาพ่อยังไม่เห็น ... บัตรประชาชนของฉันพ่อก็ยังไม่ได้เห็นเลย

 

...ฉันรู้ว่า... วันหนึ่งท่านต้องจากฉันไป แต่ไม่ใช่เวลานี้ แม้ท่านจากไปแล้ว สิ่งที่ท่านต้องการคือให้ลูกมีสัญชาติไทยมาโดยตลอด ลมหายใจสุดท้ายท่านพยายามพูดอะไรไว้ แต่พูดไม่มีเสียงเลย...มีแต่รอยยิ้มเศร้าๆและน้ำตาเท่านั้นที่ฝากไว้...ต่อไปไม่มี...ไม่มี...โอกาสได้พบเจออีกแล้ว

 

แม้ท่านจากไปแล้ว ฉันเชื่อว่าท่านจะอยู่ในใจของผู้คนที่ได้รู้จักท่านตลอดไป การจากไปของฮีโร่ของฉัน ฉันเชื่อว่าสังคมยังไม่ยอมรับเรา แม้ชีวิตคนก็ตาม...ฮีโร่ของฉันก็คงพอใจบางอย่างแล้วล่ะ เพราะท่านได้สิ้นลมหายใจบนผืนแผ่นดินนี้ (แผ่นดินไทย) อย่างสมใจท่าน...แม้แผ่นดินนี้จะยอมรับท่านหรือไม่ก็ตาม...


[1] เผยแพร่ครั้งแรก  http://www.thaingo.org/writer/view.php?id=208 วันที่ 26 ตุลาคม 2549 
[2] ลูกสาวของพ่อ(หม่องละ ) ปัจจุบันคือนักศึกษาไร้สัญชาติ ปี 2 คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยภายัพ       อ่านเรื่องของมึดา http://www.archanwell.org/autopage/show_page.php?t=1&s_id=229&d_id=223
[3] พ่อหม่องละ  (ไม่มีนามสุกล) เป็นผู้นำชุมชนบ.ท่าเรือ อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน  จากลาแผ่นดินไทยไปเมื่อ 22 กรกฎาคม 2549
[4] นางนาบือ (ไม่มีนามสุกล) ภรรยานายหม่องละ
[5] เหมืองผ่าแล (บ้านท่าเรือปัจจุบัน) อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน
[6] ปี 2548 มึดา ตั้งนามสกุล นาวานาถ ให้ตัวเอง ด้วยความที่มักจะถูกตั้งคำถามว่าทำไมไม่มีนามสกุล(วัฒนธรรมของปกากญอ ไม่มีนามสกุล) เธอเล่าความในใจว่า คนอื่นๆเขามองด้วยความไม่เข้าใจ ด้วยความที่ไม่เหมือนคนอื่น จนทำให้เกิดความรู้สึกแปลกแยกแตกต่างจากคนอื่น
[7] ไปโรงพยาบาลสบเมย อ.สบเมย จ.แม่ฮ่องสอน จากนั้นไปหาหมอที่คลีนิกที่อ.แม่สะเรียง จ.แม่ฮ่องสอน
[8] โรงพยาบาลนครพิงค์ จ.เชียงใหม่
[9] ตามมติครม. วันที่ 28 สิงหาคม 2544 มีสถานะตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เป็น ราษฎรไทยประเภทคนต่างด้าวมีสิทธิอาศัยอยู่ชั่วคราว ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกพื้นที่ออกบัตร(อำเภอ)มีสถานะตามกฎหมายว่าด้วยคนเข้าเมือง เป็น ราษฎรไทยประเภทคนต่างด้าวมีสิทธิอาศัยอยู่ชั่วคราว ไม่ได้รับอนุญาตให้เดินทางออกนอกพื้นที่ออกบัตร(อำเภอ)
[10] พื้นที่พักพิงชั่วคราวบ้านแม่หละ อ.ท่าสองยาง จ.ตาก
[11] มึดา ขอให้โรงพยาบาลสบเมยทำเรื่องส่งตัวไปที่ โรงพยาบาลสวนดอก จ.เชียงใหม่ แทนที่จะส่งไปโรงพยาบาลนครพิงค์
[12] นายหม่องละเช่าห้องพักเพื่อรักษาตัวอยู่ที่ จ.เชียงใหม่เดือนละ 2,500 บาท

คำสำคัญ (Tags): #รายงานวิจัย
หมายเลขบันทึก: 165518เขียนเมื่อ 16 กุมภาพันธ์ 2008 00:24 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:44 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

อันนี้แก้วเติม footnote ใส่ไปจากงานเดิมที่มึดาเขียน

มีล้อมกรอบที่เพิ่มตอนท้ายด้วย ที่ไม่พออ่านอีกบันทึกค่ะ

footnote ที่ 9 ควรอ้างมติครม. ด้วยเน้อ--ที่มาของมัน

ทำเป็น ตัวเอียนเอง หรือ ใส่ '....' ไหม
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท