ทอง..ทอง..ทอง..ใครมีทองอย่าขาย เก็บไว้ให้ดี


ข่าวสารที่เราได้รับนั้น บ่อยครั้งมันไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมด จริงๆแล้ว ข่าวสารที่เราได้รับส่วนใหญ่สะท้อนภาพที่แท้จริงเพียงด้านเดียวเท่านั้น และมักจะสะท้อนแต่เสียงของ "ผู้ชนะ"หรือผู้ที่ได้กำไร

ทอง..ทอง..ทอง..ใครมีทองอย่าขาย เก็บไว้ให้ดี
ความต้องการทองคำแท่ง มีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น และจะผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้อีกในปี 2551 นี้ค่ะ โปรดใช้วิจารณญาณของท่านด้วยค่ะเพราะท่านเท่านั้น ที่จะเป็นผู้รับความเสี่ยงเองทั้งหมด 
ด้วย ดิฉันได้ไปร่วมในงานสัมมนา
Market Outlook Seminar   ที่  Credit Suisse  จัดเมื่อวันที่  31  มกราคม  2551  ที่โรงแรมโฟร์ซีซัน กทม.

เป็นการเผยแพร่การวิจัยของเธนาคารครดิตสวิส ในเรื่องที่เกี่ยวกับ Private Banking  และ Asset Management   ซึ่งผู้ที่นำทีม มาพูดให้ฟังในวันนี้คือ Mr.Giles  B  Keating—Managing Director of Credit Suisse in the Private Banking Division , based in Zurich.

มีผู้เข้าฟังหนาตาพอสมควร เพราะธนาคารนี้   ตั้งมาตั้งแต่ ปี 1856 มีอายุเก่าแก่ถึง 152 ปี และ เป็นธนาคารใหญ่เป็นที่ 2 ของประเทศสวิส รองจาก UBS AG. เรียกว่า เก่าแก่มาก มีประสบการณ์สูง ดังนั้น งานวิจัย จึงน่าจะเชื่อถือได้ในระดับที่มากพอควร

เนื้อหาการบรรยาย..:::ค่อนข้างมากแต่กระชับ  มีแผนภูมิประกอบแบบมืออาชีพ (ขอชมว่า มีการจัดทำเอกสาร ที่ดูน่าเชื่อถือ  เป็นProfessional มาก)    ซึ่งดิฉันขอสรุปดังนี้คือ  ::

1. ขณะนี้มีวิกฤตการณ์ทางการเงิน เรื่อง สินเชื่อที่อยู่อาศัยเกิดขึ้น ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา  เศรษฐกิจชะลอตัวลง แต่ยังไม่เรียกว่า ถดถอย  เพราะภาคเศรษฐกิจจริงยังมีความเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพึงพอใจ   เขาใช้คำว่า ว่า US corporate balance sheets are still very healthy                          แม้ในยุโรปเอง ก็ยังไม่เรียกว่า เป็นภาวะถดถอย  และหวังว่า ทุกอย่างจะคืนสู่สภาพปกติโดยเร็ว

 (จริงๆแล้วเหตุการณ์นี้  ดิฉันคิดว่า ทางสถาบันการเงินต่างๆไม่ค่อยอยากเปิดเผย แต่จำเป็นต้องเปิดเผย   เพราะ มีปรากฏผลขาดทุนในงบการเงิน   และการปรับลดมูลค่าทางบัญชีสำหรับทรัพย์สินที่ด้อยค่า และทางบริษัทจัดอันดับ ความน่าเชื่อถือ ก็ทะยอยปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของสถาบันการเงินชั้นนำหลายแห่ง.....)

 (แต่การบรรยายในครั้งนี้ พยายามให้คน  มองภาพดีไว้ก่อน ไม่ให้นักลงทุนตื่นตระหนก ---ผู้เขียน)

2.อสังหาริมทรัพย์ ในประเทศจีน   อยู่ในภาวะที่ร้อนแรงมาก จนรัฐบาลต้องพยายาม ดึงๆเอาไว้บ้าง แม้แต่อุตสาหกรรมการผลิตก็เข้มแข็งดี
3.ในปี 2008  ประเทศที่จะเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก คือ ประเทศจีน อินเดีย รัสเซีย และบราซิล ประเทศสหรัฐอเมริกา ยุโรป และญี่ปุ่นจะถดถอยลง แต่ GDP Growth กลับถดถอยลงหมด  แทบทุกประเทศ เช่น  ตัวเลขการขยายตัวทางศก.ของอินเดียที่ลดลง มาจากผลกระทบเศรษฐกิจโลกอ่อนตัว  จากมาตรการคุมเข้มด้านการเงิน และความผันผวนของค่าเงินรูปี      ในขณะที่จีนประเทศคู่แข่ง ก็ผ่านจุดสูงสุดของการขยายตัวเหมือนกัน  ดูในภาพค่ะ
   ยกเว้นประเทศไทยและเวียดนาม   ที่กลับ จะเติบโตดีขึ้น   แต่แม้เวียดนามจะขยายตัวดี แต่เงินเฟ้อสูงกว่าประเทศไทยค่ะ
4.  เงินดอลล่าร์อ่อนค่าลงมาก เพราะปัญหา ซับไพรม์ (Subprimes)........ เป็นสินเชื่อในสหรัฐที่ให้แก่ผู้กู้ที่มีประวัติด้านเครดิตที่ด้อย หรือมีศักยภาพด้านการชำระหนี้ต่ำ 
โดยพิจารณาจากคะแนนความน่าเชื่อถือด้านเครดิต (FICO credit scores) ที่ต่ำกว่า 620 จากมาตรวัดระหว่าง 300-850     สินเชื่อเหล่านี้มีประมาณร้อยละ 10   ของสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ของสหรัฐ
  ซึ่งใกล้เคียงกับสินเชื่อ   ที่ให้แก่ผู้ที่ได้คะแนนความน่าเชื่อถือด้านเครดิตสูงกว่า 620   แต่ขาดเอกสารประกอบการกู้อื่นๆ ที่เชื่อถือได้ (เรียกว่าประเภท Alt-A) ปัญหาคือ    ขนาดของสินเชื่อซับไพรม์นี้นำไปสู่ความเสี่ยงที่ยากจะประเมินให้ถูกต้องได้       
 เมื่อถูกนำไปใช้ค้ำประกันหรืออ้างอิงตราสารใหม่ๆ   อีกหลายต่อหลายทอด กองทุนประเภทดังกล่าวนี้    ได้ถูกตัดแต่งให้มีโครงสร้างใหม่เป็นที่ถูกใจนักลงทุน   จนได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือสูงถึงระดับ AAA ซึ่งเป็นระดับเดียวกันกับพันธบัตรรัฐบาล    และพันธบัตรของบริษัทเอกชนที่มีชื่อเสียงได้   
  ทั้งๆ ที่มาจากหนี้ย่อยๆ ที่ด้อยคุณภาพอย่างมาก  การตัดแต่งทางการเงิน (financial engineering) แบบนี้        ปกติจะไม่เกิดปัญหาพร้อมๆกัน 
  แต่สถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้   เกิดเพราะมีความเสี่ยงที่สูงกว่าเกณฑ์ปกติจากปัจจัยระดับมหภาค   ซึ่งส่งผลถึงฐานะทางการเงินของผู้กู้หลายรายพร้อมๆ กัน 

 วิกฤตการณ์ซับไพรม์เป็นบทเรียนของการปล่อยสินเชื่ออย่างไม่ได้มาตรฐาน นั่นเอง <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> และเมื่อเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัว ตลาดแรงงานก็อ่อนแอลง รายได้คนกู้ยืมก็จะน้อยลง จนไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้   โปรดดูภาพข้างล่างนี้ค่ะ</h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> </h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> </h5> <h3 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> 5.            เงินต่างประเทศไหลจะเข้าตลาดหุ้นไทยมากขึ้น เนื่องจากราคาหุ้นของเราถูก   และจะเป็นเหตุผลหลักที่ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีโอกาสที่จะ Outperform ตลาดหุ้นอื่นๆ ใน Asia ได้ นอกจากนี้ สิงคโปร์และฮ่องกง ก็น่าลงทุนมาก </h3> <h3 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> เหตุผลหลักที่ตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้น Asia ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา  เนื่องมาจาก  ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองด้วย </h3> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"></h5> ไทยมีความน่าดึงดูด เพราะผลกำไรจากบริษัทจดทะเบียนออกมาดีต่อเนื่อง พีอี เรโช ของเราน่าจะเป็น 13เท่า ดีขึ้น จาก ต่ำกว่า11เท่า  ในขณะนี้  <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"></h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"></h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> ประเทศที่น่าระวังคือญี่ปุ่น เกาหลีและไต้หวัน </h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt">  เพราะจะได้รับผลกระทบจาก  ภาคเทคโนโลยี่    ที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุด ในช่วงที่สหรัฐประสบภาวะชลอตัว </h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> นอกจากนี้     Credit Suisse เน้นว่า ประเทศจีน ยังมีความเติบโตสูงมาก   ในด้านการส่งออกอาหาร มาเลี้ยงคนในภูมิภาคเอเซียทั้งหมด ดุในด้านผักผลไม้ค่ะ กราฟ กำลังเชิดหัวขึ้นอย่างน่ากลัว     คงจะเป็น New High อีก </h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"></h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> </h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> 6. สำหรับการลงทุนในด้านอื่นๆ</h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> Credit Suisse แนะนำให้ลงทุนในกองทุนทอง หรือ ใครมีทองก็ให้เก็บทองไว้ปีนี้</h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt">  ทองกำลังเป็นที่ต้องการของตลาดโลกมาก และราคาน่าจะดีขึ้น</h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> ทองเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดีมาก ความเสี่ยงก็ต่ำเพราะทองสามารถรักษาคุณค่าไว้ได้เสมอ ที่สำคัญก็คือ ทองนั้นไม่มีการหลอกลวง หรือเก๊ เหมือนตราสารการเงิน เช่น หุ้นที่ราคาอาจถูกปั่นขึ้นไปสูงมาก หรือพื้นฐานของบริษัทอาจเปลี่ยนแปลงจนทำให้มูลค่าสูญหายได้มาก แต่ทองอย่างไรก็ยังเป็นทอง และมันให้ความรู้สึกที่ดีเสมอ</h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"></h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"></h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"></h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"></h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> ซึ่งตรงกับที่ มหาวิทยาลัยหอการค้า กล่าวว่า….ราคาทองคำที่สูงขึ้นกระทบต่อกำลังซื้อหายไป อย่างมาก ในช่วงตรุษจีน</h5> พร้อมกันนี้ ได้ทำการสำรวจประเด็นความคาดหวังต่อรัฐบาลชุดใหม่ <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt">  ส่วนใหญ่ 73.3% มองว่าภาวะเศรษฐกิจจะดีขึ้น และฟื้นตัวตั้งแต่ไตรมาส 2 ของปีนี้</h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> ส่วนอีก 14% มองว่าเศรษฐกิจจะชะลอตัวลง</h5> <h5 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> และ 12.7% มองว่าเศรษฐกิจเหมือนเดิม โดยคาดหวังให้รัฐบาลเข้ามาแก้ไขปัญหาด้านเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก</h5> <h3 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> สรุปจาการที่ได้ฟังมาทั้งหมด::  Credit Suisse มีการมองภาพเป็นบวก ให้กำลังใจแก่นักลงทุนมาก </h3> <h3 style="margin: 12pt 0cm 3pt"> เศรษฐกิจไทยปี 2008 มีแนวโน้มจะโตได้มากกว่าในปีนี้</h3> <h3 style="margin: 12pt 0cm 3pt"> นอกจากการที่    จะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่แล้ว    ภาคเอกชนเองก็มี Pent-up demand (ความต้องการที่ถูกอั้นไว้) อยู่สูงมาก</h3> <h3 style="margin: 12pt 0cm 3pt">  เช่นภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลใหม่ ต่างประเทศชะลอการตัดสินใจด้วยเหตุผลเดียวกัน หรือประชาชนที่ยังไม่รีบร้อนที่จะซื้อบ้านหรือรถยนต์</h3> <h3 style="margin: 12pt 0cm 3pt">  เหล่านี้คือ Pent-up demand ที่จะทะลักเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเมื่อ Confidence level มีสูงขึ้น และเชื่อว่า เราอาจจะได้เห็น Growth rate ของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่มีการพูดถึงกัน</h3> <h3 style="margin: 12pt 0cm 3pt">        ในเรื่องของทอง    ศูนย์วิจัยกสิกร  ก็ยังให้คำแนะนำว่า  ยุคนี้ เป็นช่วงขาขึ้นของราคาทอง    </h3> <h3 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> เนื่องจาก  การที่ค่าเงินสกุลดอลลาร์   กำลังอ่อนค่าลง   ราคาน้ำมันก็ยังทรงตัวในระดับสูง และสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่งดีนัก   ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ความต้องการทองคำแท่งของบรรดานักลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศต่างมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น    และมีส่วนผลักดันให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นได้อีกในปี 2551 </h3> <h3 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt"> </h3> <h3 class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 10pt">         อย่างไรก็ตาม   ดิฉันเห็นว่า  เรายังไม่ควรเชื่ออะไรไปทั้งหมด ตามที่นักวิเคราะห์พยายามจะบอกเรานะคะ</h3> <h3 style="margin: 12pt 0cm 3pt"> ข่าวสารที่เราได้รับนั้น บ่อยครั้งมันไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมด จริงๆแล้ว  ข่าวสารที่เราได้รับส่วนใหญ่สะท้อนภาพที่แท้จริงเพียงด้านเดียวเท่านั้น </h3> <h3 style="margin: 12pt 0cm 3pt"> เวลาเราได้รับข่าวสาร ดิฉันเห็นว่า  เราอาจจะต้อง “กรอง” และพินิจพิจารณาอย่างระมัดระวังว่า   ข่าวสารนั้น อาจจะมีความ “ลำเอียง” มากน้อยแค่ไหน    “ความลำเอียง” ที่ว่านี้  มักจะสะท้อนแต่เสียงของ “ผู้ชนะ”หรือผู้ที่ได้กำไร และ      ในช่วงนี้ดูเหมือนว่า จะมีคนได้กำไรจากทอง เพราะราคาทองขึ้นไปมากเหมือนกัน</h3>  ข้อมูลที่ออกมาก็คือ ทองน่าจะ เป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนดี   แต่ควรเป็นการลงทุนในกองทุนที่มี มืออาชีพ จัดการให้   ไม่ใช่ไปซื้อทองเอง  แล้วมาเก็งกำไรเอง คงไม่ Work ค่ะ

ดังนั้น ใครก็ตาม  ที่จะอยากซื้อหุ้น  ซื้อทอง หรือค้าเงิน เพื่อเก็งกำไร  โปรดระมัด ระวัง และใช้วิจารณญาณของท่านอย่างถ้วนถี่ด้วยค่ะ    เพราะท่านเท่านั้น ที่จะเป็นผู้รับความเสี่ยงเองทั้งหมด    สำหรับดิฉันเอง มีประสบการณ์มาพอควรในด้านการเล่นหุ้น   ทั้งดีและไม่ดี  ทั้งได้กำไรและขาดทุน ไม่มีอะไรแน่นอน ในเรื่องของการลงทุนทุกชนิดค่ะ ยิ่งเล่นมาร์จิน  เมื่อติดหุ้น  และราคาหุ้นตกยาวมาก  อาจโดนบังคับฟอร์ซเซลล์ ยิ่งแย่เข้าไปใหญ่    ขาดทุนอย่างเดียวเลยค่ะ

แต่อย่างไรก็ตาม วันตรุษจีนนี้ ดิฉันก็มีความสุขมาก  เพราะให้อั่งเปาเป็นทองแก่หลาน  และพากันไปกินอาหารอร่อยๆด้วยค่ะ

หมายเลขบันทึก: 163822เขียนเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2008 23:30 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (109)

 ไม่ว่าจะลงทุน ในด้านใดๆ ในความเห็นและประสบการณืส่วนตัวของดิฉัน คือ........

 เราอาจต้องมีวิธีที่จะกรองข้อมูลให้ได้ มากที่สุดค่ะ

อาจจะดูจากสถิติที่เป็นตัวเลขที่รวมข้อมูลรอบด้าน  และดูถอยหลังไปเป็นระยะเวลายาวนานพอควร

 โดยการทำเช่นนี้ เราก็จะไม่ถูกหลอกโดยข้อมูลด้านเดียวของผู้ชนะที่เกิดขึ้นตลอดเวลานะคะ

สำหรับตรุษจีนปีนี้ ดิฉันไปสำรวจตลาดมาหลายแห่ง   วันนี้เอง พบว่า......

 โดยภาพรวมตรุษจีนปีนี้ไม่ค่อยจะคึกคักมากนัก

 เนื่องจากประชาชนยังระมัดระวังต่อการใช้จ่ายและไม่มั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจตามที่รัฐบาลใหม่คาดการณ์ไว้ โดยมูลค่าที่เพิ่มขึ้นตามภาวะราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้นเป็นหลัก

การซื้อของเซ่นไหว้นั้น พบว่าไข้หวัดนกไม่มีผลต่อการซื้อไก่ไหว้เจ้า

แต่ราคาทองคำที่สูงขึ้นกระทบต่อกำลังซื้อหายไปมาก ดูตามรานขายทองไม่คึกคักค่ะ

 โดยสิ่งที่ประชาชนเป็นห่วงในช่วงเทศกาลตรุษจีน อันดับแรกคือ การฉวยโอกาสขึ้นราคาสินค้า รองลงมาคือค่าใช้จ่ายการท่องเที่ยวแพงขึ้น อุบัติเหตุบนท้องถนน และเรื่องความปลอดภัย การจี้ปล้นเป็นต้น

 พร้อมกันนี้ ได้ไปพูดคุยกับ คนทั่วๆไปที่รูจักบ้าง ไม่รู้จักบ้าง

พบว่า  ความคาดหวัง ให้รัฐบาลให้ความเอาใจใส่เรื่องเศรษฐกิจให้มากๆ

 ตามด้วยอย่าให้ราคาน้ำมันสูงนัก  ช่วยดูเรื่องราคาสินค้า การศึกษา และความประพฤติของเยาวชน ด้วยค่ะ

สวัสดีค่ะ

  • ราคาทองสูงเท่าไหร่ยิ่งรู้สึกไม่ดีค่ะ   เหมือนเตือนเราว่าเศรษฐกิจและค่าครองชีพดูจะ......เพิ่มภาระให้เรามากขึ้น...ประมาณนั้นค่ะ
  • แต่คงดีสำหรับผู้ที่ลงทุนด้วยวิธีการสะสมทองนะค่ะ
  • ขอบคุณค่ะสำหรับข้อมูลดีๆที่นำมาให้เรียนรู้

ผู้บรรยาย  พยายามจะแสดงภาพว่า เศรษฐกิจประเทศสหรัฐอเมริกา ยังดีอยู่ แม้ในช่วงนี้ อาจจะอ่อนแรงไปบ้าง

สวัสดีค่ะคุณหญ้าบัว

ตอนนี้ใครๆกลัวคำว่า....Recession หรือความตกต่ำทางเศรษฐกิจ กันพอดูเลย

ปี 2008 จะเป็นปีที่ยากนะคะ เพราะสำหรับลงทุน มีความเสี่ยงพอควร ส่วนใหญ่ เลยหันไปเก็บทอง เก็บแล้วเก็บเลย เก็บนานๆไปเรื่อยๆ แต่อย่าไปเก็งกำไรซื้อนะคะ จะขาดทุนเอาง่ายๆเหมือนกัน เพราะโอกาส ราคาทองจะลงก็มีค่ะ

สำหรับดิฉัน ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียงค่ะ

 

สิ่งที่ตอกย้ำว่าเศรษฐกิจไม่ดีคือการที่ร้านทองแถบเยาวราชเปิดในวันตรุษจีนซึ่งปกติหยุด เป็นเพราะต้องการลูกค้า

โดยส่วนตัวมีความเห็นว่าการเก็บทองไว้อย่างเดียวเป็นการจมทุนค่ะ ที่บ้านใช้วิธีซื้อเข้าขายออก รับซื้อต่างร้าน ขายคืนร้านเจ้าของยี่ห้อเพื่อหักส่วนต่าง รับคืนทอง 90% (ผู้บริโภคซื้อไป 100 ขายคืนได้แค่ 50 เป็นมาตรฐานมานานแล้ว บางที่ไม่รับคืนด้วยซ้ำเพราะมีการประดับพลอยยุ่งยาก ต้องทุบทิ้งแล้วนำมาหลอมกลับเป็นทองแท่ง) อันนี้ถ้าจะทำได้ต้องมีความชำนาญ ไม่เหมาะกับผู้บริโภคทั่วไปจะทำตาม และการเก็งทองระยะสั้นเหมือนค้าหุ้นแบบ day trade ก็ไม่ได้จำนวนเงินมากเท่าไหร่สำหรับผู้มีทุนน้อย ยิ่งโดยเฉพาะการเก็งทองรูปพรรณซึ่งต้องเสียส่วนต่างค่ากำเหน็จสูง

ถ้าทิศทางราคายังขึ้นมากแบบนี้เรื่อยๆ ต่อให้เก็บเยอะ เอาออกมาขายก็กำไรครั้งเดียว ไม่สามารถซื้อใหม่เพื่อทำกำไรจากส่วนต่างเพราะราคาจะถีบตัวสูงขึ้นไปอีก หรือถ้าจะทำจริงก็ต้องใช้ทุนสูงตามขึ้นไปอีกด้วย เสี่ยงสำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้นะคะ เตือนด้วยความหวังดี

ราคาทองบ้านเราแต่ละวันผันผวนไม่มาก เพราะมีสมาคมค้าทองคำเป็นผู้กำหนดอัตราขึ้นลงในแต่ละวัน ไม่ให้ภายในวันเดียวกันเกิดการแกว่งตัวมากจนผู้บริโภคตกใจ แต่บ่อยครั้งก็รู้สึกไม่ดีเพราะเป็นการบังคับตลาดภายในประเทศให้ต่างออกไปจากความเป็นจริงของตลาดรวม เคยเจออาการทองลงทั่วโลก แต่ประเทศไทยเราไม่ลงเพราะสมาคมประกาศไว้เท่านั้นแล้ว ต้องรอวันถัดไป แถมเดี๋ยวนี้มีมาตรการคิดค่ากำเหน็จทองแท่งเพื่อลดการเก็งกำไรของผู้บริโภคด้วย (สรุปคือ ไม่อยากให้คนอื่นเก็งนอกจากตัวเอง - - " )

การจะซื้อขายส่วนใหญ่ต้องดูตลาดค้าทองต่างประเทศ ปกติดูจากที่นี่เป็นตัวเปรียบเทียบค่ะ ดูกราฟการขึ้นลงก็พอจะทราบทิศทางของแต่ละวันก่อนที่สมาคมจะประกาศราคาในตอนเช้า http://www.kitco.com/ เป็นการเปรียบเทียบราคาทองจากตลาดทั่วโลกตลอด 24 ชั่ว โมง โดยมีชาร์ตรายวันให้ดู และถ้าจะดูตลาดทองต้องดูราคาน้ำมันเปรียบเทียบควบคู่ไปด้วย

สนใจดูข้อมูลเกี่ยวกับการค้าทองคำที่มีประโยชน์ก็ดูได้ที่นี่ค่ะ http://www.ranthong.com/
อ้อ ลืมอีกอย่างค่ะ นอกจากดูราคาน้ำมันแล้วต้องดูตลาดค้าเงินด้วย มันสัมพันธ์กันทั้งสองตัว

ยังไม่สายเกินไป ที่จะอวยพรตรุษจีนให้แก่ทุกท่าน ในGotoKnowนี้นะคะ

ดิฉัน มีคุณย่า เป็นคนจีน

 คุณย่าของลูก เป็นคนจีน และคุณยายของหลานก็ยังเป็นคนจีนอีก     จึงให้ความสำคัญแก่วันนี้ มาตลอดค่ะ และคิดว่า เป็นประเพณีที่ดี ที่ต้องสืบสานต่อไปค่ะ

เช้านี้ เป็นวันหยุดตรุษจีน เปิดเน็ท เลยเข้ามาเจอบันทึกนี้

อ่านพบว่า หุ้นไทยแย่สุดในเอเซียเลย น่าสะท้อนใจจังค่ะ เมื่อไรจะดีขึ้นนะเนี่ย....แงๆๆๆ

แวะเข้ามาศึกษาเรื่องเงินๆทองๆนะครับ เข้าบรรยากาศตรุษจีนด้วย

ขอขอบคุณครับได้ความรู้และแนวความคิดใหม่เพิ่มขึ้น ต้องไปขยายผลต่อกับคนใกล้ชิดให้ทราบ ก่อนที่จะปล่อยไปหมด

สวัสดีค่ะน้อง Little Jazz \(^o^)/

นี่ละตัวจริง เสียงจริงเรื่องทองมาแล้ว สามารถให้คำแนะนำใครๆที่อยากซื้อทองเก็บ หรือ เก็งกำไรได้ ชัวร์ๆๆ

ตัวพี่เอง เก็บทองไว้เฉยๆ นานๆๆมากๆๆ ตั้งแต่ทองยังราคาถูก  ไม่เคยเอามาเก็งกำไรอะไร คิดว่า เก็บเป็นหลักทรัพย์อย่างหนึ่งเท่านั้นเอง

แต่นักวิเคราะห์จะให้เหตุผลเหมือนกัน ทั้งไทยและเทศ ว่า ทองจะเข้ามามีบทบาท อีกครั้ง ตามเหตุผลที่กล่าวข้างต้นค่ะ

และพวกที่ทำเพ็ชรนิลจินดาขาย ก็ต้องใช้ทอง ดังนั้น ราคาของสวยงามเหล่านี้ ก็ต้องแพงขึ้นด้วย

พอแพงมากๆ คนไม่ซื้อ ราคาก็ต้องลงมา เป็นธรรมชาติ

 ช่วงนี้ ผู้บริโภคได้รับผลกระทบ จากค่าครองชีพ และอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น จากการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน ทำให้การบริโภคตึงตัวขึ้น

พี่เห็นคนเริ่มมีการจับจ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น เมื่อวานไปสำรวจตลาด ดูหงอยๆพิกล

อย่างที่น้องว่า ร้านทองเปิดขายตรุษจีนค่ะ 

 ทองอาจลงราคาบ้าง  เพื่อการปรับฐานใหญ่ในบางจุด แต่มันจะสั้นกว่าการปรับฐานที่เคยเกิดก่อนหน้า และราคาที่ลดลงในช่วงใดๆจะเป็นโอกาสอันยอดเยี่ยมในการเข้าซื้อ ถ้าอยากจะซื้อเก็บนะคะ

โปรดใช้วิจารณญาณ ให้มากๆค่ะ ถ้าจะซื้อเก็งกำไร

พวกนักวิเคราะห์ เชื่อมากนักไม่ได้ ต้องมองถอยหลังกลับไปดูประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนไหวของราคาทอง    และ ดูประสบการณ์ของเรา กับ ของคนอื่นๆ ในชีวิตจริงประกอบด้วยค่ะ

Little Jazz \(^o^)/

อย่างที่ น้องบอกว่า เราต้องดูปัจจัย หลายตัวมาประกอบกันนะคะ

มีข่าวมาตอกย้ำว่า.....ราคาทองลงแล้ว ก็กำลังขึ้นอีกค่ะ

ราคาทองคำตลาดล่วงหน้าเพิ่มขึ้นมาแรง ปิดเหนือระดับ 900 เหรียญได้ในวันพุธที 6ก.พ.2551 แม้ว่า  เมื่อวันอังคาร ทองคำตลาดล่วงหน้าลดลง 19.10 เหรียญ จบที่ 890.30 เหรียญต่อออนซ์


สาเหตุเพราะ.....ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา ตลาดทองคำถูกเทขายเพื่อสภาพคล่องในตลาดอื่นเพราะกองทุนออกจากการค้าทองคำเพื่อเอาเงินสดให้พอมาใช้.

อย่างไรก็ตาม "ปัจจัยพื้นฐานที่สนับสนุนตลาด ยังไม่มีการเปลี่ยนแปลง  

ดอลล่าร์ลดลงเมื่อเทียบกับเยนและกลับตัวจากการขาดทุนในช่วงเช้าเมื่อเทียบกับยูโร 


ราคานำมันดิบเดือนมีนาคม ลดลงอย่างแรง หลังกระทรวงพลังงานสหรัฐรายงานน้ำมันสำรองในคลังเพิ่มขึ้น 7 ล้านบาเรล เป็น 300 ล้านบาเรลเมื่อจบสัปดาห์แรกในเดือนกุมภาพันธ์ มากกว่าที่ตลาดคาดการณ์
น้ำมันดิบเดือนมีนาคมลดลง 1.27 เหรียญ หรือ 1.4% ปิดที่ 87.14 เหรียญต่อบาเรล โดยทำราคาต่ำสุดที่ 86.80 เหรียญต่อบาเรล

ดังนั้น ราคาน้ำมัน บ้านเรา คงมีแนวโน้ม ลดลงบ้างนะคะ แต่ยังไม่ใช่ตอนนี้.....

ใครจะยังไงก็ช่าง.....เราเศรษฐกิจพอเพียงนะคะ แล้วจะรอดตัว

เข้ามาดูแล้วได้ความรู้มาก ๆ เลย  สมกับเป็นผู้หญิงเก่งจริง ๆ ขอคารวะด้วยใจจริง

 

อ่านแล้วได้ความรู้มากๆเลยค่ะ..ขอบคุณพี่ศศินันท์มากๆเลยค่ะ..อ่านเรื่องเดียว.รู้ไปรอบเลยค่ะ.. ขอบคุณมากค่ะ..

สวัสดีค่ะคุณกนกพร

 คุณบอกว่า......หุ้นไทยแย่สุดในเอเซียเลย น่าสะท้อนใจจังค่ะ เมื่อไรจะดีขึ้นนะเนี่ย....แงๆๆๆ

มีข่าวพาดหัววันนี้ 07-02-2008

ดาวโจนส์ร่วงฉุดตลาดหุ้นทั่วโลก กระทบดัชนีหุ้นไทยร่วงหลุดเหลือ 791 จุด หลังสหรัฐฯ ประกาศดัชนีภาคบริการต่ำสุดรอบ 5 ปีแถมเจอตรุษจีน นักลงทุนรอรัฐบาล'สมัคร1'ประกาศนโยบายฟื้นเศรษฐกิจ

อย่างที่Credit Suisse วิเคราะห์ค่ะ.....เหตุผลหลักที่ตลาดหุ้นไทย Underperform ตลาดหุ้น Asia ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา  เนื่องมาจาก  ปัญหาความไม่สงบทางการเมืองด้วย 
แต่หุ้นไทยมีความน่าดึงดูด เพราะผลกำไรจากบริษัทจดทะเบียนออกมาดีต่อเนื่อง พีอี เรโช ของเราน่าจะเป็น 13เท่า ดีขึ้น จาก ต่ำกว่า11เท่า  ในขณะนี้ 

สรุปว่า...เขาวิเคราะห์ว่า หุ้นไทย จะดีขึ้นแน่ๆค่ะ เพราะ ขณะนี้มีราคาถูกมาก เมื่อเทียบกับมูลค่าจริงๆของหุ้น

  • ต้องซื้อทองซ๊ะแล้วววว
  • แต่ดูในกระเป๋า อ้าว
  • ตังไม่มี เฮ้อๆๆๆ

มีข้อมูสดๆ  ที่ฟังแล้วดี  จากบริษัทศูนย์วิจัยกสิกรไทยจำกัดค่ะว่า.....

พฤติกรรมการใช้จ่าย ในช่วงตรุษจีนปี 2551 นี้ เจาะลึกเฉพาะกลุ่มครัวเรือนที่ยึดประเพณีการไหว้เจ้าในช่วงเทศกาลตรุษจีน....ในกรุงเทพฯพบว่า มีเม็ดเงินสะพัด 16400.00ล้านบาทค่ะ เพิ่มขึ้นร้อยละ 5.1 เทียบกับปีที่แล้ว ทุกรายการต่อไปนี้ เกิดขึ้นในกรุงเทพฯในช่วงตรุษจีน หมดค่ะ

ซื้อเครื่องเซ่นไหว้ 4,600 ล้าน

แจกอั่งเปา 6,400 ล้าน

ใช้จ่ายในกิจกรรมนอกบ้าน 2,400 ล้าน

ท่องเที่ยวในประเทศ 2,000ล้าน

ท่องเที่ยวต่างประเทศ 1,000ล้าน

แสดงว่า คนมีเงินเก็บอยู่มากค่ะ  แม้จะได้ดอกเบี้ยต่ำมากๆ ก็เก็บ ไม่ลงทุน แสดงว่า เรื่องดอกเบี้ยนี่ บอกอะไรเราหลายอย่างจริงๆ

ตรงกับที่ นักวิเคราะห์พูดเสมอมาว่า คนเก็บเงิน ไม่ค่อยยอมใช้ เพราะ ไม่มั่นใจในสถานการณ์บ้านเมือง ไม่กล้าลงทุน เพราะรอการเลือกตั้ง และรอรัฐบาลใหม่

แต่เมื่อถึง เทศกาลสำคัญๆ คนจะนำเงินออกมาใช้จริงๆ เพราะ เป็นโอกาส ที่จะใช้อย่างมีความสุขในท่ามกลางลูกหลานและคนในครอบครัว

 

 


ครอบครัวสามี ญาติๆเขา ไปต่างประเทศกัน กับทัวร์ เขาบอกคนไปเที่ยวกันเยอะช่วงตรุษจีน

อยากให้เที่ยวไทยมากกว่าค่ะ ไปเมืองนอก ค่าใช้จ่ายสูงนะคะ

หนูไม่ค่อยรู้อะไร

แต่อ่านแล้วก็สนใจ ตอนนี้ search มาพอดี  อยากรู้ว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ทองขึ้นๆลงๆแบบที่พุดข้างบน คะ

สวัสดีค่ะคุณ โต

คุณบอกว่า....ได้ความรู้และแนวความคิดใหม่เพิ่มขึ้น ต้องไปขยายผลต่อกับคนใกล้ชิดให้ทราบ ก่อนที่จะปล่อยไปหมด

ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ ขอให้เฮงๆๆๆ ตลอดปีนะคะ

มีทองก็เก็บไว้เถอะค่ะ อย่าไปรีบขาย  ตอนนี้ จะมีขึ้นๆลงๆ ก็ของธรรมดา

ถือระยะยาว ดีค่ะ แต่การปรับฐานจะมีตลอดนะคะ  ราคาน่าจะลง จะขึ้นได้ทุกเมื่อ  แต่เราอย่าไปยุ่งกับนักค้าทองเลย   ดูน่าหวาดเสียว และไม่ค่อยอยากจะให้เข้ามาเสี่ยงสักเท่าไหร่

สวัสดีครับ P Sasinanda

สบายดีนะครับ

ชอบจริงๆครับ ทอง ทอง ทอง

สวัสดีค่ะคุณ กฤษณา

คุณบอกว่า.......ญาติๆเขา ไปต่างประเทศกัน กับทัวร์ เขาบอกคนไปเที่ยวกันเยอะช่วงตรุษจีน

อยากให้เที่ยวไทยมากกว่าค่ะ ไปเมืองนอก ค่าใช้จ่ายสูงนะคะ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย บอกว่า.....การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศ ช่วงตรุษจีนคิดเป็นมูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท

การเดินทางไปเที่ยวต่างประเทศในช่วงเทศกาลตรุษจีนปีนี้คึกคักอย่างมาก โดยปัจจัยหนุนสำคัญคือ เงินบาทที่แข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง

 ส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับการเดินทางไปท่องเที่ยวระยะไกลในประเทศ เช่น การเดินทางไปภูเก็ตค่าใช้จ่ายก็จะอยู่ในระดับใกล้เคียงกับไปสิงคโปร์และมาเลเซีย

นอกจากนี้ การตัดสินใจไปท่องเที่ยวในแหล่งท่องเที่ยวริมทะเลบางแห่งของเราเอง   จะประสบปัญหาในเรื่องการจองห้องพัก เนื่องจากตอนนี้  ยังคงเป็นช่วงฤดูกาลท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวต่างประเทศ   รวมทั้งยังทำให้ค่าที่พักมีราคาแพงขึ้น ด้วยค่ะ 

แหล่งท่องเที่ยวในต่างประเทศที่ได้รับความนิยมของคนกรุงเทพฯเชื้อสายจีนในช่วงตรุษจีนเป็นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ในเอเชีย ได้แก่ จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย และญี่ปุ่น

 โดยเฉพาะจีนนั้นนับว่าได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากค่าใช้จ่ายจะไม่แพงมากนักแล้ว ยังเป็นโอกาสของการได้ไปเยี่ยมญาติและจับจ่ายซื้อของหรือช็อปปิ้งอีกด้วย รวมทั้งลาวและเวียดนามก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทยเช่นกัน  

 

สวัสดีค่ะ เพ็ญ..นะจ๊ะ

ขอบคุณสำหรับคำชม ที่ออกจะเกินจริงค่ะ ไม่ได้ดีอะไร ขนาดนั้น

 เพียงแต่ เป็นคนที่สนใจอะไรๆๆรอบตัวทุกเรื่อง ที่น่าสนใจ และมีประสบการณ์เรื่องการลงทุน เรื่องหุ้น มาด้วยตัวเอง พอสมควรค่ะ

รู้ว่า เราต้องระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง สมัยเล่นหุ้น ต้องon line จากตลาดฯ มาที่บ้านเลย เพราะ กลัวติดหุ้น แล้วก็มีติดจริงๆ ค้างเติ่งอยู่บนยอดเขาก็มี  ส่วนใหญ่เล่นหุ้น ต้องเงินเย็น และใจเย็นค่ะ ไม่งั้นเราจะ panic เวลาหุ้นตก

แต่ตอนนี้ ไม่เล่นค่ะ ซื้อเป็นการลงทุนเฉยๆ ถือนานๆๆๆเลยค่ะ และพอดี ที่บ้านอยู่ในวงการเงิน จึงพอจะรู้สถานการณ์อยู่บ้าง เท่านั้นค่ะ

ช่วงนี้ ไปเที่ยวไหนหรือเปล่าคะ

ตอนตรุษจีนนี่  การใช้จ่ายในการเดินทางท่องเที่ยวในประเทศ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 2,000 ล้านบาทนะคะ

 โดยการเดินทางไปต่างจังหวัดในช่วงตรุษจีน  มีทั้งที่เดินทางแบบเช้าไปเย็นกลับ และเดินทางไปเที่ยวแบบค้างคืนค่ะ

มักมีโปรแกรมแวะทำบุญไหว้พระตามวัดและศาลเจ้าที่มีชื่อเสียงของแหล่งท่องเที่ยวแต่ละแห่ง

แหล่งท่องเที่ยวที่คนกรุงเทพฯที่เป็นนิยมในช่วงนี้ ยังคงเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ เพื่อความสะดวกในการเดินทางและค่าใช้จ่ายในการเดินทางที่ไม่สูงนัก

เพราะการเดินทางท่องเที่ยวระยะไกลในประเทศก็มีค่าใช้จ่ายอยู่ในเกณฑ์สูงเหมือนกันค่ะ

สรุปแหล่งท่องเที่ยวในต่างประเทศที่ได้รับความนิยมของคนกรุงเทพฯเชื้อสายจีนในช่วงตรุษจีนปี 2551

เป็นแหล่งท่องเที่ยวระยะใกล้ในเอเชีย ได้แก่ จีน ฮ่องกง เกาหลีใต้ สิงคโปร์ มาเลเซีย และญี่ปุ่น

 โดยเฉพาะจีนนั้นนับว่าได้รับความนิยมอย่างมาก นอกจากค่าใช้จ่ายจะไม่แพงมากนักแล้ว ยังเป็นโอกาสของการได้ไปเยี่ยมญาติและจับจ่ายซื้อของหรือช็อปปิ้งอีกด้วย รวมทั้งลาวและเวียดนามก็เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมของคนไทยเช่นกัน

นำรูปที่เคยไปเวียดนามมาฝากค่ะ

 

มาแล้วครับ เจ้าเก่า อวยพรขอให้เฮงๆๆๆครับ

วันหยุดอยู่บ้าน เลยเปิดเน็ทดู

พี่สาวผมส่งออกอยู่ บ่นว่า ฝืด เมื่อไรอเมริกาจะดีสีกทีนะครับ

สวัสดีค่ะพิเชษฐ์

ดีใจที่มาเยี่ยม นึกแล้วว่า ต้องหยุดตามธรรมเนียม ไปเที่ยวไหนเสียบ้างก้ดี ทำแต่งาน จะหนักไป

เรื่องอเมริกาเมื่อไรจะฟื้นจากการเป็นไข้หวัดนั้น คงไม่เร็วหรอกค่ะ

ตามที่ได้ไปฟังการสัมนามา.....

สินเชื่อที่ให้ลูกหนี้ซับไพรม์มีถึง 1.8 ล้านราย และกำลังจะถูกยึดทรัพย์ ตอนนี้ รัฐบาลกำลังช่วยเหลือลูกหนี้ บางส่วนที่มีคุณสมบัติตามเกณฑ์ ที่จะให้มีการตรึงดอกเบี้ยจำนอง เป็นเวลา 5 ปี

และธนาคารกลางสหรัฐกำลังจะร่วมมือกับธนาคารกลางอีกหลายประเทศ แก้ไขปัญหาสภาพคล่องในตลาดการเงิน เช่น ธนาคารกลางยุโรป แคนาดา อังกฤษ สวิส เมื่อ 12 ธ.ค. 2550 เพื่อให้ ธนาคารที่ประสบปัญหา สามาถมีสภาพคล่องได้อีก

ทางผู้บรรยาย บอกว่า การแก้ปัญหาคง ค่อยเป็น ค่อยไป อาจต้องใช้เวลา อีกระยะหนึ่งค่ะ

มีการคาดคะเนว่า อเมริกา จะเริ่มฟื้นตัว ตอนกลางปี 2551

ตอนนี้ ยังไม่เรียกว่า ภาวะถดถอย แต่เป็นภาวะชลอตัวค่ะ ตามที่เครดิตสวิส ให้ข้อมูล

ได้ความรู้ด้านนี้ขึ้นมากเลยค่ะ ปกติจะไม่ค่อยสนใจเรื่องข่าวสารการเงิน การเศรษฐกิจนัก (ให้คนข้างกายเขาสนใจแทน)

และสำหรับข่าวเรื่องทอง คนที่ชอบสะสมทองอยู่แล้วคงยิ้ม ตัวเองมีนิดหน่อย ส่วนใหญ่เป็นเครื่องประดับโบราณ แถมเดี๋ยวนี้ไม่กล้าใส่ของมีค่า ใส่แต่เครื่องเงิน มีชีวิตอยู่อย่างบ้านนอกพอเพียงก็ดีไปหลายอย่างนะคะ ไม่เปลือง และไม่ต้องเต้นตามกระแสโลก

อิ อิ (แก่แล้ว)แต่อยากได้อั่งเปาเหมือนกันล่ะค่ะ

คุณหลานน่ารักมากเลยค่ะคุณพี่

ขอบคุณคุณพี่ศศินันท์มากเลยครับ

นี่ถ้าไปฟังเองสงสัยจะสรุปได้ไม่ถึงหนึ่งในสี่ อิอิ เป็นข้อมูลที่น่าสนใจมาก แต่ไม่มีเงินไปซื้อทองมาเก็บ หรือไปช้อนซื้อหุ้นกับเขา ที่บ้านมีแต่ต้นใบเงินใบทอง อิอิ

สวัสดีค่ะ คุณครูแอ๊ว

ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ เรื่องนี้ พี่เคยคุยกับกัลยาณมิตรบางท่านนะคะว่า พอเขียนไป  ใครมาอ่าน คงน่าเบื่อมาก เพราะ มันไม่สนุก แถม มีแต่ข่าวไม่ดี ที่จะมีผลกระทบกับเราด้วยนะคะ ไม่มากก็น้อย

แต่พี่คิดว่า คนเรา ต้องยอมรับกับข่าวไม่ค่อยดีบ้างค่ะ และต้องติดตามข่าวสารหลายๆด้าน  ด้านนี้เป็นด้านการเงิน ซึ่งสำคัญกับเราไม่น้อยค่ะ ไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

และข่าวไม่ดีอย่างนี้ ยังจะมีต่อไปอีกระยะหนึ่งแน่นอน เพราะ ต่อไป คงจะเป็นระยะช่วง ที่ทางการเงินเรียกว่า Stagflation ซึ่งภาวะนี้ เคยเกิดขึ้น กับเศรษฐกิจสหรัฐ เมื่อปี 1970 และ 1980 หลังวิกฤติการณ์น้ำมัน(บทวิเคราะห์ของศูนย์วิจัยกสิกรไทย)

 สวัสดีค่ะคุณ suksom

อ่านแล้ว ยังไม่ง่วงนะคะ เงินทองเรื่อง ต้องรู้ค่ะ

เจอแต่ข่าวไม่ดี ไม่เป็นไร โลกเรา มีทั้งข่าวดีและไม่ดี เป็นเรื่องธรรมดา

อีกข่าวหนึ่ง ก็อาจไม่ค่อยดีอีก คือ ทางยุโรป ก็ติดเชื้อหวัดเข้าไปเหมือนกันค่ะ สถาบันการเงินชั้นนำในยุโรป ต่างเผชิญกับการขาดสภาพคล่องและการปรับลดทางบัญชี สำหรับสินทรัพย์ที่ด้อยค่า เช่นกัน

ส่วนเศรษฐกิจญี่ปุ่นก็จะซบเซาต่อเนื่องจากปี 2550 เพราะถูกกดดันทั้งภายในและภายนอกประทศ

ทั้งนี้ สาเหตุมาจาก

1.การไร้เสถียรภาพ ในตลาดการเงินโลก

2.ราคาน้ำมันดิบ ที่ยังสูงต่อเนื่อง

3.การแข็งค่าของเงินเยน จากการระบายการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงของนักลงทุนทั่วโลก

4.ความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจสหรัฐ คู่ค้า คนสำคัญ

ซึ่งทั้งหมดนี้ คงจะฟื้นตัวหลังกลางปี 2551 ไปแล้ว ตามสหรัฐอเมริกา.....เครดิตสวิส และศูนย์วิจัยกสิกรไทย

  • ดูตามข้อมูล.....รัฐบาลใหม่.....ก็ค่อนข้างโชคดี..ในหลายเรื่อง
  • ผมว่า.......จะดี.....จะชั่ว.....อย่างไร.....ต่างชาติยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง...มากกว่า
  • ช่วยกันประคับประคอง.....ให้นำพาเศรษฐกิจ....ของชาติ....ก้าวไปดีกว่า
  • รัฐบาลขี้เหร่.....อาจมีอะไรงามๆซ่อนอยู่.....ก็ได้

สวัสดีตรับ คุณพี่ศศินันท์

            ขอขอบคุณครับ สำหรับคำอวยพรตรุษจีนครับ  เดี๋ยวนี้ ไทย-จีน แยกกันไม่ออกแล้วครับ

           ตรุษจีนที่ตราดปีนี้เงียบเหงามากครับ

           ประเด็นทางเศรษฐกิจ   ผมจะค่อยๆ แกะอ่านไปนะครับ

            ส่วนเรื่องทอง  ยอมรับว่า "แพ้" ครับ

           เพราะพอมีเข้าแล้ว กลัวว่าจะนอนสะดุ้งจนเรือนไหวน่ะครับ

ขอบคุณ ข้อมูลจาก Little Jazz \(^o^)/

น้องบอกว่า.....

อย่างที่หนูไปคอมเม้นท์ไว้นั่นเพื่อเป็นวิทยาทานแก่คนอื่น

 ทองคำดูเหมือนจะใกล้ตัวคนไทยมานาน แต่จริงๆ ตลาดนี้เป็นตลาดปิดที่มีคนเฉพาะกลุ่มเท่านั้นเป็นผู้ควบคุม โดยเฉพาะ 5 เสือเยาวราชที่ผลัดกันขึ้นลงตำแหน่งนายกสมาคม สมาคมเป็นผู้ควบคุมตลาดในประเทศเอง ร้านเล็กก็มีหน้าที่ทำตาม เพราะฉะนั้นการออกมาตรการทั้งหลายก็เพื่อเอื้อร้านใหญ่ทั้งนั้นแหล่ะค่ะ

อย่างทองแท่งแต่ก่อนคนชอบซื้อเก็บไว้เก็งกำไร เพราะไม่มีค่ากำเหน็จ (ค่าแรง) ซื้อขายตามราคาทอง ณ วันนั้น แต่เดี๋ยวนี้พอคนทำเยอะ ร้านก็ไม่ไหว พอทองขึ้นทีแห่กันมาขายเอาส่วนต่าง เงินสดเตรียมไว้เท่าไหร่ก็ไม่พอ ทำให้เกิดการขาดสภาพคล่อง ก็เลยเกิดการคิดค่ากำเหน็จของทองแท่ง ซึ่งถ้าราคาทองถีบตัวขึ้นไปไม่สูงกว่าราคาซื้อมากนักก็ไม่คุ้มที่จะขายเพราะต้องเสียค่ากำเหน็จต่อบาทด้วย ต้นทุนจึงไม่ได้มีเฉพาะราคาทองเพียวๆ อีกต่อไป

หรืออย่างทองรูปพรรณ สมมุติพี่ซื้อร้านนึงแล้วไปขายอีกร้าน ราคาก็ถูกกดลง ไม่รับคืนเท่าของร้านเขา แล้วก็ไม่ง้อด้วย ขายก็ซื้อคืน ไม่ขายก็ไปหาร้านอื่น เขาดูตราร้านกันออก แต่ละร้านมีสัญลักษณ์ประมาณ 3-4 แบบทั้งรูปและตัวหนังสือจีน สินค้าแต่ละอย่างก็ตีแต่ละจุดต่างกันไปเป็นโค้ดที่รู้กันเฉพาะแต่ละร้าน และถ้าซื้อทองนอกเยาวราชก็ยิ่งเสี่ยงต่อเปอร์เซ็นต์ทองที่ต่ำกว่ามาตรฐาน ผสมน้ำประสานเยอะอะไรทำนองนั้น คือดูเหมือนง่ายแต่ค้าขายยากกว่าหุ้นซะอีก มีตัวแปรเยอะ ตอนซื้อไปคิดน้ำหนักทองรวมน้ำประสานทอง เวลาขายเป่าไฟไล่เอาน้ำประสานออก 555 ยุติธรรมจริงๆ แล้วบอกว่าเนื้อทองหาย สึกเพราะการใส่

ร้านทองยังมีทริคอีกเยอะ เช่น ใช้ตาชั่งโบราณ ไม่ใช้ตาชั่งดิจิตอลใครก็ดูไม่ออก หาคนดูเป็นยาก เศษทศนิยมตอนขายคิดสองหลัก ตอนรับคืนคิดหลักเดียว สารพัดวิธีค่ะ เพราะฉะนั้นถึงบอกว่า

ถ้าไม่ได้อยู่ในแวดวงนี้ก็เสี่ยง เพราะคนกำหนดเกณฑ์ในประเทศก็คือพ่อค้าที่ขายทองนั่นเอง เลยต้องศึกษาดีๆ ก่อนมาลงทุนค่ะ

ค่ะ ขอบคุณค่ะ น้องซูซานสำหรับข้อมูลที่บางทีเราก้ไม่ทราบมาก่อนค่ะ 

แต่ที่พี่ยุให้เก็บทองไว้ เพื่อเป็นทรัพย์สิน  ไม่ใช่มาเก็งกำไร เพราะเก็งกำไร ไม่ได้อยู่แล้ว มีขาใหญ่ คอยควบคุมอยู่ คนทั่วไปชอบมีทองไว้ เพราะ เป็นได้ทั้งเครื่องประดับ และเปลี่ยนเป็นเงินได้

ยามฉุกเฉินถ้าจะซื้อทองคุณภาพดีเป็นทองแท่งจริงๆ น่าจะต้องซื้อจากแหล่งต่างประเทศ และมีcertificateนะคะยังไงมีอะไรติดไว้บ้าง ก็ยังดีกว่าเนอะ เผื่อฉุกเฉิน

ถ้าเราจะลงทุนเรื่องค้าทองจริง ทางพวกกองทุนฯต่างๆ จะมานำเงินเราไปให้เขาจัดการลงทุนค่ะ   

เราไม่ได้เป็นคนไปซื้อเอง และบางที เป็นการซื้อขายที่ไม่มีของจริงๆด้วย 

พี่ว่า ...สำหรับเราๆ ถ้ามีทองก็เก็บไว้ก่อน อย่าเพิ่งไปขายค่ะ เพราะ ราคา น่าจะขึ้น เป็นระยะๆ ในปีนี้ค่ะ เก็บไว้เป็นทรัพย์สิน

 

สวัสดีค่ะคุณ จตุพร วิศิษฏ์โชติอังกูร

ส่วนข่าวที่ดีๆก็มีค่ะ คือจีนมีเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งมากค่ะ แต่การขยายตัว จะลดลงกว่าปีที่แล้วหน่อยหนึ่ง จากร้อยละ 11.4 เป็นร้อยละ 10.5 เพราะจีนคุมเข้มทางการเงิน สะกด การพุ่งของเงินเฟ้อ และเศรษฐกิจโลก ที่ชลอตัวลง

คงมีการขึ้นดอกเบี้ยกันอีกแน่ หลังจากขึ้นไปแล้ว 6 ครั้ง ในปี 2550

ลองดูการเจริญเติบโตของจีน ในรูปบนค่ะ

 

ในข้อ 5 ซึ่งพูดถึงการปรับตัวย่ำแย่ของภาคเทคโนโลยี คำคำนี้น่าสนใจครับ

เวลาเราพูดถึงภาคเทคโนโลยี ก็มักจะคิดไปถึงบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีมาทำธุรกิจ แล้วก็หยุดคิดแค่นั้น ที่จริงควรตั้งคำถามต่อว่าแล้วบริษัทเหล่านี้ทำธุรกิจอะไรกันแน่ ซึ่งเขาจัดเป็นหมวดหมู่ไว้ 32 หมวดดังนี้ครับ

Technology
  Application Software
  Business Software & Services
  Communication Equipment
  Computer Based Systems
  Computer Peripherals
  Data Storage Devices
  Diversified Communication Services
  Diversified Computer Systems
  Diversified Electronics
  Healthcare Information Services
  Information & Delivery Services
  Information Technology Services
  Internet Information Providers
  Internet Service Providers
  Internet Software & Services
  Long Distance Carriers
  Multimedia & Graphics Software
  Networking & Communication Devices
  Personal Computers
  Printed Circuit Boards
  Processing Systems & Products
  Scientific & Technical Instruments
  Security Software & Services
  Semiconductor - Broad Line
  Semiconductor - Integrated Circuits
  Semiconductor - Specialized
  Semiconductor Equipment & Materials
  Semiconductor- Memory Chips
  Technical & System Software
  Telecom Services - Domestic
  Telecom Services - Foreign
  Wireless Communications

ที่บ้ามากคือกลุ่มเทคโนโลยีนี้ ในขณะที่เขียนมี P/E เกือบ 28X สูงจนดูไม่มีเหตุผลครับ (ตลท. มี P/E 11X) เค้าเอาการคาดการณ์คำนวณการเติบโตในอนาคต (ซึ่ง optimistic มาก สมัยวิกฤติ dot com ผ่านเหตุการณ์อย่างนี้มาแล้ว ก็ยังไม่เข็ด) มี cash สูงประมาณ 18% ของ equities ในขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นมีประมาณ 6% เท่านั้น

การที่มี cash เยอะ จึงเห็นว่าบริษัทในกลุ่มนี้ สร้างการเติบโตผ่าน M&A มีหลายบริษัทที่ไม่เคยมีกำไร แต่มี DCF ที่ดี เพราะ projection ที่ดีเกิดจาก business model ที่ innovative (แต่ยังไม่ได้พิสูจน์ตัวว่าดีจริง)

ในสหรัฐ มีพวก VC ซึ่งเข้าไปลงทุน first round หรือ second round เป็นจำนวนมาก ใช้เงินจากกองทุน pension fund และ private fund อื่นๆ โมเดลนี้ เป็นการสนับสนุนให้เกิดธุรกิจใหม่ได้ง่าย

เนื้อแท้ของธุรกิจสหรัฐ ยังเป็นการผลิต บรรษัทขนาดยักษ์ลดต้นทุนผ่าน outsourcing และ contracted manufacturing (ไปจีนและอินเดีย); ตลาดแรงงาน "ไฮเทค" ในสหรัฐ จึงเปลี่ยนไป ผู้ตกงานวิ่งหา VC ตั้งบริษัทใหม่มาแข่งกับนายจ้างเก่าของตน volume ใน business plan เก่าที่คิดว่าจะได้ ก็ไม่ได้ งานต่างๆ กลายเป็นเบี้ยหัวแตกไปหมด

ทีนี้พอเกิดวิกฤติซับไพรม์ กำลังซื้อหดหาย จึงมีแนวโน้มที่เศรษฐกิจสหรัฐจะชะงักครับ กลุ่มบริษัทไฮเทคนี้ มี Market Cap เกือบ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จึงมีความสำคัญ

 

        อย่างไรก็ตาม   ดิฉันเห็นว่า  เรายังไม่ควรเชื่ออะไรไปทั้งหมด ตามที่นักวิเคราะห์พยายามจะบอกเรานะคะ

ข่าวสารที่เราได้รับนั้น บ่อยครั้งมันไม่ได้สะท้อนภาพทั้งหมด จริงๆแล้ว  ข่าวสารที่เราได้รับส่วนใหญ่สะท้อนภาพที่แท้จริงเพียงด้านเดียวเท่านั้น 

 สวัสดีครับ พี่ Sasinanda

  • สิ่งที่นักวิเคราะห์บอก ตามปรกติแล้ว ก็เชื่อได้ว่าจริง ถึงจริงมาก

  • แต่จะมีคุณค่าหรือไม่ คือ อยู่ตรงที่ว่า  ตอนที่เราได้ยิน เราเป็นคนที่เท่าไหร่ คนแรก ๆ หรือคนท้าย ๆ

  • ถ้าเป็นคนแรก จะได้ประโยชน์ เพราะอยู่ต้นห่วงโซ่อาหาร คือ ถ้ารู้ จะดีมาก ๆ

  • ถ้าเป็นคนท้าย ๆ เราจะอยู่ตรงปลายห่วงโซ่อาหาร คือ ไม่รู้ จะดีกว่า จะได้ไม่เกิดความกลัวหรือกล้าเกินเหตุ จนตัดสินใจพลาด

  • กรณีตัวอย่างคือ หลายปีก่อน หุ้นกลุ่มปิโตรเคมีตกลงแบบไม่มีเหตุผลนานแรมเดือน มีคนพยายามอธิบายในหนังสือพิมพ์ว่าเป็นเรื่องนโยบายเงินหยวน

  • ตอนที่ข่าวจากนักวิเคราะห์ออกมาว่า ควรหลีกเลี่ยงหุ้นกลุ่มนี้เพราะปัญหาภัยแล้ง ไม่มีน้ำพอใช้ในโรงงาน ก็เป็นช่วงที่ราคาใกล้จะปรับตัวขึ้นเรียบร้อยแล้ว

  • คนที่ทราบจากนักวิเคราะห์เป็นคนแรก ๆ (ก่อนออกสู่สาธารณชน) ก็ได้ประโยชน์ไป

  • คนที่เพิ่งอ่านข่าว ก็จะเสียประโยชน์รุนแรงกว่าคนที่ไม่ทราบข่าว เพราะเพิ่งนึกกลัว ทั้งที่ราคาก่อนหน้า สะท้อนว่า มีการแอบรับทราบข่าวไปก่อนแล้วจนอิ่ม ราคาถึงได้ตกซึมยาวมาตั้งแต่ก่อนหน้านั้น

  • เป็นกฎที่ไม่ได้เขียนไว้สำหรับ money game ครับ

 

สวัสดีค่ะคุณ สุภัค
 คุณบ่นว่า.....อยากรู้จังว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ทองขึ้นๆลงๆแบบที่พุดข้างบน คะ
เรื่องของทอง   ทุกคนยอมรับว่า ทองคำและเครื่องประดับทองรูปพรรณยังคงเป็นทรัพย์สินที่มีค่าซึ่งได้รับความนิยมสำหรับคนไทย เพราะเป็นการออมทรัพย์ในรูปแบบหนึ่งที่มีสภาพคล่องสูง
นอกจากนี้ ยังสวมใส่เป็นเครื่องประดับเพื่อความสวยงามได้ด้วยแต่การที่ทองมีราคาขึ้นๆลงๆบ้าง เพราะ  ตอนนี้ คงเป็นเรื่องของตรุษจีน ที่คาดว่าหลังจากหมดตรุษจีน กำลังซื้อน่าจะหดหายไป ทำให้ทองคำ ยังต้องพักฐานลงไปอีกสักระยะ คือราคาลดลง 

ตอนนี้ คนมาสนใจทองคำมากขึ้น  เพราะได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยที่ต่ำลง ดอลล่าร์ที่ลดค่าลงค่ะ

พวกหุ้นทองคำจะให้ผลตอบแทนที่น่าประทับใจมากขึ้น
แต่เรื่องนี้ เราอย่าไปสนใจการซื้อทองหรือซื้อหุ้นทองเก็งกำไรเลยค่ะ อันตราย   ที่มีแล้วก็เก็บเป็นสมบัติดีกว่า เก็บไปได้เรื่อยๆ ไม่มีปัญหาค่ะ  

สวัสดีค่ะคุณ สิทธิรักษ์

ดีใจจริงที่คุณมาเยี่ยม ไม่ได้แวะมานานเลยนะคะ สบายดีนะคะ

ตามที่นักวิเคราะห์ ออกรายงานกันทุกค่ายว่า  แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่อยู่ในภาวะขยายตัวต่ำ แต่เงินเฟ้อกลับสูงต่อเนื่องนี้

จึงทำให้ทอง ซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดนี้เป็นเสมือน "หลุมหลบภัย" ที่น่าลงทุนมากที่สุด ซึ่งมันเป็นลักษณะหุ้นทองคำ

ไม่เหมาะกับพวกเรา ที่ไม่ใช่นักเก็งกำไร สำหรับเรา แค่ดีใจที่รู้ว่า ทองที่เราเก็บไว้ มีค่า มีราคาขึ้นค่ะ

แนวโน้มเศรษฐกิจโลกขณะนี้  ไม่แน่นอน โดยเฉพาะนักเศรษฐศาสตร์หลายสถาบันเชื่อว่า ภาวะเศรษฐกิจโลก อาจเริ่มเข้าอยู่ในภาวะ stagflation ซึ่งเป็นสถานการณ์ที่เศรษฐกิจมีอัตราการเติบโตต่ำมากค่ะ

สวัสดีค่ะ อาจารย์  คุณนายดอกเตอร์

อาจารย์คะ เรื่องนี้ เราคงต้องสนใจเหมือนกันนะคะ เพราะมันกระทบประเทศเราด้วยค่ะ

เราเป็นประเทศที่ส่งออกสินค้ามาก สหรัฐเป็นคู่ค้า รายใหญ่ ของเรา วิกฤตการณ์ของสหรัฐ ทำให้อัตราดอกเบี้ยปรับลดลง ซึ่งจะกระทบกับค่าเงินบาท ของเรา ทำให้แข็งค่าขึ้น

ค่าเงินที่เหมาะสม ควรเข้ากับพื้นฐานของเราจริงๆ ไม่ให้ผันผวนมากนัก

พี่ไปฟังนักวิเคราะห์พูด และมีแผนภูมิประกอบมากมาย แต่ไม่ได้วิตกไปกับปัญหาของประเทศอื่นเท่าใดค่ะ เพราะยังไงพื้นฐานเขาก็ยังดีอยู่ เพราะสหรัฐคงสามารถสร้างสรรค์กิจกรรมทางเศรษฐกิจได้อีก และช่วยให้ประเทศเขากระเตื้องขึ้นมา และรอดพ้นวิกฤติได้ในที่สุด แม้จะไม่เร็วนักนะคะ

แต่ที่ วิตกและห่อเหี่ยวใจ กับสิ่งที่เห็นชัดเจน คือ ขีดความสามารถของประเทศเรา  ในการแข่งขันค่อนข้างต่ำมากค่ะ นี่ละ คือปัญหาใหญ๋ที่สุดอย่างแท้จริงค่ะ

สวัสดีค่ะ  

          ขอบคุณสำหรับข้อมูลค่ะ และดีใจ ที่ จีน อิเดีย สามารถเทียบชั้น โลกตะวันตกได้แล้ว แต่ประเทศเรา ทำไม ดูไม่ค่อยจะมีอะไรก้าวหน้านะคะ เหมือนๆเดิมเกือบทุกอย่างเลย

สวัสดีค่ะ ท่านอัยการชาวเกาะ

ดีใจที่มาเยี่ยมค่ะ ถ้ามีโอกาสไปฟัง ไปรู้ ไปเห็นอะไรมาที่น่าสนใจ ก็จะมาสรุปเล่าให้ฟังค่ะ ไม่ต้องมีศัพท์แสงทางการเงินมากหรอกนะคะ ให้พอรู้ว่า ทิศทางในด้านเศรษฐกิจการเงิน  เป็นอย่างไรก็พอ เพราะถ้ามีอะไร เราก็จะได้เตรียมตัวทันค่ะ

อย่างตอนนี้ ก็คือ ยึดหลักเศรษฐกิจพอเพียง ไม่ฟุ่มเฟือย แต่เงินบาทแข็งก็ดีสำหรับคนส่งลูกไปเมืองนอกค่ะ

โดยปกติตัวเอง จะพยายามเปิดหูเปิดตารับข่าวสารให้มากที่สุด ซึ่งรวมถึงภาวะการเงิน ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองทั้งในและต่างประเทศ

ยิ่งแต่ก่อนเล่นหุ้นด้วย เพราะบริษัทของตัวเองอยู่ในตลาดหุ้น  ยิ่งติดตาม ข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทต่างๆ ความเคลื่อนไหวของ "ขาใหญ่"ในประเทศ    ความเคลื่อนไหวของนักลงทุนต่างประเทศที่จะมีผลต่อราคาหุ้นที่ขึ้นลงนาทีต่อนาที

บางวัน แทบไม่ได้กินข้าวเย็น เพราะอิ่มหุ้นที่ค้างเติ่งไว้ ปล่อยออกไม่ได้สักที่น่ะค่ะ

ตอนนี้ ไม่ใกล้ชิดมาก เพราะซื้อแบบลงทุนยาว ไม่ใช่เก็งกำไรแล้วค่ะ

มีหนังสือ มีเว็บไซด์แนะนำเทคนิคต่างๆสำหรับการเก็งกำไร เล่นหุ้นต่างๆเยอะ    แต่เท็คนิคดังกล่าวมัก  ถูกบอกเล่าโดยคนที่ประสบความสำเร็จ หรือที่คนทั่วไป  เชื่อว่าเขาประสบความสำเร็จ จากการใช้วิธีการลงทุนแบบนั้น แต่สิ่งที่เราอาจจะลืมไปก็คือ เทคนิคนั้น อาจจะไม่สามารถใช้ได้ในช่วงเวลาอื่นหรือกับหุ้นตัวอื่น

เทคนิค  จะขึ้นอยู่กับกาลเวลาและอาจจะใช้ไม่ได้กับหุ้นทุกตัว

 ดังนั้น คนที่ใช้หรือเคยใช้เทคนิคนั้นจำนวนมาก  อาจจะไม่ประสบความสำเร็จ  แต่จะไม่ออกมาพูดว่าเทคนิคนั้นเป็นเทคนิคที่ใช้ไม่ได้

สรุป.....เรื่องการเก็งกำไรอะไรต่ออะไรนี่  นี่ เป็นเรื่องที่ ค่อนข้างเสี่ยงมากๆค่ะ

เอาเว็บที่เป็นตัวช่วยในการลงทุนทองคำมาฝากกันค่ะ อันนี้เป็น FAQ http://www.mtsgold.co.th/home_th.php ส่วนอันนี้เป็นรายละเอียดการซื้อขายผ่าน online http://www.mtsgold.co.th/home_th.php นับว่าเป็นวิธีใหม่ในการซื้อขายทองคำที่แปลกออกไปจากความคุ้นเคยของคนไทยค่ะ แต่ได้มาตรฐานและง่ายกว่ามากทีเดียว เหมือนการ trade หุ้นค่ะ
สวัสดีค่ะอาจารย์ พิสูจน์

อาจารย์บอกว่า....

  • ดูตามข้อมูล.....รัฐบาลใหม่.....ก็ค่อนข้างโชคดี..ในหลายเรื่อง
  • ผมว่า.......จะดี.....จะชั่ว.....อย่างไร.....ต่างชาติยอมรับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง...มากกว่า
  • ช่วยกันประคับประคอง.....ให้นำพาเศรษฐกิจ....ของชาติ....ก้าวไปดีกว่า
  • รัฐบาลขี้เหร่.....อาจมีอะไรงามๆซ่อนอยู่.....ก็ได้

นี่ไงคะ ที่เครดิตสวิสชูว่า ไทยน่าลงทุนในปีนี้ 2551

เขาบอกว่า ตลาด ฮ่องกง สิงคโปร์ ไทย น่าลงทุน เพราะได้ผลประโยชน์จากการไหลเข้าของเงินทุน หลังเฟดลดอัตราดอกเบี้ย

และไทยยังน่าดึงดูดจากผลกำไรของบริษัทจดทะเบียนซึ่งน่าเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง และเหตุ ที่ตลาดอ่อนตัวที่ผ่านมา เป็นเพราะเรื่องการเมืองวุ่นๆ

ตลาดไทยน่าจะมีการซื้อขายที่ พี/อี เรโช ที่ 13 เท่า จากตอนนี้ อยู่ที่ต่ำกว่า 11 ดูในรูปด้านบนค่ะ

ตอนนี้ ราคาของหุ้นที่เน้นเศรษฐกิจในประเทศ เช่น อสังหาฯ  ก่อสร้าง ค้าปลีก สื่อสาร  น่าจะดีขึ้นด้วยนะคะ

ส่วนประเทศ ที่ต้องระวัง ในสายตา ของนักวิเคราะห์ คือ ญี่ปุ่น เกาหลี และไต้หวัน แต่เขาจะมาทบทวนมุมมองเชิงลบ ที่มี ต่อตลาดเหล่านี้อีกครั้ง ตอนกลางปี 2551 นี้ค่ะ

สวัสดีค่ะคุณMo

ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ และชมว่า หลานน่ารัก หลานอายุ 1 ขวบ 7 เดือน กำลังหัดพูด ได้เยอะแล้ว และซนมากค่ะ

 ตอนนี้ พวกนักลงทุนทั้งหลาย    กำลังสอดส่ายสายตาดูว่า จะมีที่ไหนในโลกให้เขาไปลงทุนหากำไรได้อีก เพราะ ตลาดใหญ่ๆที่พัฒนาแล้ว ทั้งสหรัฐและยุโรปกำลังไม่ค่อยจะดี กันทั้งนั้น

เขามองไป ที่ Frontier Market ค่ะ คือประเทศที่กำลังเริ่มพัฒนา เช่นโมร็อโค บอสวานา ตูนิเซีย เปรู โคลัมเบีย ไนเจียเรีย เวียดนาม และคาซัคสถานเป็นต้น ส่วนใหญ่อยู่ในอัฟริกา 

 แต่เป็นที่น่าสังเกต ในภาพนี้ ไม่มีประเทศไทยอยู่ตรงไหนเลย ไม่ทราบ ทำตกไปเสียที่ไหนค่ะ

  • สวัสดีครับ พี่Sasinanda
  • โดยส่วนตัว ผมเชื่อว่า ที่เขาวิเคราะห์มา จริง และยังจริงต่อไปอีกพักหนึ่ง
  • แต่ตามธรรมชาติของจิตวิทยานักลงทุนแล้ว ต่อให้จริง คนที่กระโดดเข้ามาเก็งกำไรตรงนี้ มีโอกาสเจ็บตัวสูง
  • ที่ผมเชื่อเช่นนั้นเพราะผมมองว่า ใครที่เพิ่งกระโดดเข้ามาตรงเวทีดังกล่าว แสดงว่า ไม่ไวจริง ไม่ไวพอต่อการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหญ่ ที่เกิดมาหลายปีแล้ว ผลคือ คนกลุ่มนี้ ก็จะไม่ไวพอต่อการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มใหญ่เป็นขาลงด้วย
  • ซึ่งกว่าจะตัดสินใจว่า ควรขาย อาจเป็นเวลาที่จริง ๆ แล้ว มืออาชีพเขาเริ่มมองว่า ควรซื้อแล้วก็ได้
  • ก็จะทำให้นักเก็งกำไรหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาช่วงนี้ จะเห็นกำไรเป็นตัวเลขในกระดาษสักพักใหญ่ แล้วไปจบด้วยการขาดทุนจริงในที่สุด เป็นส่วนใหญ่
  • บางคนอาจเป็นข้อยกเว้น แต่คนจำนวนไม่น้อย คงเจ็บตัว เพราะหักใจขาดทุนไม่ได้
  • ในเกมส์เก็งกำไร คนที่หักใจยอมรับการขาดทุนไม่ได้ จะเป็นคนที่ขาดทุนจริง
  • แต่เห็นด้วยมากครับ ว่าใครมีทองอยู่แล้ว ช่วงนี้ ถือไว้ ก็น่าจะอุ่นใจกว่า
  • แต่ถ้ายัง ก็คงต้องสำรวจตัวเองว่า หักใจตัดขาดทุนเป็นไหม เสียก่อนจะตัดสินใจอะไรต่อไปครับ

สวัสดีค่ะ  small man

ค่ะ เห็นด้วยที่  ตรุษจีนปีนี้ไม่ค่อยคึกคักเท่าไรค่ะ

อ่านที่ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ กรรมการผู้จัดการ ฝายวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ ภัทร ให้สัมภาษณ์ เมื่อวันที่ 30 ม.ค.2551  ก็สอดคล้องกับที่ เครดิตสวิส  วิเคราะห์ไว้ว่า สหรัฐฯคงไม่สามารถหยุดภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ภายในเร็ววัน และคงจะยืดยื้ออีก ประมาณ 1 ปี 

และตามที่ได้กล่าวในงาน มุมมองนักวิเคราะห์ต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยเมื่อก่อนตรุษจีน เมื่อเร็วๆนี้ว่า  เศรฐกิจไทยยังไม่ถึงขั้นภาวะเงินฝืด

แต่ยอมรับว่า ประชาชนมีความกังวลต่อปัจจัยเสี่ยงมากขึ้น ทำให้เกิดการชะลอการบริโภคและการลงทุน ทำให้สภาพคล่องหายไป

นอกจากนี้  ราคาทองคำแพงขึ้นนั้นก็ทำให้ความต้องการใช้ทองคำในการผลิตและส่งออกเครื่องประดับทองมีโอกาสจะลดลงตามความต้องการของผู้บริโภคในตลาดที่ชะลอตัวลงด้วย

นี่คงจะเป็นสาเหตุ ที่  ตรุษจีนไม่ค่อยคึกคักปีนี้ค่ะ

  นอกจากนี้นะคะ  โดยจากการสำรวจพฤติกรรมการแจกอั่งเปาของคนกรุงเทพฯโดย ศูนย์วิจัยกสิกรไทย  ในระหว่างวันที่ 18-25 มกราคม 2551 ที่ผ่านมา 

พบว่าคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่ตั้งงบประมาณค่อนข้างใกล้เคียงจากปีก่อน  และมักจะแจกกลุ่มลูกหลานเป็นหลัก    อีกทั้งสัดส่วนของกลุ่มที่ซื้อทองน้ำหนักเกิน 1 บาทก็ลดน้อยลงโดยเปรียบเทียบจากปีที่แล้ว  

 

 

เสาร์ - อาทิตย์นี้  ผมมีภารกิจต้องไปปฏิบัตินอกสถานที่  ช่วงนี้เลยหัวหมุนกับลุกน้องหลายตลบ ...  ตอนนี้ยังเลยนั่งเตรียมงานและเคลียร์งานกันอย่างขำ ๆ ...

.......

เรื่องของทอง    หรือ   ยุคนี้ เป็นช่วงขาขึ้นของราคาทอง    
ตอนนี้มีติดตัวไม่กี่ชิ้น, กี่เส้น ...  เป็นสิบปีแล้วครับที่ยังไม่เคยซื้อให้คนข้าง ๆ ...(ใจ) ....และโชคดีที่เธอก็ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับเรื่องเหล่านี้

บางทีคิดขำ ๆ ว่าอยากขายเหมือนกัน  เพราะทองกำลังราคาดี  ... แต่ก็ใจหาย เพราะขายไปแล้ว คงไม่มีพลังพอที่จะซื้อใหม่ ....

....

 

สวัสดีค่ะคุณ Conductor

ดีใจมากๆและขอบคุณ      ที่เข้ามาช่วยเติมเต็มในบันทึกนี้ค่ะ เพราะเรื่องเทคโนโลยี ในลักษณะนี้ จะเป็นอะไร ที่ไม่ถนัด และวันที่ผู้บรรยายๆเรื่องนี้ ก็บังเอิญว่า กำลังทักทายกับคนที่รู้จักกัน    เลยไม่ได้ตั้งใจฟังผู้บรรยายอย่างละเอียดนัก

พูดถึงการปรับตัวย่ำแย่ของภาคเทคโนโลยี

ภาคเทคโนโลยี่  เป็นภาคที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดในทศวรรษ  ซึ่งปรับเปลี่ยนกันแบบว่ายากที่จะคาดการณ์ได้จริงๆ

ตัวพีซีเอง ก็จะมีความแตกต่างน้อยลงเรื่อยๆ จนอาจกลายเป็น สินค้าที่ใกล้เคียงกับ Commodity แบบสินค้าการเกษตรพื้นฐานไปเสียแล้ว

คอมพิวเตอร์จึงพบกับปัญหาด้านความล้าสมัยและการใช้งาน ซึ่งจะไม่รองรับกับการก้าวไปอีกขั้นของการพัฒนาเทคโนโลยีด้านการเก็บข้อมูล

ทำให้อาจต้องมีการลงทุนใหม่เพิ่มเติมขนานใหญ่ ขณะที่การลงทุนครั้งเก่าก็ยัง ได้ทุนคืนไม่หมด หรือยังไม่คุ้มทุน

และ มีการพยากรณ์ว่า  วงจรนี้จะกลับมาอีกครั้งทุกๆ 2 ปีด้วยค่ะ

พร้อมทั้ง พยากรณ์ด้วยว่า  ภายในปี 2010 เช่นกัน เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต จะยิ่งถูกนำมาผนวกกับเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายอย่างแนบแน่น ตามแนวโน้ม “Technology Convergence” ซึ่งก่อให้เกิดเทคโนโลยี “Follow-me Internet” อีกอย่างหนึ่ง

ประจวบกับ ในสหรัฐฯ  เกิดวิกฤติซับไพรม์ กำลังซื้อหดหาย เศรษฐกิจชะลอตัว  กลุ่มบริษัทไฮเทคนี้ มี Market Cap เกือบ 3 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ จึงได้รับผลกระทบไปด้วย

แถมยังส่ง ผลกระทบในด้านนี้  มายัง ญี่ปุ่น เกาหลี ไต้หวัน อีกทอดหนึ่ง   ด้วยค่ะ

นำรูปที่ไปสัมนาวันนั้นมาฝากด้วยค่ะ

สวัสดีค่ะคุณ  wwibul

ดีใจที่คุณเข้ามาcommentนะคะ เพราะว่าเรื่องในลักษณะนี้ คุณวิบุล สนใจ และเก่งมากๆด้วยค่ะ จากที่อ่านในบันทึกคุณวิบุลเอง ที่มีเรื่องลักษณะนี้ อยู่หลายเรื่องด้วยกัน คุณวิบุล ให้ความเห็นว่า....
  • สิ่งที่นักวิเคราะห์บอก ตามปรกติแล้ว ก็เชื่อได้ว่าจริง ถึงจริงมาก

  • แต่จะมีคุณค่าหรือไม่ คือ อยู่ตรงที่ว่า  ตอนที่เราได้ยิน เราเป็นคนที่เท่าไหร่ คนแรก ๆ หรือคนท้าย ๆ

  • ถ้าเป็นคนแรก จะได้ประโยชน์ เพราะอยู่ต้นห่วงโซ่อาหาร คือ ถ้ารู้ จะดีมาก ๆ

  • ถ้าเป็นคนท้าย ๆ เราจะอยู่ตรงปลายห่วงโซ่อาหาร คือ ไม่รู้ จะดีกว่า จะได้ไม่เกิดความกลัวหรือกล้าเกินเหตุ จนตัดสินใจพลาด

    พี่เห็นด้วย ที่คุณวิบุล บอกว่า เราสามารถเชื่อนักวิเคราะห์ได้  จริง ถึง จริงมาก

    แต่ใครก็ตาม    ที่อยากจะอยู่ในวงการการเงินหรือหุ้น   ต้องเป็นคนที่ เกาะติดสถานการณ์อยู่ตลอดเวลา   ใช้ความระมัดระวังในการลงทุน  เพราะแค่ฟังนักวิเคราะห์หรือพวกMarketing  ก็ยังไม่พอ   ต้องคอยเกาะข่าว ความเคลื่อนไหว รอบๆ ทั้งในและต่างประเทศ ด้วยตนเองอีกด้วย     มีปัจจัยเสี่ยงรุมเร้าอยู่มากมาย   ทั้งความเสี่ยงในประเทศและปัจจัยนอกประเทศ

  • ข่าวสารข้อมูลนั้น ดูเหมือนว่า จะเป็นอาวุธสำคัญในการเอาชนะ หรือสร้างความสำเร็จในชีวิต และการแข่งขันในปัจจุบันในหลายๆ ด้านโดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุน

  • ดังนั้น ผู้รู้ หรือกูรูในด้านการลงทุน จึงมักจะบอกให้เราเปิดหูเปิดตารับข่าวสารให้มากที่สุด ซึ่งรวมถึงภาวะการเงิน ภาวะเศรษฐกิจ ปัญหาการเมืองทั้งในและต่างประเทศ

    ตัวพี่เอง เคยเล่นหุ้น มาก่อน  ทั้งปลื้มมากเวลา ได้กำไร  จ๋อยสนิท เวลาขาดทุน    และใจไม่ดี เวลาติดหุ้น  แต่พยายามทำใจเย็นเข้าไว้   และหาวิธีที่จะปล่อยออกไป หรือ cut  loss

      แต่ไม่ง่าย   เพราะ ต้องมีเทคนิคพอควร เป็นอะไรที่ซับซ้อน จึงไม่แนะนำใคร ให้ ไปเสี่ยงที่ตลาดหุ้นเลย   ถ้าไม่พร้อม    เพราะ เป็นอะไร ที่เรา Controlไม่ได้ 

    ตอนนี้ จึงซื้อไว้ เพื่อลงทุนระยะยาว และกินเงินปันผลเท่านั้น เฉพาะหุ้นดีจริงๆ ไม่ใช่หุ้นเก็งกำไร

    ยิ่ง  ถ้าเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับ  นักลงทุนต่างชาติแล้ว ยิ่ง ไม่มีทางทันเขา   เพราะเขาสามารถใช้กลยุทธ์การลงทุนโยกเงินเพื่อทำกำไรระหว่าง  ตลาดในประเทศ  และนอกประเทศได้อย่างรวดเร็วมาก

    ตอนนี้  นักลงทุน สบายใจขึ้นกว่าแต่ก่อน เพราะ  สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ รวมถึงตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นสถาบันหลักในการกำกับดูแลตลาดเงินและตลาดทุน

     มีการร่วมมือกันหาทางให้มีระบบการเปิดเผยข้อมูลที่โปร่งใส และรวดเร็วทันกาล ที่จะทำให้นักลงทุนไทย    สามารถมองเห็นความชื่อมโยงกัน     เพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน แทนที่จะเป็นเพียงนักลงทุนที่เล่นตามน้ำเท่านั้น นะคะ

  • ขอบคุณมากๆค่ะ น้อง  Little Jazz \(^o^)/

    วิธีใหม่ในการซื้อขายทองคำที่แปลกออกไปจากความคุ้นเคยของคนไทยค่ะ แต่ได้มาตรฐานและง่ายกว่ามากทีเดียว เหมือนการ trade หุ้นค่ะ

    ก็เป็นความรู้ที่ดีนะคะ แม้ว่า เราจะไม่ได้ tradeจริงๆ รู้ไว้บ้างก็ดีค่ะ

    แต่ไม่สนับสนุนใคร ให้ไปtradeอะไรแบบนี้เลย

    เราอาจได้รับฟังข้อมูลว่าทองเป็นการลงทุนที่ดี

    แต่ถ้าเราลงทุนตามเขา เราอาจจะขาดทุน เช่นเดียวกับการลงทุนในกองทุน FIF ที่ลงทุนในหุ้นต่างประเทศ เช่นเดียวกับหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ไทย และเช่นเดียวกับเรื่องอื่น ๆอีกมากมาย

    คือ สรุปว่า ถ้าเราไม่รู้จริง ในเรื่องที่เกี่ยวกับตลาดเงิน ตลาดทุน พี่คิดว่า อย่าไปยุ่งกับมันดีกว่า แค่อย่าขายทองที่มีอยู่ เก็บไว้ครึ้มเล่นๆ ว่าทองของเรา มีมูลค่าสูงขึ้นไปอีกแล้วนะ จะปลอดภัยกว่า จริงไหมคะ

    แต่เวลาที่มีนักวิเคราะห์ดีๆมาพูด พี่ชอบฟังค่ะ จริงๆ มันก็มักจะเป็นจริงอย่างที่เขาพูด เพราะเขาไม่ได้พูดลอยๆ โดยไม่มีหลักฐาน วิเคราะห์ ตามหลักการมาแล้วหลายๆทาง และเผยแพร่ไป ทั่วโลกด้วย

    ที่เขาวิเคราะห์มาก็คือ ตอนนี้ มีความผันผวน ในตลาดเงิน ตลาดทุน ในโลกมาก เนื่องจากปัญหาในตลาดซับไพร์มของสหรัฐ ทำให้นักลงทุน ต้องการลดการลงทุน ในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หันไปลงทุนในสินทรัพย์ ที่มีความเสี่ยง น้อยกว่า รวมทั้ง ทองคำด้วย

     ขณะนี้ ตลาดหุ้น และตลาด ทองคำ ในสหรัฐ มีการปรับตัว ในทิศทางตรงกันข้าม

    และตอนนี้ อัตราเงินเฟ้อทั่วโลกจะสูงขึ้นนะคะ จากราคาน้ำมันและอาหารที่สูงขึ้น ส่งผลให้มีการลงทุน ในทองคำมากขึ้นเป็น Inflationary hedged และผู้ลงทุนระยะยาว ยังสามารถรักษา สถานภาพที่ดี ของตัวเองได้ต่อไปอีกค่ะ

     

    คุณwwibul คะ

    คุณบอกว่า.....นักเก็งกำไรหน้าใหม่ที่เพิ่งเข้ามาช่วงนี้ จะเห็นกำไรเป็นตัวเลขในกระดาษสักพักใหญ่ แล้วไปจบด้วยการขาดทุนจริงในที่สุด เป็นส่วนใหญ่

    การลงทุนในตลาดเงินตลาดทุนนี่ ต้องศึกษาเยอะมาก ไม่งั้นขาดทุนเอาง่ายๆนะคะ

    ดุแต่เรื่องทอง  เมื่อประมาณปลายม.ค 2550 พุ่งขึ้น ไปมากว่า ร้อยละ10 แต่ต่อมา ก็ตกลงมาอย่างรวดเร็วมากกว่าร้อยละ 2.2 ในเวลาไล่เลี่ยกัน คือประมาณ 6 ก.พ.2551 จากการฟื้นตัว ของค่าเงินดอลล่าร์และแรงขาย ทำกำไร  ใครไม่ทันตรงนี้ ขาดทุนเอาง่ายอยู่แล้วนะคะ

    แต่อย่างไรก็ดี ราคาทอง เพิ่มขึ้น ร้อยละ 8.3 จากมื่อสิ้นปี 2550ค่ะ ซึ่งสูงกว่า การปรับตัว ของดัชนีราคาหุ้นต่างๆด้วย

     เห็นไหมคะ ตลาดหลักทรัพย์ไทย ปรับตัวลดไป ร้อยละ7.4 ที่ไฮไลท์สีฟ้าไว้น่ะค่ะ

    เรื่องทองนี้ มีรายละเอียดมาก ดูได้ที่ World Gold Council--WGCค่ะ

    คำถามตอนนี้ อยู่ที่ ทองยังจะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นไปได้ต่อเนื่องหรือไม่ หรือไปไม่เท่าไร แล้ว ปรับตัวลดลงมาค่ะ

    พี่เองก็ยังไม่ทราบ แต่ก็น่า ไปศึกษาเพิ่มเติม นะคะ

    • เห็นข้อมูลแล้วเริ่มกลัวครับพี่
    • ว่าจะซื้อเก็บไว้แต่งงาน
    • ไม่กล้าซื้อเลย
    • แพงมากๆๆ
    • ฮ่าๆๆ
    • แต่หลานน่ารักมากเลยครับ
    • ชอบๆๆ

    ขอต่อที่คุณวิบุลนะคะ

    ไปศึกษามาแล้วค่ะ เผื่อจะเป็นประโยชน์กับผู้ที่สนใจ หรือมิฉะนั้นก็เก็บไว้อ่านเองได้  เพราะเป็นปัญหาคาใจตัวเองค่ะ

    ไปค้นจากหลายแห่งด้วยกัน เช่น Kasikorn Research

    มีปัจจัยต่างๆหลายปัจจัย ที่ส่งผลกระทบ ต่อการปรับตัวของราคาทองคำ ทั้งทางด้านอุปสงค์และอุปทาน เขาให้แยกพิจารณาดังนี้ค่ะ

    ด้านอุปสงค์ อ้างถึงการรายงานของWorld Gold Council

    ความต้องการทองคำในตลาดโลก จำแนกเป็น 2 ประเภท...

    1.นำมาทำเป็นเครื่องประดับ และนำมาเป็นวัตถุดิบในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง ร้อยละ 80-90 ของความต้องการทองคำ ทั้งหมดในตลาดโลก

    2.นำมาเพื่อเป็นการลงทุน เป็นร้อยละ 10-20 วัดในเชิงปริมาณ(ตัน)

    ในช่วง 7 ปี ที่ผ่านมา ความต้องการในแบบที่ 1 ลดลงอย่างต่อเนื่อง จากร้อยละ 90.4จากปี 2001 มาเป็น 81.6 ในช่วง 9 เดือนแรก ของปี 2007

    แต่ความต้องการ ในการลงทุน เพิ่มจากร้อยละ 9.6 มาเป็น 18.4

    ซึ่งแนวโน้มนี้ ทำให้การลงทุนในเรื่องทองคำนี้ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ผ่านทางกองทุน ETFs----- Exchange Traded  Funds

    ซึ่งการลงทุนแบบนี้ มีการอ้างอิง หลักทรัพย์เป็นทองคำ มากกว่าการลงทุนในทองคำ ในรูปแบบดั้งเดิม---Net Retail Investment เช่น ในรุปแบบทองแท่ง หรือเหรียญทองคำ

    การลงทุนแบบ ดั้งเดิม ลดลงอย่างรวดเร็วค่ะ

    จากร้อยละ 99 ในปี 2545 ลงเหลือ ร้อยละ 42..5 ในช่วงไตรมาส3/2550

    ขณะเดียวกัน ความต้องการ ในรูปแบบของกองทุน ETFs  ทะยานจาก ร้อยละ 1 สู่ ร้อยละ 57.5 ในช่วงเวลาเดียวกัน

    นับปริมาณทองคำ ที่กองทุนนี้ ถือครองทั้งหมด  มีถึง 850-880 ตัน มากกว่าปริมาณทองคำที่ธนาคารกลาง ของแต่ละประเทศถือครองอยู่

    แต่น้อยกว่าปริมาณทองคำ ในทุนสำรองของประเทศ สหรัฐ /เยอรมันนี/ฝรั่งเศส/อิตาลี่และสวิสเวอรืแลนด์เท่านั้น

    รูปแบบ ของการลงทุนผ่านทาง ETFs ได้รับความนิยมมาก เหมือนการtradeหุ้นในตลาด ทำให้มีสภาพคล่องสูง กว่าการไปลงทุนในทองคำโดยตรง ต้นทุนถูกกว่าไปซื้อทองแท่งเอง และยังปลอดภัยด้วย

    และการเคลื่อนไหวของETFsนี้ จะเคลื่อนไหว ไปตามราคา Spotของราคาตลาดโลก

    ดังนั้นเราจึงสรุป ตรงนี้ได้เลยว่า ที่ทองจะมีแนวโน้มขึ้นไปอีก ก็ด้วยพวกกองทุน เพื่อการลงทุนนี้เอง ซึ่งมาจากการอ่อนค่าของเงินดอลล่าร์เป็นหลัก ร่วมด้วย ความผันผวนของตลาดเงิน ตลาดทุนของโลก และเงินเฟ้อของโลกที่จะเพิ่มขึ้นในปีนี้ค่ะ

    แต่การบริโภคทองคำในรูปของเครื่องประดับ จะลดลง เพราะคนไม่ค่อยมีเงินไปซื้อของฟุ่มเฟือยแล้ว ยกเว้น อินเดีย ชอบทองคำในรูปเครื่องประดับมาก บริโภคเสีย ร้อยละ 30 ของโลก รองลงมาก็ จีนร้อยละ 10 และตะวันออกกลาง ร้อยละ 13 ซึ่ง ประเทศเหล่านี้ ยังคงรักษษฐานไว้ได้ แม้ อาจจะชลอไปนิดหน่อย

    ส่วนความตัองการในด้านอุตสาหกรรม ก็ผันผวนน้อย จึงช่วยให้การบริโภคทองคำในภาพรวมของด้านนี้ทั้งหมด จะทรงๆตัวอยู่ในปี 2551ค่ะ

    แต่อย่างไรก็ดี  จะมีการปรับปรับตัวขึ้นลงอย่างผันผวน ตามแรงซื้อ แรงขาย เพื่อทำกำไร ของนักลงทุน และตามทิศทางของค่าเงินดอลล่าร์ค่ะ

    เขามีคาดการณ์ ราคาทองโดยเฉลี่ยในปี 2551 810-1001 ดอลล่าร์/ออนซ์ค่ะ

    สำหรับประเทศไทย Kasikorn Research บอกในรายงานล่าสุดเดือนก.พ.2551 นี้ว่า.....

    ราคาทองคำในประเทศเรา จะถูกกำหนดโดย

    1.ราคาทองคำ ตลาดโลก

     2.อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาท/ดอลล่าร์สหรัฐฯ

     เพราะเรามีการนำเข้าทองคำจากต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ดังนั้น  ราคา ทอง จะมีการปรับตัวตามราคาทองในตลาดโลก ตลอดเวลาค่ะ

    ที่ผ่านมา ราคาทองในตลาดโลกเพิ่มขึ้น ร้อยละ 31.9 แต่ในประเทศเราเพิ่มขึ้นร้อยละ 22.6 ซึ่งเป็นอัตราที่น้อยกว่า   เนื่องจาก ผลของเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับเงินดอลล่าร์ นั่นเองค่ะ

    จริงๆในรายงาน มีมากกว่านี้มาก แต่แค่นี้คงจะพอ มากนักคนเขียนจะงงเองค่ะ

    สวัสดีค่ะ คุณพนัส แผ่นดิน

    เรื่องทองนี่ มีมากก็ไม่ดี ไม่ปลอดภัยค่ะ

    ไม่ต้องไปคิดจะซื้อเพิ่มเติมหรอกค่ะ บันทึกนี้แค่ นำข่าวสารมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้นค่ะ

    ประเทศเราต้องยึดเศรษฐกิจพอเพียงไว้ค่ะ จะได้ไม่มีผลกระทบมากนัก ต่อการที่ยักษ์เซค่ะ

    สหรัฐชะลอตัวแรง หลังจากติดลบต่อเนื่อง 2 ไตรมาสติดต่อกัน

    แต่คิดว่า.....เศรษฐกิจอเมริกายังจะยืดหยุ่นได้นะคะ เขาเจอวิกฤติมาหลายครั้งมากเหมือนกันในอดีต  คราวนี้เกิดวิกฤติครั้งใหญ่ แต่เราไม่รู้ว่าวิกฤติที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้นใหญ่โตเพียงใด ตอนแรก เขาก็ไม่ค่อยเปิดเผยอะไรนักค่ะ  แต่นักวิเคราะห์ก็คาดกันว่า......วิกฤติสินเชื่อน่าจะมีมากขึ้นอีก 6 เดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นผลกระทบจากรายได้ของคนต่ำลง จนไม่สามารถชำระคืนหนี้ได้

    แต่คิดในด้านดีว่า....เขาคงสามารถเอาตัวรอดได้  ใครๆก็รอดูในไตรมาสแรกหลังเดือนเม.ย.นี้เสียก่อนค่ะ

     ส่วนผลกระทบที่มีต่อไทยคงปานกลางไม่แรง เพราะเราส่งออกหลากหลายกระจายสู่ตลาดอื่นด้วย

    สำหรับเราๆ ระวังการใช้จ่ายหน่อยก็ดีนะคะ  อย่าประมาทค่ะ

    เศรษฐกิจ จะสมบูรณ์ มีหมอและพยาบาล ช่วยกันดูแลแบบองค์รวมครับ

    สวัสดีค่ะคุณ ขจิต ฝอยทอง

    เมื่อเขียนบันทึกนี้  พี่นึกถึง ตอนที่ธนาคารในประเทศเรา มีการปล่อยกู้ อย่างไม่ระมัดระวังเหมือนกันในอดีต

    มันผิดทางจริยธรรม(moral hazard) นะคะ

    ต่อไปภาคการเงินคงทำธุรกิจรอบคอบมากขึ้น ตอนนี้ข่าวสับสน บ้างก็ว่า สหรัฐช่วยเหลือเพิ่มทุนให้ภาคการเงิน  บ้างก็ว่า ไม่ช่วย แต่จะช่วยแบบอื่น

    มีแต่ข่าวว่า ตอนนี้ สถาบันการเงินในสหรัฐ เพิ่มทุนไปแล้ว 120,000ล้านดอลล่าร์ ซึ่งมาจากเงินกองทุนของ สิงคปร์ จีน ซาอุดิอาระเบีย โอมาน ญี่ปุ่น แต่ว่า ยังไม่พอ เพราะราคาสินทรัพย์ จะปรับลดลงไปอีกมาก เพราะได้เพิ่มไปเป็นฟองสบู่ ค่อนข้างมาก ก่อนหน้านี้

     

    สวัสดีครับพี่Sasinanda

             ผมมีความรู้เรื่องการเล่นหุ้น เก็งกำไร ค้าเงิน ๆ ทอง ๆ น้อยมาก ได้อ่านแล้วจึงพอมองเห็นมุมมองในภาพรวม ขอบคุณครับสำหรับสาระที่มีคุณค่า รู้ไว้ใช่ว่าใส่บ่าแบกหาม อย่างไรก็ตามการตัดสินใจโดยอาศัยข้อมูลเพื่อเก็งกำไรไม่ใช่เรื่องง่ายเลยด้วยอนาคตคู่กับความไม่แน่นอน เหมือนในกาลามสูตร ที่ว่า ฟังตามกันมาอย่าเพิ่งเชื่อ ทำกันทุกเมื่อเชื่อไม่ได้ ตื่นข่าวป่าวมาอย่าเชื่อไป อย่าเชื่อแม้แต่ในตำรา ..............จงเชื่อผลเชื่อเหตุสังเกตเทอญ...

    สวัสดีค่ะอาจารย์ JJ

    ดีใจที่อาจารย์มาเยี่ยมนะคะ

    อ่านดูแล้ว เรื่องทองนี่ อินเดียนิยมมากนะคะ คงเป็นลูกค้ารายใหญ่ของร้านทองเลย นิยมมากกว่าคนจีนอีก ตอนนี้การค้าการขายเราก็ดูหงอยๆยังไงก็ไม่ทราบ สินค้าขึ้นราคา ไม่ขึ้น ปริมาณก็ลดลง คนคงประหยัดกันพอควรเลยค่ะ ตั้งรับความผันผวนของเศรษฐกิจปีนี้

    ใครมีทองก็เก็บๆไว้ดีกว่า เพราะในด้านอุปทาน  ......ปริมาณทองคำในตลาดโลกมีแนวโน้มทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเพียงเล็กน้อยจากในปีที่ผ่านมาเท่านั้น

     อันเป็นผลมาจากปริมาณทองคำที่ผลิตได้จากเหมืองต่างๆซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างจำกัดทำให้กำลังการผลิตทองคำที่มีในปัจจุบัน ไม่สามารถเพิ่มขึ้นได้อย่างรวดเร็วเพียงพอที่จะรองรับความต้องการซื้อทองได้

     ขณะที่การขายทองคำของธนาคารกลางต่างๆ อยู่ภายใต้ข้อตกลง The 2nd Central Bank Gold Agreements: CBGA (2) ซึ่งกำหนดให้ธนาคารเหล่านั้นขายทองคำออกมาได้สูงสุดไม่เกินปีละ 500 ตัน และยอดขายรวมตลอด 5 ปี ไม่เกิน 2,500 ตัน

    อย่างไรก็ตาม การอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯส่งผลให้ความต้องการถือครองทองคำเพื่อทดแทนการลงทุนในสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ฯเพิ่มขึ้น ซึ่งอาจทำให้ธนาคารกลางเหล่านั้นขายทองคำออกมาน้อยกว่าตามที่ระบุในข้อตกลง

    นอกจากนั้นมีความเป็นไปได้ที่ประเทศต่างๆซึ่งอยู่นอกกลุ่ม CBGA อาจให้ความสนใจเข้าซื้อทองคำเพื่อกระจายการลงทุนออกจากสินทรัพย์สกุลดอลลาร์ฯมากขึ้น ค่ะ

    สวัสดีค่ะMr. ดิศกุล เกษมสวัสดิ์

    ดีใจที่เข้ามาเยี่ยมค่ะ

    ช่วงนี้ กรุงเทพฯ จะเริ่มมีงานต่อแล้วค่ะ  วันวาเลนไทน์ไงคะ แต่คงไม่คึกคักมากนัก

    การใช้จ่ายสำหรับวันนี้อาจน้อยลงค่ะ

      วันวาเลนไทน์ในปีนี้ตรงกับวันพฤหัส ซึ่งยังคงเป็นวันทำงาน ทำให้เป็นข้อจำกัดของหลากกิจกรรม เช่น การรับประทานอาหารนอกบ้าน การชมภาพยนตร์ เป็นต้น

    รวมทั้งเพิ่งจะผ่านช่วงเทศกาลตรุษจีน ซึ่งมีการจับจ่ายใช้สอยซื้อเครื่องเซ่นไหว้ การแจกอั่งเปา และบรรดาห้างร้านทั้งหลายเพิ่งจะเปิดกิจการหลังจากที่เดินทางท่องเที่ยวในช่วงวันเที่ยวของเทศกาลตรุษจีนในช่วงวันที่ 7-10 กุมภาพันธ์ 2551

    เรื่องเงินๆทองๆ เป็นเรื่องสำคัญ รู้ไว้ ก็จะทำให้เราไม่ประมาทนะคะ เพราะปีนี้ความไม่แน่นอนในด้านเศรษฐกิจ  น่าจะมีสูงค่ะ

    มีอยู่อีกเรื่องหนึ่งซึ่งผมไม่แน่ใจ แต่คิดว่าน่าจะต้องพูดครับ คือเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน

    เข้าใจว่าราคาทอง อิงกับราคาในตลาดโลกซึ่งคิดเป็น USD/oz ทีนี้หากมีการยกเลิกการควบคุมการสำรอง 30% สำหรับการลงทุนระยะสั้นจากต่างประเทศ แล้วทำให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับ USD ก็อาจจะทำให้ราคาทอง ตกลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน เนื่องจากใช้เงินบาทน้อยลงในการซื้อทองจากตลาดโลกในปริมาณเดียวกัน

    ขอแซวอาจารย์ขจิต ใน #54 หน่อยนะครับ ว่าก่อนจะซื้อทองเก็บไว้เพื่อแต่งงาน ต้องจัดลำดับความสำคัญใหม่อีกทีครับ  หึ หึ

    • ขอให้มั่งมีศรีสุข เงินทองไหลมาเทมา ตลอดปีหนูทองนะคะ

    คุณ Conductor เป็นห่วงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับ USD ก็อาจจะทำให้ราคาทอง ตกลงอย่างรวดเร็วเช่นกัน

    ค่ะเรื่องนี้ ก็จริงค่ะ

    เรื่องมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 ของธปท พี่คิดว่า ตอนนี้ รัฐบาลใหม่คงต้องกำลังดูอยู่อย่างรอบคอบค่ะ

    ....ไม่ว่า จะทำอะไร เรื่องเศรษฐกิจตอนนี้ มันยากไปหมดนะคะ

    Kasikorn Research ให้ความเห็นว่า....

    การยกเลิกมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 สำหรับเงินทุนนำเข้าระยะสั้น ที่ธปท.ประกาศใช้เมื่อปลายปี 2549 อาจมีข้อดีตรงที่ทำให้อัตราแลกเปลี่ยนหรือค่าเงินบาทเคลื่อนไหวเป็นไปตามกลไกตลาดโดยเสรีภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float) มากขึ้น

    รวมทั้งยังจะเอื้อต่อการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนของประเทศในระยะยาว เพราะประเทศไทยยังมีขนาดของตลาดการเงินที่ค่อนข้างเล็ก จึงมีความจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเม็ดเงินลงทุนหรือสภาพคล่องจากต่างประเทศในการพัฒนาตลาดอยู่ต่อไป

     ฉะนั้น มาตรการกันสำรองร้อยละ 30 จึงควรจะเป็นมาตรการที่ทางการนำมาใช้เพียงชั่วคราวเท่านั้น

    ส่วนที่พี่ติดตามข่าวมาด้วยตัวเองคือ....

    มาตรการสำรอง 30% ซึ่งทำให้นักลงทุนต่างประเทศ ไม่นำเงินทุนเข้ามาลงทุนในตราสารหนี้ของไทย (เพราะจะต้องถูกบังคับให้ตั้งสำรอง 20% หรือทำประกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งเป็นต้นทุนที่ทำให้ไม่น่าลงทุนในประเทศไทย)เลย

    ทีนี้ พอรัฐบาลใหม่เข้ามา ก็เลยอยากยกเลิกมาตรการนี้ค่ะ

    (อ่านจากรายงาน ของ การวิจัย จาก บริษัทเงินทุนต่างประเทศแห่งหนึ่งว่า.....ประเทศเราเติบโตน้อยไป ช่วง 2-3 ปีนี้   ทั้งๆ ที่ปีนี้--2550 เศรษฐกิจโลกยังขยายตัวได้ดีอยู่มากถึงเกือบ 5% และได้ขยายตัวสูงเช่นนี้มาติดต่อกัน 3 ปีแล้ว สรุปได้ว่าเศรษฐกิจไทยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ขยายตัวต่ำกว่าเกณฑ์ ทั้งๆ ที่เศรษฐกิจโลกขยายตัวได้ดีเป็นพิเศษ)

    ส่วนที่คุณConductor เป็นห่วงว่า .......ราคาทองจะตกลงอย่างรวดเร็ว ถ้าเงินบาทแข็งค่า ก็คงใช่ค่ะ แต่คิดว่า รัฐบาล คงไม่ให้แข็งค่ามาก เพราะผู้ส่งออกก็แย่แน่ๆค่ะ ซึ่งรัฐบาลคงลำบากใจมากค่ะ เพราะเท่าที่ติดตามข่าว สหรัฐ คงใช้นโยบาย ดอกเบี้ยต่ำ เพื่อบีบให้เงินเฟ้อพุ่งทั่วโลก ประเทศเราก็คงต้องใช้วิธีดอกเบี้ยสูง เพื่อไม่ให้เงินเฟ้อมากนัก แย่จริงๆ หันไปทางไหน ก็ลำบากหน่อยค่ะ

    พี่ถึงคิดว่า ไม่ควรมีใคร ไปเก็งกำไรกับทองหรอกค่ะ แค่เก็บไว้ และดีใจ ว่า ทองเรา ราคาสูงขึ้นก็พอค่ะ

    แต่เรื่องที่ผู้ส่งออกจะไม่ปลื้ม ถ้าเงินบาทแข็งค่า คิดว่า จะให้ตรงจุดจริงๆ คือ ปัญหา ความสามารถในการแข่งขันของประเทศเรายังน้อยค่ะ คุณคงเข้าใจอยู่แล้วค่ะ 

    พี่คิดว่า พวกเราต้องติดตามข่าวนะคะ เพราะแนวโน้มปีนี้ เศรษฐกิจผันผวนค่ะ

     

    สวัสดีครับ 

    ทองคำุ่  เป็นโลหะที่ถูกนำมาใช้งานศิลปะได้งดงามมาก ผมเคยค้นคว้าเรื่องทองคำกรุงทรอยตามตำนาน มีสมบัติมหาศาล ของเราก็มีเยอะ กรุอยุธยาเท่าที่เห็นก็ยังตื่นตาตื่นใจเหลือเกิน 

    มีข้อมูลเยอะแยะ ขอเก็บเอาไว้เผื่อได้ใช้ครับ ;) 

     

     

      

    สวัสดีค่ะคุณธ.วั ช ชั ย

    ขอบคุณที่มาเยี่ยม หายไปนาน มีธุระยุ่งนะคะ

    ทองคำเป็นของมีค่ามากค่ะ ประเทศต่างๆใช้ทองคำ เป็นทุนสำรองของประเทศด้วย

    ในประวัติศาสตร์ มีการตื่นทองครั้งใหญ่ในภาคตะวันตกของสหรัฐอเมริกาในประมาณ ค.ศ.1850 ในภาคตะวันออก และตะวันตกของออสเตรเลีย ในประมาณ ค.ศ.1900 และตื่นทองกันแบบประปรายทั่วโลกกันอีกหลายครั้ง

    การตื่นทองครั้งใหญ่ในประเทศที่ลี้ลับ นั่นก็คือ มองโกเลีย

    การมีทองคำมากในแผ่นดินของประเทศใด ไม่ได้หมายความว่าจะทำให้คนในประเทศนั้นร่ำรวยอย่างยั่งยืนขึ้นมาได้ ตอนนี้มองโกเลียก็ไม่ได้รวย

     พอขุดได้ ก็เอาไปขายคนต่างชาติที่มีอำนาจซื้อและก็มีเงินเข้าประเทศ

    และคงจะเหมือนกับบุคคลถูกลอตเตอรี่รางวัลใหญ่ และใช้เงินไปหมดแล้วนั่นเอง

    ที่อยุธยา ก็ได้ข่าวว่ามีสมบัติเก่าแก่ที่เป็นทองอยู่มาก แต่ไม่เคยเห็นจริงๆค่ะ

    วัตถุโบราณในกรุวัดราชนี้ โดยมากเป็นเครื่องทองที่สุกปลั่ง มีแสงแวววับ เครื่องราชูปโภคที่สำคัญๆ
    ความวามหรือความดีมีค่านั้นไม่ต้องพูดถึง ......

    มีอาทิพระแสงดาบทองคำด้ามแก้วผลึก เครื่องราชากกุธภัณฑ์ทองคำจำลอง
    พระพุทธรูปทองคำ พระพิมพ์ดุน พระปรางทองคำ พระเจดีย์ทองคำ ช้างทรงเครื่อง เครื่องอุปโภค เช่น ลูกมหาก ,ตลับ,
    แผ่นทองคำ,รูปสัตว์หินพานต์ กระทั่งเครื่องประดับ เช่น สร้อย ลูกประคำ, กำไล,แหวน,กระพรวน, เครื่องประดับศรีษะ
    ทั้งหญิงชาย นอกจากนั้นก็มีเครื่องปั้นดินเผาที่มีปฏิมากรรมสมัยต่างๆ มากมายที่สุดที่จะพรรณา

    ได้ความรู้มากมาย จากการอ่านบล็อกคุณพี่

     ข้อเขียนแต่ละครั้งยังมีเสน่ห์ แรง สม่ำเสมอ

    ดึงดูดผู้อ่านด้วยบทความที่มีความรู้ ที่นำไปใช้ได้ หลักฐานก็แน่นหนา น่าเชื่อถือมาก

    ขอบคุณนะคะ

    สวัสดีครับคุณพี่ศศินันท์

    • ขอบพระคุณคุณพี่ที่แวะไปเยี่ยมที่บล้อก
    • เรื่องทอง  สำหรับครูวุฒิ  ก็เป็นได้แค่ฝันในจินตนาการ  ทั้งเนื้อทั้งตัว หาทองไม่เจอเลยแม้แต่สลึง  แหะ ๆ .....
    • แต่ก็ชอบศึกษาแบบรู้ไว้ดีกว่าไม่รู้  จะได้ให้คำตอบและเล่าให้เด็กๆฟังได้ถูกต้อง  และเผื่อบางทีอาจมีลูกศิษย์(ที่อาจพอมีเงินเก็บ)มาขอคำปรึกษาเรื่องนี้บ้างอ่ะครับ (วรรคหลังเนี่ย..พูดเล่นนะครับ...)
    • ขอบคุณสำหรับข้อมูลและเรื่องราวดีๆ ที่คุณพี่นำมาฝากครับ
    • สวัสดีครับ
    สวัสดีค่ะและขอบคุณๆ. Lin Hui  มากๆค่ะ ที่อวยพร ขอให้พรนี้กลับไปที่คุณให้มากขึ้นเป็นหลายๆเท่าเลยค่ะ
    ขออนุญาตต่อเรื่องมาตรการกันสำรอง ที่คุณ Conductor กล่าวถึงอีกหน่อยค่ะ
    พอดี ไปอ่านพบ รายงานการวิเคราะห์ของศูนย์วิจัย กสิกรไทย ที่มีประโยชน์ น่านำมาเผยแพร่ คือ....การจะยกเลิกมาตรการกันสำรอง30%ได้  คงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยยึดหลัก 3 ประการคือ..........
    1. จังหวะเวลาที่เหมาะสม 
    2.การส่งสัญญาณที่ชัดเจนในด้านนโยบาย
     3.รวมทั้งมีมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพ
     เพราะหากเงื่อนไขทั้ง 3 ประการนี้ไม่ลงตัวแล้ว การยกเลิกมาตรการกันสำรองก็อาจนำมาสู่ความผันผวนของค่าเงินบาทและส่งผลต่อเศรษฐกิจได้ โดยเฉพาะภาคการส่งออก

    เพราะสัดส่วนการส่งออกของไทยขณะนี้ยังมีระดับสูงเกินกว่าร้อยละ 60 ของจีดีพี ซึ่งในท้ายที่สุดแล้ว ศูนย์วิจัยกสิกรไทย มองว่า เมื่อเงื่อนไขทั้ง 3 ประการครบถ้วนแล้ว ธปท.น่าที่จะสามารถพิจารณายกเลิกมาตรการนี้ได้

     เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดการเงินของไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเม็ดเงินลงทุนหรือสภาพคล่องจากต่างประเทศ เพื่อการพัฒนาตลาดเงินและตลาดทุนอย่างยั่งยืนในอนาคต และธปท.น่าที่จะเป็นผู้ที่บทบาทในการพิจารณายกเลิกมาตรการดังกล่าว เนื่องจากเป็นผู้ที่เข้าใจกลไกและติดตามการเปลี่ยนแปลงในตลาดการเงินอย่างใกล้ชิดมาโดยตลอด
     และตามข่าวล่าสุด 9 ก.พ.2551 ......รัฐบาลก็มอบหมายให้ธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นผู้ดูแล ในเรื่องมาตรการนี้ต่อไป

    9 ก.พ. 2551.... ฌอง-คล้อด ทริเชต์ ประธานธนาคารกลางยุโรป (ECB) กล่าวในการแถลงข่าวที่กรุงโตเกียวหลังเสร็จสิ้นการประชุมจี 7 ว่า ปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจของยุโรปยังแข็งแรงดี


             นอกจากนี้ เขายังกล่าวด้วยว่า "เรายังได้ตรวจสอบความเสี่ยงในตลาดการเงินอีกครั้ง   พร้อมจะดำเนินมาตรการที่เหมาะสมต่อไป เพื่อรักษาเสถียรภาพของตลาดโลก และตลาดการเงินในโลกไว้    เนื่องจากมีความไม่แน่นอนสูงกว่าระดับปกติ    โดยเป็นความเสี่ยงในช่วงขาลง
             ทั้งนี้ ทริเชต์ไม่ยอมเปิดเผยว่า ECB จะลดหรือขึ้นอัตราดอกเบี้ย 
    อ่านพบบันทึกนี้ น่าสนใจค่ะ เอ๊ะ แล้ว จะถึง 25บาท/ดอลลาร์ไม๊เนี่ย???
    บันทึกนี้      อ่านแล้วได้ความรู้ดีครับ แต่ครอบครัวผมส่งออก คงกระทบมั่งแน่ๆ ความเห็นคือ   อยากให้รอจังหวะเหมาะสมเท่านั้นครับ

    สวัสดีค่ะ พญ รวิวรรณ หาญสุทธิเวชกุล

    ขอบคุณที่มาเยี่ยมค่ะ และให้ยาหอมว่า...

    ได้ความรู้มากมาย จากการอ่านบล็อกคุณพี่

    พอดีไปฟังนักวิเคราะห์ระดับโลกวิเคราะห์ในเรื่องเศรษฐกิจการเงินของโลกและกี่ยวกับไทยด้วย   เลยนำมาเล่าให้กันฟังค่ะ

    ปีนี้ เราต้องคอยฟังข่าวคราวเรื่องเศรษฐกิจกันไว้บ้างนะคะ ไม่ควรประมาทค่ะ

    ในเรื่องของการแทรกแซงค่าเงินบาท ที่เราคอยติดตามข่าวกันอยู่บ้าง ตลอดปีที่แล้ว 2550

    แบงก์ชาติสามารถแทรกแซงค่าเงินค่อนข้างได้ผลนะคะ

     ทำให้ค่าเงินบาทไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงมากเกินไป  (ไม่แข็งขึ้นมาก)  ในปี 2550-ปัจจุบัน แต่ต่อไปไม่แน่

     เพราะที่ผ่านมา  ทำให้ประเทศมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเพิ่มขึ้น ซึ่งตามข่าว ในปี 2550    คาดว่าจะเพิ่มขึ้นกว่า 35 พันล้านดอลลาร์

    จนประเทศเรามีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศเกินแสนล้านดอลลาร์เป็นครั้งแรก

    ซึ่งการบริหารจัดการให้ดีก็ยาก  เพราะต้องตระหนักถึงแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์ที่มีค่าลดลงอยู่ตลอดเวลา

    ซึ่งจะทำให้มูลค่าสินทรัพย์ของเงินทุนสำรองระหว่างประเทศลดลง

     จึงเป็นความท้าทายที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของประเทศไทยเรานะคะ

    สวัสดีค่ะครูวุฒิ

     ครูวุฒิคะ 2 ปีที่ผ่านมา ที่เกิดความไม่แน่นอนทางการเมืองและความเชื่อมั่นที่ลดลง

     ทำให้ไม่ค่อยมีนักลงทุนมาลงทุนที่เรานะคะ เนื่องจากเศรษฐกิจและตลาดการเงินของไทยยังจำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยเม็ดเงินลงทุนหรือสภาพคล่องจากต่างประเทศอยู่

    ถ้าเขาจะลงทุนในประเทศไทยนั้น  มักจะเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์

    หรือหน่วยงานที่ผูกขาด หรือได้รับสัมปทานในการให้บริการสาธารณูปโภคกับประชาชนทั่วไป เช่น ทางด่วน น้ำประปา โรงงานผลิตไฟฟ้า

    นักลงทุนเขามักสนใจว่า 

    1. การลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานของไทย จะเป็นอย่างไรในอนาคต ประเทศจีนที่มีการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีอัตราการลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อการนี้ถึงปีละ 7% ในขณะที่ไทยลงทุนเพิ่มขึ้นแค่ปีละ 1%

    2. นักลงทุน เขาสนใจ คุณภาพการศึกษาของไทยจะมีการพัฒนาขึ้นไปอย่างไรด้วย เพราะคนถือปัจจัยสำคัญที่สุดในการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน

    3.นโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลชุดใหม่เป็นอย่างไร ประเด็นที่สนใจเป็นพิเศษ คือ กฎหมายธุรกิจ คนต่างด้าว กฎหมายค้าปลีก-ส่ง และมาตรการสำรอง 30% 

     4.รัฐบาลจะอยู่ได้นานแค่ไหน  

    5. รัฐบาลมีนโยบายและแผนการอย่างไรต่อการเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของเศรษฐกิจไทยในระยะยาวได้อย่างไร  

     6.จะมีปัจจัยเสี่ยงอะไรอีกหรือไม่อย่างไร ครูวุฒิ ดูสิคะว่า ปัญหาเรื่องการศึกษา และ ความสามารถในการแข่งขันของเรา เป็นเรื่องใหญ่จริงๆนะคะ

    ตามที่ คุณ Conductor เป็นห่วงเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยน เรื่องค่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นมาก

    พี่ก็เป็นห่วงค่ะ เลยไปตรวจสอบดู ตามข่าวเศรษฐกิจหลายๆแห่งขณะนี้  และมารายงานให้ทราบค่ะ

     ค่าเงินบาทไทยอยู่ในระดับกลาง ๆ โดยนับตั้งแต่ต้นปี2551 จนถึงปัจจุบัน ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นกว่า 2%

    ซึ่งมีเพียง 2-3 ประเทศที่การเคลื่อนไหวค่าเงินใกล้เคียงกับของไทย เช่น มาเลเซีย และสิงคโปร์

    แต่เงินเยนของญี่ปุ่นแข็งค่ากว่าไทยค่ะ

    ขอบพระคุณที่แวะไปเยือนในบันทึก เพื่อนปริญญาตรี ค่ะ ...

    บันทึกนี้แวะเข้ามาอ่านเอาความรู้หลายรอบแล้วแต่ไม่ได้ลงความเห็นไว้ค่ะ

    สำหรับเรื่องทอง...

    • จำได้ว่าสมัยก่อนคุณยายจะเก็บเงินเป็นทองคือมีเงินก็นำเงินไปซื้อทองไว้ ..พอมีความจำเป็นต้องใช้เงินก็เอาทองไปขาย..แต่สมัยก่อนทองไม่แพงมากเท่านี้นะคะ บาทละ 400 บาทเท่านั้นเอง...
    • พี่คนหนึ่งที่รู้จักเวลาเดินทางจะเอาทองไปด้วย...บอกว่าเวลาเงินหมดก็จะได้เอาทองออกมาขาย....
    • เคยมีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่าควรมีทองติดตัวเพราะว่าทองเป็นของที่กันภูติผีได้.....

    เรื่องของทองที่เรียนรู้มาเลยเป็นเรื่องของความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและจิตใจด้วยน่ะค่ะ...ขอบคุณค่ะ

    สวัสดีค่ะคุณ  หลิน
    คุณสงสัยว่า......เอ๊ะ แล้ว จะถึง 25บาท/ดอลลาร์ไม๊เนี่ย???
    อันนี้ ก็ไม่ทราบค่ะแต่ภาวะค่าเงินบาท มีแนวโน้มแข็งค่าอย่างต่อเนื่องค่ะ
      
    ในเรื่องของการค้า     โลกแข่งขันยุคใหม่ ไม่อาจจะใช้ความได้เปรียบด้านราคาอีก   เพราะเป็นความได้เปรียบที่ไม่ยั่งยืน ฝากชะตากรรมไว้กับค่าเงิน ซึ่งเป็นความเสี่ยงสำคัญที่ก่อวิกฤติให้เห็นแล้ว เมื่อปี 2540   
    และตอนนี้ เราจะเห็น   นโยบายสหรัฐ ประกาศออกมาอย่างชัดเจน ที่จะเดินหน้านโยบายดอลลาร์อ่อน  ผู้ส่งออกของไทย ต้องมีพิจารณาว่า  จะมีการปรับปรุงคุณภาพ และการบริหารต้นทุนต่ำจะทำอย่างไรจะดีกว่า    ซึ่งแน่นอนต้องอาศัยนวัตกรรมใหม่ๆ เข้ามาช่วยด้วยค่ะ
    สวัสดีค่ะคุณ  โกมลคุณบอกว่า.....ครอบครัวผมส่งออก คงกระทบมั่งแน่ๆ ความเห็นคือ   อยากให้รอจังหวะเหมาะสมเท่านั้นครับ

    คุณคงหมายถึง มาตรการกันสำรอง30%

     

    ในฐานะที่เป็นผู้ส่งออกมาก่อน ดิฉันคิดว่า....

    ผู้ส่งออกของไทยเร่งปรับตัว และยอมรับกติกาแข่งขันด้านคุณภาพ เพราะนับจากหลังวิกฤติเศรษฐกิจที่ผ่านมา 10  ปี ผู้ส่งออกของไทย  ยังไม่ค่อยปรับตัวในเชิงคุณภาพเพื่อรับการแข่งขัน

      แม้ว่าหลายรัฐบาลที่ผ่านมาถึงปัจจุบัน จะมีโครงการเพิ่มขีดความสามารถแข่งขันมาตลอดก็ตาม แต่ในภาวะที่ยังได้เปรียบค่าเงิน ทำให้แรงบีบถึงผู้ส่งออกของไทยนั้น ยังไม่รุนแรงพอที่จะกลับมาเน้นคุณภาพ แต่ถึงวันนี้ ต้องกับมาคิดแล้วว่า ผู้ประกอบการและรัฐบาลจะร่วมมืออย่างไรในภาวะที่ดอลลาร์อ่อนอย่างต่อเนื่อง
    สวัสดีค่ะคุณ  จันทรรัตน์

    ดีใจมากที่เข้ามาอ่านค่ะ

    บันทึกนี้ ได้ปรารภไว้กับกัลยาณมิตร บางท่านว่า เนื้อหา คงน่าเบื่อมาก คงไม่มีคนเข้ามาอ่านเท่าใด แต่ก็อยากเขียนค่ะ เพราะ คิดว่า เป็นข้อมูล ข่าวสาร ที่พวกเราควรทราบไว้ เพราะในที่สุด ก็จะมากระทบเราค่ะ เพราะเรื่องเงินๆทองๆ เป็นเรื่องใกล้ตัวเหลือเกินค่ะ

    คุณจันทรัตน์เล่าว่า.....

    สำหรับเรื่องทอง...
    • จำได้ว่าสมัยก่อนคุณยายจะเก็บเงินเป็นทองคือมีเงินก็นำเงินไปซื้อทองไว้ ..พอมีความจำเป็นต้องใช้เงินก็เอาทองไปขาย..แต่สมัยก่อนทองไม่แพงมากเท่านี้นะคะ บาทละ 400 บาทเท่านั้นเอง...
    • พี่คนหนึ่งที่รู้จักเวลาเดินทางจะเอาทองไปด้วย...บอกว่าเวลาเงินหมดก็จะได้เอาทองออกมาขาย....
    •   เคยมีญาติผู้ใหญ่ท่านหนึ่งบอกว่าควรมีทองติดตัวเพราะว่าทองเป็นของที่กันภูติผีได้.....เรื่องของทองที่เรียนรู้มาเลยเป็นเรื่องของความมั่นคงทั้งทางเศรษฐกิจและจิตใจด้วย

    ค่ะ เรื่อง ทอง เป็นเรื่องที่คนทุกคน คุ้นเคยและทราบดีว่า เป็นสิ่งที่มีค่ามาก เป็น Precious Metal ของโลกค่ะ

    คุณสมบัติของทองคำ มีเด่นๆมากมาย นอกเหนือจาก การเป็นโลหะที่มีค่ายิ่ง สมควรเก็บไว้ให้ดีแล้วค่ะ

    1.มีความแวววาวอยู่เสมอ

    2.ทองคำไม่ทำปฏิกริยากับออกซิเจนดังนั้นเมื่อสัมผัสถูกอากาศสีของทองจะไม่หมองและไม่เกิดสนิม


    3.มีความอ่อนตัว ทองคำเป็นโลหะที่มีความอ่อนตัวมากที่สุด ด้วยทองเพียงประมาณ 2 บาท เราสามารถยืดออกเป็นเส้นลวดได้ยาวถึง 8 กิโลเมตร หรืออาจตีเป็นแผ่นบางได้ถึง 100 ตารางฟุต


    เ4.ป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ทองคำเป็นโลหะชนิดหนึ่งที่สามารถนำไฟฟ้าได้ดี


    5.สะท้อนความร้อนได้ดี ทองคำสามารถสะท้อนความร้อนได้ดี ได้มีการนำทองคำไปฉาบไว้ที่หน้ากากหมวกของนักบินอวกาศเพื่อป้องกันรังสีอินฟราเรด

    หน่วยน้ำหนักของทองคำ

    กรัม : ใช้กันเป็นส่วนใหญ่ ถือว่าเป็นหน่วยสากล
    ทรอยเอานซ์ : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษ เช่น อังกฤษ สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย
    โทลา : ใช้กันทางประเทศแถบตะวันออกกลาง อินเดีย ปากีสถาน
    ตำลึง : ใช้ในประเทศที่ใช้ภาษาจีน เช่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง
    บาท : ใช้ในประเทศไทย
    ชิ : ใช้ในประเทศเวียตนาม

    การแปลงน้ำหนักทองคำ

    ทองคำความบริสุทธิ์ 96.5% (มาตรฐานในประเทศไทย)

    • ทองรูปพรรณ น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.16 กรัม
    • ทองคำแท่ง น้ำหนัก 1 บาท เท่ากับ 15.244 กรัม
    ทองคำความบริสุทธิ์ 99.99%
    • ทองคำ 1 กิโลกรัม เท่ากับ 32.1508 ออนซ์
    • ทองคำ 1 ออนซ์ เท่ากับ 31.104 กรัม

    ประเทศ ที่consume ทองมากที่สุดในแง่ของเครื่องประดับคืออินเดีย รองลงไป คือจีนค่ะ

    พูดถึงจีน

        ในปี 2551 เศรษฐกิจจีนจะชะลอตัวลงโดยคาดว่าจะขยายตัวร้อยละ 10.5 จากอัตราร้อยละ 11.3 ในปี 2550 เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวลง แต่คาดว่าการส่งออกของไทยกลับดี   เราจะส่งออกไปจีนมากขึ้น 

     และน่าจะขยายตัวในอัตราสูงไม่ต่ำกว่าร้อยละ 20 เนื่องจากค่าเงินหยวนที่แข็งค่าขึ้นกอปรกับการขยายตัวของการบริโภคในจีนจะทำให้การนำเข้าสินค้าโดยรวมของจีนเพิ่มขึ้นในอัตราใกล้เคียงกับปี 2550

    ปัญหา Sub-prime ในสหรัฐฯ ซึ่งกระทบต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและการบริโภคในสหรัฐฯ สหภาพยุโรปและภูมิภาคอื่น ๆ ของโลก

    ปัญหาดังกล่าวย่อมส่งผลกระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากผู้ส่งออกสำคัญของโลกซึ่งรวมถึงจีนด้วย  เรียกว่า กระทบกันหมดทั่วโลกค่ะ  

    สวัสดีครับคุณพี่ นานๆมีทีครับ  ช่วงนี้กำลังปั่นต้นฉบับน่าดำคร่ำเคร่ง เลยไม่ค่อยมีเวลามาทักทายสักเท่าไหร่  แต่ยังคิดถึงเสมอครับ

     แบบว่าสมองอันน้อยนิดของผมนั้น ไม่มีความรู้ด้านนี้เลยสักนิด  ถึงว่าเลยเป็นคนไม่ค่อยมีเงินถุงเงินถังกับเขา  พอได้อ่านงานหน้านี้ของคุณพี่ ยอมรับเลยครับว่ามึนตึบ!

     แล้วจะมาหาบ่อยๆ  แต่ถ้างานผมเป็นรูปเล่มแล้ว  อย่าลืมติชมผลงานด้วยนะครับ จะส่งไปให้ถึงที่เลย  แต่หนามากๆๆๆๆๆ  บอกไว้ก่อน  อิงประวัติศาสตร์นะครับ  หาข้อมูลและเขียนร่วมสองปีแล้ว  ค่ดว่าปลายปีนี้ถ้าฟ้าไม่ถล่มดินไม่ทลายเสียก่อน คาดว่าวางแผงแน่  แล้วจะมาบอกข่าวเรื่อยๆ ครับ

     

    น้องโอม

    ข่าวสารด้านเดียวเป็นสิ่งที่หน้ากลัวจริงๆครับ โดยเฉพาะข่าวสารที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจ เพราะเป็นเรื่องของการได้เสียผลประโยชน์ทั้งระดับบุคคลจนไปถึงระดับประเทศและภูมิภาค  อนาคตถ้าค่าเงินดอลล่าร์ตกลงมามากๆจะมีผลดีผลเสียอย่างไรต่อประเทศไทยบ้างครับ แล้วเราควรเตรียมความพร้อมอย่างไรบ้างครับ นอกจากการควบคุมต้นทุนการผลิต

    สวัสดีค่ะ วาทิน ศานติ์ สันติ

    พี่จะเป็นลูกค้า คนแรกเลยค่ะ ต้องบอกก่อนนะคะ จะไปซื้อทันทีค่ะ ไม่ต้องมาให้พี่ฟรีหรอก อยากอุดหนุนค่ะ

    คุณทราบใช่ไหมคะว่า  การลงทุนภาคเอกชนของไทยที่ชะลอตัวลงอย่างมากในปี2550 ไม่ค่อยมีใครกล้าทำอะไร เพราะ ขาดความมั่นใจ

    การนำเข้า   สินค้าทุนและชิ้นส่วนอุตสาหกรรมบางประเภทลดลง

    ส่วนสินค้าที่มียอดนำเข้าเพิ่มขึ้นสูง .....

    ได้แก่สินค้าอุปโภคและบริโภค อาทิ เครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (เพิ่มร้อยละ 94.5) ปุ๋ยและยาฆ่าแมลง (เพิ่มร้อยละ 88.1) ของใช้เบ็ดเตล็ด (เพิ่มร้อยละ 41.8) ผักและผลไม้ (ร้อยละ 31.7) และสินค้าประเภทวัตถุดิบอุตสาหกรรม อาทิ ผลิตภัณฑ์โลหะ (เพิ่มร้อยละ 49.4) สินแร่โลหะ (ร้อยละ 36.3) และเคมีภัณฑ์ (ร้อยละ 30.3) เป็นต้น

    ทาง Kasikorn Research Center  คาดว่า.....ในปี 2551 การนำเข้าของไทยจากจีนจะเพิ่มขึ้นสูงกว่าในปี 2550 เนื่องจากภาวะการลงทุนและการบริโภคในไทยที่คาดว่าจะปรับตัวดีขึ้นทำให้ยอดนำเข้าสินค้าทุน (อาทิ เครื่องจักรกล เครื่องจักรไฟฟ้า) ชิ้นส่วนอุตสาหกรรมและสินค้าเพื่อการอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นมากค่ะ

    อย่างนี้ คุณน่าจะมีกำลังใจดีขึ้นนะคะ

    ขออวยพร ให้หนังสือ ขายดีๆๆๆๆค่ะ

    สวัสดีค่ะ ว่าที่ ร.ต. วุฒิชัย สังข์พงษ์

    เพื่อตอบคำถามของคุณนะคะ ดิฉันขอ ยกข้อมูลการวิจัยจากศูนย์วิจัยกสิกรไทย ดังนี้ค่ะ

    การแข็งค่าของเงินบาทกลับเข้ามาอยู่ในกระแสความสนใจอีกครั้งในช่วงต้นปี 2551

    โดยเงินบาทในประเทศปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบทศวรรษที่ระดับ 33.12 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ณ วันที่ 14 มกราคม 2551)

     ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทนั้นเป็นไปตามทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคท่ามกลางกระแสการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ฯ จากความกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากวิกฤตซับไพร์ม

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่า เงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2551

     โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกระแสการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ  แรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออก ตลอดจนความแข็งแกร่งของสกุลเงินในภูมิภาค ซึ่งหากเงินบาทยังคงรักษาอัตราการแข็งค่าเช่นเดียวกับในช่วงต้นปี 2551 ที่ผ่านมา ก็มีแนวโน้มว่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นทดสอบระดับ 33.00 และ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายในครึ่งแรกของปี 2551

     ในขณะที่ภาพของเงินบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 นั้น มีประเด็นที่ต้องจับตาก็คือ ความเป็นไปได้ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เงินดอลลาร์ฯ สามารถดีดตัวกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี (หลังจากที่เผชิญแรงเทขายในช่วงครึ่งแรกของปี)

    ในความเห็นของดิฉัน ในฐานะที่เคยเป็นผู้ส่งออกมาก่อน คือการแข็งค่า ของเงินบาท ทำให้เราสูญเสีย ความสามารถ ในการแข่งขันค่ะ

    เงินบาท ขยับแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ณ วันที่ 14 มกราคม 2551 เงินบาทปรับตัวแข็งค่าขึ้น 1.7%  จากระดับปิดตลาด เมื่อ สิ้นปี 2550

    ไม่แต่เงินบาทค่ะ เงินเปโซ เงินดอลลาร์สิงคโปร์ เงินริงกิตมาเลเซีย ก็ปรับตัวแข็งค่า มากที่สุด ในรอบ 10 ปีเหมือนกัน

    ผลเสียคือ

     1.ทำให้ความสามารถในการส่งออกลดน้อยลง

    2.จะมีการเก็งกำไรในอัตราแลกเปลี่ยนที่ผันผวนนี้มากขึ้น 

     3.จะมีแรงเทขายดอลล่าร์ของผู้ส่งออก

    4.แนวโน้มของสินค้าโภคภัณฑ์เช่นน้ำมัน จะแพงขึ้น ซึ่งอาจจะเป็นเป้าหมายในการโจมตีของพวกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ต่างๆ และพวกนักลงทุนสถาบันต่างๆ ท่ามกล่างการอ่อนค่าของเงินดอลล่าร์

    แต่ถ้าสหรัฐฟื้นตัวเร็วขึ้น และรัฐบาลใหม่มีมาตรการที่กระตุ้นเศรษฐกิจของเราให้ดีขึ้นได้     มีเงินเข้าไหลเข้ามามากขึ้น และภายในประเทศ ก็มีการฟื้นตัวมากขึ้น จะเป็นปัจจัย ไม่ให้เศรษฐกิจเราซบเซา อย่างที่เรากลัวกันค่ะ

    และเครดิตสวิส เองก็มั่นใจว่า เศรษฐกิจเราน่าจะดีขึ้นในปี 2551 นี้ค่ะ

    กลับมาอีกรอบ  พร้อมกับขอบคุณสำหรับคำอวยพรครับ

    สวัสดีค่ะอีกทีค่ะวาทิน ศานติ์ สันติ

    ถึงแม้คุณจะไม่สนใจเรื่องการลงทุนในรูปแบบต่างๆก็ตาม แต่เรารู้ไว้ ก็ เป็นความรู้ดีเหมือนกันค่ะ

    คือ ตอนนี้ จะมีกองทุนส่วนบุคคลมากมาย ที่ชักชวนคนให้ไปลงทุน นอกประเทศ โดยเขาจัดการให้หมดนะคะ อย่างเช่น เครดิตสวิส ที่ไปฟังมานี้ และของไทยเราก็มีหลายแห่งค่ะ  และบางที ก็มีนำคนดัง มาเป็น Presenterด้วยค่ะ    เช่น......

    บลจ. ทิสโก้ โดยสุทัศน์ เรืองมานะมงคล กรรมการผู้จัดการ และ ธีรนาถ รุจิเมธาภาส รองกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าธุรกิจกองทุนรวมและกองทุนส่วนบุคคล ร่วมให้การต้อนรับ อาภัสรา หงสกุล ในโอกาสที่เป็นแขกรับเชิญมาร่วมงานเสวนาในหัวข้อ '"การลงทุนในต่างประเทศสำหรับกองทุนส่วนบุคคล" ซึ่ง บลจ. ทิสโก้ จัดขึ้นสำหรับลูกค้ากองทุนส่วนบุคคล

     เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับการออกไปลงทุนในต่างประเทศผ่านกองทุนส่วนบุคคล ณ โรงแรมโฟร์ซีซั่น เมื่อเร็วๆ นี้

    ที่เล่าเรื่องทองมาทั้งหมดนี้ แต่ละบุคคล ไปลงทุนเอง คงยากมากๆๆ ต้องซื้อผ่านกองทุนค่ะ

    • ตามมาฟังเรื่องทองค่ะ
    • เพราะชอบดูหนังเกี่ยวกับทอง อิอิ
    • โอ้โห ได้รับความรู้เยอะมากนะคะ
    • มิน่า หลายประเทศ จึงการันตีสถานะการเงินด้วย ทองคำแท่ง

    ขอบพระคุณอย่างสูงครับสำหรับคำตอบและคำแนะนำต่างๆที่เกี่ยวข้องกับด้านเศรษฐกิจและการลงทุนครับ

    กระผมนึกถึงช่วงหนึ่งที่ค่าเงินบาทเคยแข็งตัวแล้วพอหลังจากนั้นประเทศไทยต้องกู้เงินมาทำอะไรสักอย่างทำให้หนี้ต่อหัวของคนไทยสูงขึ้นหรืออะไรสักอย่างกระผมก็ไม่ค่อยถนัดด้านเศรษฐศาสตร์เท่าไหร่แต่ก็สนใจตามข่าวครับ จนทำให้กระผมคิดว่าเป็นแผนของสหรัฐหรือเปล่าที่จะใช้ในการทำให้ประเทศเล็กๆเป็นทาสทางเศรษฐกิจโดยทางอ้อม เพราะค่าเงินที่แตกต่างกันทำให้เราทำงานเท่ากันแต่มีรายได้แตกต่างกันอย่างสูงและด้านอื่นๆที่ประเทศเล็กๆต้องเสียเปรียบ น่าจะใช้ค่าเงินเท่ากันจะได้เป็นการแลกเปลี่ยนทรัพยากรอย่างเสมอภาค เท่ากับเป็นการช่วยเหลือกันอย่างจริงใจ แต่คงเป็นไปได้ยากมากๆใช่หรือเปล่าครับ

    สวัสดีค่ะคุณ naree suwan

    สรุปตอนนี้ หลังจากฟัง นักวิเคราะห์ๆกันมาหลายสถาบันแล้ว ทั้งไทยและเทศคือ....ดูในแง่ดีนะคะ...

       เศรษฐกิจไทยปี 2008 มีแนวโน้มจะโตได้มากกว่าในปีนี้

     นอกจากการที่เราจะมีนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลใหม่แล้ว ภาคเอกชนเองก็จะมีการขยายตัว สูงขึ้น...

     เช่นภาคธุรกิจชะลอการลงทุนเพื่อรอดูท่าทีของรัฐบาลใหม่ ต่างประเทศชะลอการตัดสินใจด้วยเหตุผลเดียวกัน หรือประชาชนที่ยังไม่รีบร้อนที่จะซื้อบ้านหรือรถยนต์ เหล่านี้คือ Pent-up demand ที่จะทะลักเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจเมื่อ Confidence level มีสูงขึ้น 

     เราน่าจะได้เห็น Growth rate ของเศรษฐกิจไทยอยู่ในระดับที่สูงกว่าที่มีการพูดถึง ถ้าไม่มีอะไร ผิดพลาด

    นอกจากนั้นแล้ว เรามีการพึ่งพิงตลาดอเมริกาน้อยลงไปมาก สัดส่วนการส่งออกไปประเทศอเมริกา มีอัตราลดลงทุกปีในระยะ 10 ปีที่ผ่านมาจาก 22% ในปี 1998 เหลือเพียง 13% ของยอดการส่งออกทั้งหมดในปีนี้ 

     ซึ่งถือว่าเป็นข้อดีของเรา เพราะกำลังซื้อในอเมริกาลดลงไปมากจากปัญหา Subprime ที่จะยังไม่จบสิ้นในเร็ววันนี้แน่นอน

    นักวิเคราะห์ทุกสถาบัน เชื่อว่า... Pent-up demand ที่มีอยู่ในระบบเศรษฐกิจของเราจะสามารถ Offset กับแนวโน้มการส่งออกที่จะชะลอตัวลงในปีหน้า

     สำนักวิจัยทิสโก้ คาดว่า GDP Growth ของไทยจะอยู่ที่ 4.8% ในปีหน้า จาก 4.2% ในปีนี้ค่ะ

    ส่วนเรื่องทอง ถ้าใครมีก็ดีค่ะ ราคาดีขึ้น อุ่นใจดีนะคะ 

    อ้างถึง ที่เครดิตสวิส  ให้ข้อสังเกตไว้ว่า.....ประเทศที่น่าระวังคือญี่ปุ่น เกาหลีและไต้หวัน เพราะจะได้รับผลกระทบจาก  ภาคเทคโนโลยี่    ที่ปรับตัวย่ำแย่ที่สุด ในช่วงที่สหรัฐประสบภาวะชลอตัว

    มีข่าวดังต่อไปนี้.......ที่แสดงถึงผลประกอบการ ที่ไม่ดีนักของภาคเทคโนโลยี่

    12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 10:10:00

    ยะฮูปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการจากไมโครซอฟต์ โดยให้เหตุผลว่าเสนอราคาถูกไป

    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ :

    บริษัทยะฮู อิงค์ ผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลออนไลน์อันดับ 2 ของโลก ประกาศอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ปฏิเสธข้อเสนอซื้อกิจการมูลค่า 44,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐหรือราว 1 ล้าน 5 แสนล้านบาทจากไมโครซอฟต์ บริษัทซอฟต์แวร์อันดับ 1 ของโลก หลังคณะกรรมการบริหารประเมินแล้วว่าข้อเสนอซื้อในราคาหุ้นละ 31 ดอลลาร์เป็นราคาที่ต่ำกว่าความเป็นจริง แถลงการณ์ของยะฮูไม่ได้ระบุว่าต้องการราคาเท่าใด แต่มีกระแสข่าวที่เชื่อกันว่าอยากได้ราคาราว 40 ดอลลาร์ต่อหุ้น

    ด้านไมโครซอฟต์แถลงทันทีว่า ข้อเสนอที่ยื่นให้ยะฮูยุติธรรมดีแล้ว แต่ไม่ได้บอกว่าจะมีการเสนอราคาใหม่ที่สูงกว่าเดิมหรือไม่ โดยบอกเพียงว่ายังมีสิทธิที่จะดำเนินการขั้นตอนที่จำเป็นอื่นๆ

    ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่า หากไมโครซอฟต์มีความต้องการยะฮู อย่างมากเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันกับกูเกิ้ล ก็อาจปรับเสนอราคาต่อหุ้นแก่ยะฮูเป็นอย่างน้อย 35 ดอลลาร์หรืออาจสูงถึง 40 ดอลลาร์ก็ได้ หรืออาจเปิดศึกชิงซื้อกิจการผ่านการเสนอซื้อหุ้นยะฮูจากผู้ถือหุ้นโดยตรง นอกจากนี้ข่าวระบุว่า ยะฮูซึ่งประสบปัญหาราคาหุ้นตกกว่า 40% ตลอดสามเดือนก่อนไมโครซอฟต์ติดต่อเสนอซื้อ ยังมีทางเลือกอื่นๆที่จะกอบกู้บริษัท โดยอาจจับมือเป็นพันธมิตรกับกูเกิ้ล ที่ครองตลาดบริการค้นหาข้อมูลออนไลน์ หรืออาจควบกิจการกับเอโอแอล ธุรกิจด้านอินเตอร์เน็ต

    สวัสดีค่ะ ว่าที่ ร.ต. วุฒิชัย สังข์พงษ์

    เรื่องค่าเงินนี้ค่อนข้างซับซ้อนค่ะ ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่าง เราอาจไม่ต้องลงลึกมากก้ได้ค่ะ เพียงแต่ติดตามข่าว ที่อาจมีผลกระทบกับเราด้วยนะคะ 

    ดิฉันนำข้อมูลมาจาก  จากศูนย์วิจัยกสิกรไทย เพื่อศึกษาค่ะ

    การแข็งค่าของเงินบาทกลับเข้ามาอยู่ในกระแสความสนใจอีกครั้งในช่วงต้นปี 2551

    โดยเงินบาทในประเทศปรับตัวขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบทศวรรษที่ระดับ 33.12 บาทต่อดอลลาร์ฯ (ณ วันที่ 14 มกราคม 2551)
     ทั้งนี้ การแข็งค่าของเงินบาทนั้นเป็นไปตามทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาคท่ามกลางกระแสการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ฯ จากความกังวลต่อการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ และแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ เพื่อช่วยบรรเทาผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากวิกฤตซับไพร์ม

    ศูนย์วิจัยกสิกรไทยมีความเห็นว่า เงินบาทยังคงมีแนวโน้มแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งแรกของปี 2551

    โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากกระแสการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ แรงเทขายเงินดอลลาร์ฯ ของผู้ส่งออก ตลอดจนความแข็งแกร่งของสกุลเงินในภูมิภาค

     ซึ่งหากเงินบาทยังคงรักษาอัตราการแข็งค่าเช่นเดียวกับในช่วงต้นปี 2551 ที่ผ่านมา ก็มีแนวโน้มว่าเงินบาทอาจแข็งค่าขึ้นทดสอบระดับ 33.00 และ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ภายในครึ่งแรกของปี 2551

    ในขณะที่ภาพของเงินบาทในช่วงครึ่งหลังของปี 2551 นั้น

     มีประเด็นที่ต้องจับตาก็คือ ความเป็นไปได้ของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ที่อาจทำให้เงินดอลลาร์ฯ สามารถดีดตัวกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ในช่วงครึ่งหลังของปี (หลังจากที่เผชิญแรงเทขายในช่วงครึ่งแรกของปี)

    ซึ่งนั่นก็อาจทำให้แรงกดดันต่อการแข็งค่าของเงินบาทลดน้อยลง แต่ในขณะเดียวกัน ภาพทางการเมืองและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มชัดเจนมากยิ่งขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี อาจช่วยพลิกฟื้นความเชื่อมั่นของภาคเอกชนกลับคืนมา

    และนั่นย่อมเป็นปัจจัยหนุนค่าเงินบาท และท้ายที่สุดประเด็นที่น่าจับตาเป็นพิเศษคือ ท่าทีของรัฐบาลใหม่ที่มีต่อมาตรการกันสำรองร้อยละ 30 เพราะการตัดสินใจในประเด็นดังกล่าวย่อมมีผลต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนระหว่างประเทศและตลาดอัตราแลกเปลี่ยน

    ได้ความรู้มากๆค่ะ และถ้าดิฉันอยากจะซื้อทองแท่งเป็นการออมล่ะคะ น่าซื้อไหม เพราะดอกเบี้ยฝากถูกจัง ต่อไปเงินเฟ้อ 4%ไม่คุ้ม

    สวัสดีค่ะคุณนุช

    ถ้าจะซื้อเพื่อการออม ก็คงจะดีนะคะ แต่ไม่ใช่เพื่อเก็งกำไร

    แต่ทองจะมีขึ้นๆลงๆค่ะ รอดู ตอนราคาลงหน่อยก็ดีค่ะ

    ในปีนี้ พวกนักลงทุน เริ่มที่จะมองไปในกลุ่มประเทศ ที่เรียกว่า Frontier Markets บ้างแล้ว เพราะยังมีช่องว่างที่เงินทุนจะเคลื่อนย้ายไปได้โดยเสรี

    เราจะเห็นเงินทุนหรือปัจจัยทุนเคลื่อนย้ายจากประเทศพัฒนาแล้วมาสู่ประเทศกำลังพัฒนา เพื่อแสวงหาผลตอบแทนต่อปัจจัยทุนที่สูงกว่า และด้วยกลไกนี้เองที่จะช่วยให้ประเทศกำลังพัฒนา มีปัจจัยทุนเพิ่มมากขึ้นและมีสัดส่วนของทุนต่อแรงงานฝีมือเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

    ประเทศดังกล่าวนี้เช่น....เช่น Marocco/ Botswana / Kazakhstan เป็นต้นค่ะ

     

    ได้ความรู้ ทันโลกมากขึ้นค่ะ มีอะไรคืบหน้าไม๊คะ ได้ข่าวว่า ค่าไฟกำลังจะขึ้นอีกแล้ว

    สวัสดีค่ะคุณนิด

    ก็อย่างที่ เราได้ทราบจากข่าว และจากการพยากรณ์เศรษฐกิจจากทุกๆสำนัก ที่พุดตรงกันว่า

    ปีนี้ ต้องระวังให้มากขึ้น ทั้งเรื่องเงิ้นเฟ้อ ของน่าจะแพงขึ้น มีความผันแปร ไม่แน่นอน ในเศรษฐกิจของโลกมากขึ้นค่ะ

    แต่เราควรมองการมองโลกในแง่ดีไว้บ้างค่ะ

     ไม่ใช่มองข้ามปัญหา การมองโลกแง่ดีจะทำให้เราเผชิญโลกด้วยสภาพจิตใจที่พร้อมมากกว่า"

    “Burger crisis” เริ่มชัดเจนขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายนปีที่ผ่านมา 

    เริ่มต้นจากการปล่อยกู้  ให้แก่บรรดานักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์... ซึ่งในประเด็นนี้ดูแล้วไม่ต่างจากตอนที่ฟองสบู่ประเทศไทยแตกเมื่อปี 2540 เท่าใดนัก

    เพียงแต่ปัญหาของสหรัฐอเมริกามีขนาดมหึมาขนาดที่พร้อมจะดึงเศรษฐกิจทั้งโลกให้ชะลอตัวตามลงไป

     ข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวต่างๆ ที่เกิดขึ้นตลอดสัปดาห์สุดท้ายของเดือนมกราคม ชวนให้ขนหัวลุก

    และหลายคนคาดกันว่าโลกทั้งโลกคงต้องผวากับแฮมเบอร์เกอร์เน่าชิ้นนี้กันไปตลอดทั้งปี และดีไม่ดีอาจข้ามไปถึงต้นปีหน้าด้วยซ้ำไปนะคะ

    ขอบพระคุณครับ  กระผมจะคอยจับตาอยู่ไว้ให้ดีครับจะได้แย่งเอาปลาไปกินไม่ได้ (ติดตามทั้งเศรษฐกิจของสหรัฐและแนวทางพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยเพื่อการศึกษานะครับ)  

     ในอนาคตจะมีใครสนใจซื้อg2k บ้างหรือเปล่าน้า (แค่คิดเล่นๆครับ)

    สวัสดีค่ะคุณวุฒิชัยฯ

    ดีจังค่ะ ที่คุณสนใจในเรื่องของเศรษฐกิจอย่างนี้ เราอาจไม่ต้องไปเครียดอะไร แต่ก็ควรติดตามข่าวนะคะ เพราะเป็นเรื่องที่กระทบกับประเทศและกับตัวเราด้วยค่ะ

    แต่ในด้านการพยายามชักชวน ต่างชาติเข้ามาลงทุนที่ประเทศไทย ทราบว่าทางรัฐบาล ก็พยายามดำเนินการกันอย่างเต็มที่นะคะ เช่น ข่าวเรื่องของตลาดหลักทรัพย์ฯ

    ได้มีการกำหนดกลยุทธ์ในการขยายฐานผู้ลงทุนชาวต่างชาติ โดยมุ่งเน้นการขยายฐานผู้ลงทุนต่างประเทศต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา

    โดยในไตรมาสแรกนี้ได้เตรียมไปให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนชาวญี่ปุ่น ทั้งผู้ลงทุนสถาบันและผู้ลงทุนรายบุคคลรวม 3 งาน ในระหว่างเดือนก.พ. - มี.ค. 2551 นี้


              ทั้งนี้ ในระหว่างวันที่ 17-19 มีนาคมนี้ ตลท. จะไปโรดโชว์เพื่อให้ข้อมูลแก่ผู้ลงทุนสถาบันญี่ปุ่น ณ กรุงโตเกียว ตามคำเชิญของ บล.พัฒนสินและ Nomura Securities

    โดยจะมีบริษัทจดทะเบียนซึ่งเป็นตัวแทนกลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจ อาทิ กลุ่มธุรกิจการเงิน คือ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน)

    กลุ่มทรัพยากร คือ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)

    และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง คือ บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เป็นต้น

     เข้าร่วมให้ข้อมูลความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียนไทยแก่ผู้ลงทุนสถาบันชาวญี่ปุ่นด้วยค่ะ

               นายทัตซึยะ โคโนชิตะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ ยูไนเต็ด จำกัด(มหาชน) กล่าวว่า ....

    บริษัทมีความมั่นใจว่า การเดินทางไปให้ข้อมูลกับผู้ลงทุนบุคคลครั้งนี้จะช่วยกระตุ้นให้เกิดความสนใจในกลุ่มผู้ลงทุนที่กำลังมองหาทางเลือกในการลงทุน

    และจะทำให้เห็นว่าตลาดทุนไทยเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจเมื่อเปรียบเทียบกับตลาดหุ้นแห่งอื่นในเอเชียที่คนญี่ปุ่นให้ความสนใจและลงทุนอยู่แล้ว

    ทั้งนี้ จากข้อมูลของ Statistics Bureau ของญี่ปุ่น http://www.stat.go.jp       

    ผู้ลงทุน ชาวญี่ปุ่นต้องการหาแหล่งลงทุนที่มีศักยภาพ เพื่อเป็นทางเลือกนอกจากการออมหรือการลงทุนในประเทศ เนื่องจากคาดว่า....

    ในอีก 5 ปีข้างหน้าจะมีคนญี่ปุ่นเกษียณอายุกว่า 8 ล้านคน ทำให้มีเม็ดเงินหลังเกษียณจำนวนมากที่ต้องการหาแหล่งลงทุนใหม่ เพราะการฝากเงินในธนาคารญี่ปุ่นให้ผลตอบแทนต่ำมาก

    มีข่าวจาก  http://www.theasianbanker.com  ว่า UBS AG   แบงค์ใหญ่ที่สุด ในประเทศสวิสเซอร์แลนด์  มีตัวเลขขาดทุน จากการไปลงทุนใน US.subprime mortgages........

    On Thursday posted a fourth-quarter net loss of  $11.28 billionand a loss for the entire year, besieged as other banks were by investments in U.S. subprime mortgages.          Switzerland's largest bank posted its first full-year net loss since 1997, when it was created out of two major Swiss lenders. It said it expected more problems in 2008. 

                        "Last year was one of the most difficult in our history," said Chief Executive Marcel Rohner. "While most of our businesses continued to be very profitable, the sudden and serious deterioration in the U.S. housing market, in combination with our large exposure in subprime mortgage-related securities and derivatives, has driven us into (a) loss for the year." 

     

     The bank added in a statement: "UBS expects 2008 to be another difficult year." 

    The losses have resulted in spiraling write-downs totaling $18.4 billion so far and have forced UBS to seek 13 billion francs ($11.8 billion) in fresh capital from Singapore's government fund and an unnamed Middle East investor. 

     

    UBS shares, which have slumped 22 percent this year on fears of even greater losses, dropped 0.78 percent to 40.54 francs ($36.72) in Zurich.

    UBS has fired a number executives, including Chief Executive Peter Wuffli, investment banking head Huw Jenkins and financial chief Clive Standish.

    The bank said it still holds $27.59 billion in securities linked to the U.S. subprime residential mortgage market, down from $38.77 billion in September.

    Analysts said they were reassured that UBS appears to be reducing its holdings of toxic securities. 

    Net new money inflows - a closely watched gauge of future revenue - was positive thus far in 2008, Rohner told a conference call.  

     

     

    เฮ้อ น่าเศร้า แย่ยิ่งกว่าต้มยำกุ้งมากเลยนะครับ ผ่านมาอ่าน ได้ความรู้มากครับ

    สวัสดีค่ะคุณ ดอยตุง
    ขอบคุณที่สนใจเข้ามาอ่านนะคะ

    มีข่าวความเสียหาย จากซับไพร์มมาเรื่อยๆค่ะ ล่าสุด.....

    นิวยอร์ก - แบงก์ออฟอเมริกา

    เผยรายงานที่ระบุว่าวิกฤตในตลาดอสังหาฯเกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อซับไพร์มในสหรัฐ ทำให้มูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลกสูญไป 7.7 ล้านล้านดอลลาร์นับจากเดือนตค. วิกฤตการณ์ครั้งนี้ซึ่งลุกลามจากสหรัฐไปยังธนาคารและภาคอื่นๆ ทั่วโลก

    เป็นเรื่องร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งประวัติศาสตร์การเงิน

    ความสูญเสียที่เกิดขึ้นร้ายแรงมากกว่าครั้งใดๆ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาไม่กี่ทศวรรษ รวมถึงเหตุการณ์แบลคมันเดย์ปี 2530 สูญเสีย Market cap 9.8 %

      วิกฤตค่าเงินบราซิลปี 2542  เสีย Market cap  6.1%

    และการล่มสลายของบริษัทลองเทิร์มแคปิตอลแมเนจเมนต์เมื่อปี 2541 เสีย Market capไป 13.2%

    ตอนนี้ ความเสียหาย ขยายวงกว้างมากขึ้น คงใช้เวลาอีกพอสมควร ที่จะฟื้นขึ้นมาอีกค่ะ

    Bank of America วิเคราะห์อีกว่า...

    ผลกระทบของการสินเชื่อปล่อยกู้บ้านของผู้บริโภคที่มีความเสี่ยงสูงนี้ ทำให้Market Cap ของตลาดหุ้นทั่วโลก ลดลง 14.7% ตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา หลังจากเคยที่ทำสถิติสูงสุด เมื่อ ต.ค. ที่ผ่านมานี้

     

    พรบ.ฉบับบสำคัญ ออกมาแล้ว ซึ่งเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการลงทุน ที่เรากำลัง กล่าวถึงกันในบันทึกนี้   จึงขอนำมาบันทึกไว้ในที่นี้ ให้ทราบทั่วกันค่ะ

    "พ.ร.บ.คุ้มครองเงินฝาก" ประกาศแล้ว

    แสนล้านหมื่นล้านได้คืนแค่ "ล้านเดียว"
     พระราชบัญญัติสถาบันคุ้มครองเงินฝาก พ.ศ.2551 ประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้ว เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2551 พ.ร.บ.ฉบับนี้จะใช้บังคับเมื่อพ้น 180 วัน หรือ 6 เดือน นับจากวันที่ 13 ก.พ.
    หลักการและเหตุผล คือ
    การฝากเงินกับสถาบันการเงินเป็นประโยชน์ ในการออมเงินของผู้ฝากเงินในอนาคต และเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของประเทศในปัจจุบัน
    รัฐบาลคุ้มครองเงินฝากในสถาบันการเงินเต็มจำนวน ซึ่งหลักการดังกล่าวเป็นผลให้เกิดภาระการคลังแก่รัฐมากเกินไป อีกทั้งยังไม่มีกลไกดำเนินการที่เหมาะสม
    ดังนั้น เพื่อลดภาระการคลัง สมควรนำระบบการคุ้มครองเงินฝากแบบจำกัดวงเงินมาใช้ พร้อมกำหนดกลไกต่างๆ ในการคุ้มครองเงินฝาก อย่างเป็นระบบ ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบ สถาบันการเงิน อันจะเป็นการสนับสนุนการออมเงินของประเทศและเสริมสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงินภาพรวม โครงสร้างของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก 
    (1) การจัดตั้ง กำหนดให้สถาบันมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย และเป็นหน่วยงานของรัฐที่ไม่เป็นส่วนราชการหรือรัฐวิสาหกิจตามกฎหมายว่าด้วยวิธีการงบประมาณและกฎหมายอื่น
     (2) วัตถุประสงค์และอำนาจหน้าที่
    วัตถุประสงค์ของสถาบันมี 3 ประการ
     คือ คุ้มครองเงินฝากในสถาบันการเงิน เสริมสร้างความมั่นคง และเสถียรภาพของระบบสถาบันการเงิน และดำเนินการกับสถาบันการเงิน ที่ถูกควบคุม และชำระบัญชีสถาบันการเงินที่ถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน
    สถาบันมีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมายกำหนด เช่น บริหารจัดการกองทุน ทุนและทรัพย์สินของสถาบัน มีอำนาจกระทำนิติกรรมใดๆ ทั้งในและนอกราชอาณาจักรออกตั๋วเงินหรือตราสารทางการเงินตลอดจนลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้และมีอำนาจหน้าที่ประการสำคัญ
    คือเรียกเก็บเงินที่สถาบันการเงินนำส่งเข้ากองทุนคุ้มครองเงินฝากและจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินหรือจ่ายเงินให้แก่สถาบันการเงินที่ควบหรือรับโอนกิจการหรือสถาบันการเงินที่รับโอนเงินฝาก ภายใต้เงื่อนไขที่กฎหมายกำหนด
    (3) เงินทุนกำหนดให้รัฐบาลจัดสรรทุนประเดิมให้แก่สถาบันเป็นวงเงิน ไม่เกินหนึ่งพันล้านบาท และกำหนดทุนของสถาบัน
    ได้แก่
     (ก) เงินทุนที่รัฐบาลจัดสรรให้
     (ข) เงินหรือทรัพย์สินที่ตกเป็นของสถาบัน
    (ค) เงินหรือทรัพย์สินอื่นที่มีผู้มอบให้
    (ง) ดอกผลของกองทุนที่คณะกรรมการจัดสรรให้
     (จ) ดอกผลหรือรายได้จากเงินหรือทรัพย์สินของสถาบัน
     (4) การเงินและการบัญชี กำหนดให้สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินเป็นผู้สอบ
    บัญชีของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก สถาบันต้องจัดทำรายงานประจำปีเสนอต่อรัฐมนตรีภายในหนึ่งร้อยห้าสิบวันนับแต่วันสิ้นปีบัญชีด้วย
    (5) คณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก จำนวนกรรมการและวาระการดำรงตำแหน่ง คณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝากมีจำนวนอย่างน้อย 7 คน แต่ไม่เกิน 9 คน
    ซึ่งประกอบด้วย (1) กรรมการโดยตำแหน่ง ได้แก่ ผู้แทนกระทรวงการคลัง ผู้แทนธนาคารแห่งปรเทศไทย
    (2) กรรมการซึ่งรัฐมนตรีแต่งตั้งโดยความเห็นชอบของ คณะรัฐมนตรี ได้แก่ ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ มีวาระการดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี โดยในวาระเริ่มแรกเมื่อครบกำหนดสองปีให้ประธานกรรมการและกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิออกจากตำแหน่งเป็นจำนวนกึ่งหนึ่งโดยวิธีจับสลาก 
    และ (3) ผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝากเป็นกรรมการและเลขานุการ องค์ประชุมของคณะกรรมการสถาบัน และการลงคะแนนเสียงในที่ประชุม
    กำหนดให้กรรมการมาประชุมไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของกรรมการ ที่มีอยู่ทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
    อำนาจหน้าที่ของคณะกรรมการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
     ได้แก่ - อำนาจหน้าที่วางนโยบายและควบคุมดูแลโดยทั่วไป ซึ่งกิจการของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เช่น ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการมอบอำนาจ และการทำการแทนหรือการรักษาการแทนในตำแหน่งผู้อำนวยการ ออกข้อบังคับเกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล การเงิน การบัญชี การงบประมาณ และการพัสดุ ตลอดจนอนุมัติรายงานประจำปีของสถาบัน -
    อำนาจหน้าที่เฉพาะเพื่อดำเนินการตามวัตถุประสงค์ของสถาบันคุ้มครองเงินฝาก เช่น การกำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไข ในการนำส่งเงินเข้ากองทุน การยื่นคำขอรับเงิน การจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงิน กำหนดรายละเอียดของประเภทเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง ตลอดจนการออกข้อบังคับให้สถาบันการเงินใช้เครื่องหมายหรือสัญลักษณ์เพื่อ แสดงว่าเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับการคุ้มครองเงินฝาก
    นอกจากนี้ กำหนดเพิ่มเติมให้คณะกรรมการมีอำนาจแต่งตั้ง คณะอนุกรรมการ หรือที่ปรึกษาคณะกรรมการเพื่อดำเนินการใดๆตามที่คณะกรรมการมอบหมายให้ สำหรับผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
    คณะรัฐมนตรีแต่งตั้งโดย คำแนะนำของรัฐมนตรี ทำหน้าที่บริหารงานของสถาบันและเป็นผู้แทนของสถาบันในกิจการที่เกี่ยวกับบุคคลภายนอก
    โดยผู้อำนวยการมีวาระการ ดำรงตำแหน่งคราวละสี่ปี แต่จะดำรงตำแหน่งติดต่อกันเกิน 2 วาระไม่ได้
     การคุ้มครองเงินฝาก
    แบ่งออกเป็น 3 ส่วน
     คือ กองทุนคุ้มครองเงินฝาก เงินฝากที่ได้รับการคุ้มครองและการจ่ายเงินแก่ผู้ฝากเงิน
     ส่วนที่หนึ่ง กองทุนคุ้มครองเงินฝาก ประกอบด้วย เงินที่สถาบันการเงินนำส่ง ดอกผลของกองทุน และเงินหรือทรัพย์สินที่ได้รับจากการชำระบัญชี
    ทั้งนี้สถาบันการเงินมีหน้าที่ต้อง นำส่งเงินเข้ากองทุนตามอัตราที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา แต่ไม่เกินร้อยละหนึ่งต่อปีของยอดเงินฝากถัวเฉลี่ยของบัญชีเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง
     และเมื่อนำส่งเงินเข้ากองทุนแล้วสถาบันการเงินจะไม่ต้องนำส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินตามกฎหมาย ว่าด้วยธนาคารแห่งประเทศไทยต่อไป
    หากสถาบันการเงินใดไม่นำส่ง หรือนำส่งไม่ครบ จะต้องเสียเงินเพิ่มอีกไม่เกินหนึ่งเท่าของจำนวนเงินดังกล่าว และให้ถือว่าเงินที่ส่งเข้ากองทุนและเงินเพิ่มเป็นหนี้บุริมสิทธิลำดับต่อจากหนี้ภาษีอากรของสถาบันการเงิน
     ส่วนที่สอง เงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง
     ประกอบด้วย (1) เงินฝากทุกประเภทของสถาบันการเงินที่นำมาคำนวณยอดเงินฝากถัวเฉลี่ย และดอกเบี้ยค้างจ่ายที่เกิดจากเงินฝากนั้นจนถึงวันที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงิน และ
    (2) เงินฝากดังกล่าวต้องอยู่ภายใต้เงื่อนไข คือ ต้องเป็นเงินฝากและ ดอกเบี้ยที่เป็นเงินบาท ต้องเป็นเงินฝากในบัญชีเงินฝากภายในประเทศ โดยต้องมิใช่เงินฝากในบัญชีประเภทบัญชีเงินฝากของบุคคลที่มีถิ่นที่อยู่ นอกประเทศตามกฎหมายว่าด้วยการควบคุมการแลกเปลี่ยนเงินและให้ คณะกรรมการประกาศรายละเอียดประเภทเงินฝากที่ได้รับการคุ้มครอง ในราชกิจจานุเบกษา
    ส่วนที่สาม การจ่ายเงินแก่ผู้ฝากเงิน
    ซึ่งเป็นขั้นตอนที่เกิดขึ้น ภายหลังจากที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาตตามกฎหมายว่าด้วยธุรกิจสถาบันการเงินแล้ว จึงเป็นการกำหนดอำนาจหน้าที่ตลอดจนสิทธิของบุคคลที่เกี่ยวข้อง
    ดังนี้ (1) กำหนดให้สถาบันในฐานะผู้ชำระบัญชีเป็นผู้ดูแลทรัพย์สินตลอดจนเอกสารทั้งปวงของสถาบันการเงิน และกำหนดให้คณะกรรมการควบคุม หรือผู้แทนนิติบุคคลของสถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ดูแลจัดการทรัพย์สินของสถาบันการเงินมีหน้าที่ต้องส่งมอบเงินและทรัพย์สิน ตลอดจนเอกสาร ทั้งปวงให้แก่สถาบันในฐานะผู้ชำระบัญชีภายในเจ็ดวันนับแต่วันที่สถาบัน การเงินนั้นถูกเพิกถอนใบอนุญาต
     (2) กำหนดหน้าที่ของสถาบันที่จะต้องประกาศกำหนดให้ผู้ฝากเงินมายื่นคำขอรับเงินภายในสี่สิบวันนับแต่วันที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต
     (3) กำหนดให้ผู้ฝากเงินมีหน้าที่ที่จะต้องยื่นคำขอรับเงินและแสดงพยานหลักฐานเพื่อขอรับเงินภายในเก้าสิบวันนับแต่วันที่สถาบันประกาศกำหนดให้มายื่นคำขอรับเงิน ซึ่งระยะเวลาดังกล่าวนี้ หากรัฐมนตรีเห็นว่ามีความจำเป็น รัฐมนตรีมีอำนาจสั่งขยายได้ไม่เกินสองครั้ง ครั้งละไม่เกินเก้าสิบวัน
     (4) กำหนดให้สถาบันต้องจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินแต่ละรายผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีหรือทายาทภายในระยะเวลาไม่เกินสามสิบวันนับแต่วันที่ผู้ฝากเงินยื่นขอรับเงินโดยสถาบันจะจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินตามจำนวนเงินที่ฝากไว้สำหรับทุกบัญชีรวมกันในแต่ละสถาบันการเงิน
    แต่หากเงินฝากทุกบัญชีรวมกันดังกล่าวมีจำนวนเกินกว่าหนึ่งล้านบาท
    ให้จ่ายเงินเป็นจำนวนหนึ่งล้านบาท (มาตรา 53) ในกรณีที่มีชื่อบุคคลหลายคนร่วมกันเป็นเจ้าของบัญชี ให้สถาบันจ่ายเงินให้แก่ผู้มีชื่อเป็นเจ้าของบัญชีแต่ละคนตามส่วนที่บุคคลนั้นมีสิทธิในบัญชีเงินฝาก
    หากไม่อาจทราบจำนวนเงินฝากที่แต่ละคนมีส่วนในบัญชี ให้ถือว่าผู้ฝากเงินดังกล่าวมีส่วนเท่ากัน การจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนด
    (5) เมื่อสถาบันจ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินตาม (4) แล้ว ให้สถาบันเข้ารับช่วงสิทธิของผู้ฝากเงินเท่ากับจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปแล้ว และมีสิทธิได้รับชำระหนี้ในจำนวนเงินนั้นจากเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์หรือผู้ชำระบัญชี โดยมีบุริมสิทธิเหนือเจ้าหนี้สามัญของสถาบันการเงินนั้นทั้งหมด การชำระบัญชีสถาบันการเงิน ภายหลังที่สถาบันการเงินถูกเพิกถอนใบอนุญาต ให้สถาบันเป็นผู้ชำระบัญชีสถาบันการเงิน
     และการใดที่เป็นอำนาจหน้าที่ของที่ประชุมผู้ถือหุ้น ให้เป็นอำนาจหน้าที่ของสถาบัน นอกจากนี้ การโอนสินทรัพย์ตามร่างพระราชบัญญัตินี้กำหนดให้การ โอนสินทรัพย์ที่เป็นหลักประกันของสถาบันการเงิน ให้ตกเป็นของสถาบัน การเงินที่รับโอนกิจการนั้น
     เว้นแต่เป็นสิทธิตามที่กฎหมายกำหนดให้ตกแก่ผู้รับโอนตามมาตรา 305 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เช่น จำนอง จำนวน หรือค้ำประกัน ซึ่งถ้าในการดำเนินการมีการฟ้องบังคับสิทธิเรียกร้องเป็นคดีอยู่ในศาล ให้สถาบันการเงินที่รับโอนเข้าสวมสิทธิ์เป็น คู่ความแทนในคดีได้
    และในกรณีที่ศาลได้มีคำพิพากษาบังคับตามสิทธิ เรียกร้องนั้นแล้วให้สวมสิทธิเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาได้ กรณีที่สถาบันได้จ่ายเงินให้แก่ผู้ฝากเงินหรือสถาบันการเงินที่รับโอนเงินฝากให้อำนาจสถาบันจัดการทรัพย์สินเพื่อชำระหนี้ได้ และภายหลังที่ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วให้สถาบันยื่นคำร้องขอเพื่อเข้าสู่กระบวนการล้มละลาย
    โดยสถาบันพ้นจากอำนาจหน้าที่ในฐานะผู้ชำระบัญชีและให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยล้มละลายต่อไป นอกจากนี้นับแต่วันที่สถาบันการเงินถูก เพิกถอนใบอนุญาต จนถึงวันที่ศาลมีคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์เด็ดขาด
    ห้ามมิให้ผู้ใดฟ้องร้องสถาบันการเงินเป็นคดีล้มละลายหรือฟ้องร้องบังคับคดีเกี่ยวกับ ทรัพย์สินของสถาบันการเงิน รวมทั้งให้ระงับการพิจารณาคดีที่มีผู้ฟ้องสถาบันการเงินนั้นสำหรับสิทธิใดๆ ต่อศาลไว้ก่อน บทกำหนดโทษ
    กรณีที่บุคคลใดนอกจากสถาบันการเงินใช้เครื่องหมายเพื่อแสดงว่าธุรกิจของตนเป็นสถาบันการเงินที่ได้รับความคุ้มครองตาม พระราชบัญญัตินี้
    ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสองแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และปรับอีกไม่เกินวันละห้าพันบาทตลอดเวลาที่ฝ่าฝืนอยู่ และหากผู้ใดล่วงรู้กิจการของสถาบันการเงิน
    เนื่องจากการปฏิบัติหน้าที่และนำข้อมูลดังกล่าวไปเปิดเผยต่อบุคคลอื่นโดยมิชอบต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาทหรือทั้งจำทั้งปรับ บทเฉพาะกาล
    เมื่อมีการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝากขึ้นแล้ว ให้ยกเลิกการประกันผู้ฝากเงินของสถาบันการเงิน โดยรัฐบาลที่มีอยู่ก่อนการจัดตั้งสถาบันคุ้มครองเงินฝาก
    และใน 4 ปีแรกของการบังคับใช้กฎหมาย ให้จ่ายเงินแก่ ผู้ฝากเงิน ตามหลักเกณฑ์ (มาตรา 53) โดยกำหนดจำนวนเงินที่ให้ความคุ้มครองไม่เกินจำนวน ดังนี้
     (1) ปีที่หนึ่ง เต็มตามจำนวนเงินที่ปรากฏในบัญชี 
    (2) ปีที่สอง หนึ่งร้อยล้าน
     (3) ปีที่สาม ห้าสิบล้านบาท
     (4) ปีที่สี่ สิบล้านบาท
     ทั้งนี้ ในช่วง 4 ปีแรกของการบังคับใช้กฎหมาย หากภาวะเศรษฐกิจ และระบบการเงินเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นเหตุให้ต้องกำหนดจำนวนเงินที่ให้ความคุ้มครองเงินฝากเพิ่มขึ้น จากที่กำหนดให้ตราเป็นพระราชกฤษฎีกา ......... 

     

    'รมว.คลัง'ชี้ศก.ไทยเจอปัญหาหนัก หลังราคาน้ำมันทะลุ101ดอลล์/บาร์เรล
    21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 09:07:00

    (Update)"นพ.สุรพงษ์" ระบุเศรษฐกิจไทยเจอปัญหาหนักหน่วง ชี้ต้องเร่งปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หลังราคาน้ำมันพุ่งทะลุ 101 ดอลลาร์/บาร์เรล

    กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี รองนายกฯและรมว.คลัง กล่าวว่า หลังจากราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งขึ้นกว่า 100 ดอลลาร์/บาร์เรล จะทำให้เศรษฐกิจไทยเจอปัญหาหนักหน่วงมากขึ้น ดังนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจครั้งยิ่งใหญ่

    ราคาน้ำมันดิบสหรัฐพุ่ง 101.32 ดอล์/บาร์เรล

    ราคาน้ำมันดิบในตลาดไนเม็กซ์ของสหรัฐทะยานขึ้นสูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 101.32 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรลในการซื้อขายระหว่างวันเมื่อวันพุธ ก่อนลดลงมาปิดตลาดที่ 100.74 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งสูงกว่าราคาปิดตลาดที่ 100.01 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเมื่อวันอังคาร

    ปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้นเป็นเพราะนักลงทุนคาดว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันหรือโอเปกจะตัดสินใจคงปริมาณการผลิตเท่าเดิมหรืออาจลดการผลิตลงในการประชุมเดือนหน้า นอกจากนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะแรงซื้อจากพวกกองทุนเฮดจ์ฟันด์ที่วิตกเรื่องอัตราเงินเฟ้อ โดยมี

    รายงานว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคซึ่งเป็นตัวชี้วัดเงินเฟ้อของสหรัฐ ปรับสูงขึ้นกว่าที่คาด 0.4% ในเดือนมกราคม

    ขณะที่ธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟดระบุในรายงานการประชุมเมื่อวันที่ 29-30 มกราคม ซึ่งนำมาเปิดเผยเมื่อวันพุธว่า ได้ลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้เหลือ 1.3% ถึง 2% จากเดิมที่คาดไว้ 1.8% ถึง 2.5% สืบเนื่องจากสถานการณ์ด้านธุรกิจอสังหาริมทรัพย์และวิกฤตสินเชื่อ

    นอกจากนี้ยังปรับตัวเลขคาดการณ์อัตราว่างงานในปีนี้เพิ่มขึ้นเป็น 5.2% ถึง 5.3%  และปรับขึ้นตัวเลขคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในปีนี้เป็น 2.1% ถึง 2.4% ด้วย พร้อมกับเตือนว่าเศรษฐกิจอาจชะลอลงอีกแม้ได้ปรับลดดอกเบี้ยหลายระลอกแล้ว


    แวะมาทักทายพร้อมทั้งหอบคำขอบคุณมาตะกร้าใหญ่..ค่ะ..ได้รับข้อมูลอะไร ๆ อีกมากมายเลยค่ะ..แย้วจะติดตามผลงานดี ๆ อีกนะคะ

    สวัสดีค่ะคุณ กัสจัง..

     ตอนนี้ราคาทอง ล่าสุด 14.050 / 14150 บาท 13.25 น. 20 มี.ค.2550 ก็จะขึ้นๆลงไปอย่างนี้

    แต่เราคงไม่ต้องไปเอาใจใส่ค่ะ ทองมีไว้เหมือนเงินฝากประจำ กำไรหรือขาดทุน ก็เป็นตัวเลขที่เราสมมุติเท่านั้น

     แต่มีข่าวว่าธนาคารดังของอเมริกาอาการไม่ดี ค่ะ-Bear Stern วานิชธนกิจใหญ่อันดับ 5 ของอเมริกา ธนาคารกลางอเมริกาใช้เงิน 30000ล้านดอลล่าร์เข้าไปอุ้ม และขายต่อให้ JP Morgan ในราคาหุ้นละ 2 ดอลล่าร์เอง

     ยังมีอีกหลายแห่งที่อาการไม่ดีค่ะ เช่น โกลด์แมนแซค เลห์แมน บราเธอร์ มอร์แกน สแตนเลย์ เมอร์ริล ลินช์และซิตี้ กรุ๊ป เป็นต้น

    และ เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2551 คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงิน (Federal Open Market Committee: FOMC) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ หรือเฟด ได้มีมติให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ย Fed Funds ลงร้อยละ 0.75 จากร้อยละ 3.00 มาที่ร้อยละ 2.25 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2548

     อ่านตามที่ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยให้ความเห็นไว้ว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยครั้งล่าสุดของเฟดได้ส่งผลให้ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยและสหรัฐฯ กว้างขึ้นเป็นร้อยละ 1.00

     นอกจากนี้ความแตกต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวยังอาจจะกว้างมากขึ้นอีกหากเฟดทำการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกครั้งในช่วงปลายเดือนเมษายนตามการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ และอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนย้ายเงินทุนระยะสั้นและค่าเงินบาทในระยะถัดไปได้

     ในขณะเดียวกันแนวโน้มการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ฯ จะยังคงเป็นปัจจัยหนุนราคาน้ำมันและสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ซึ่งทำให้แรงกดดันเงินเฟ้อยังคงมีอยู่ต่อไป ในขณะที่เศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ชะลอตัวลง ก็คงจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของประเทศต่างๆ ในภูมิภาครวมทั้งไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

     อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่า การดำเนินการทั้งทางด้านการเงินและการคลังของทางการไทยในช่วงที่ผ่านมา น่าจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทยในปีนี้ อยู่ในระดับที่ไม่ต่ำไปกว่าปีก่อนหน้า

    ในขณะที่แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อทั่วไปอาจมีค่าเฉลี่ยใกล้เคียงร้อยละ 4 ในปีนี้ แต่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานก็น่าที่จะยังคงอยู่ต่ำกว่าร้อยละ 2 ซึ่งน่าจะถือได้ว่าเป็นระดับที่สะท้อนความมีเสถียรภาพของระบบของไทยเราค่ะ

    มีข่าวทางเศรษฐกิจที่น่า จะทำให้ความรู้สึกของคนไทยดีขึ้นค่ะ....

    มีข่าวจาก ฟิทช์ เรทติ้ง เตรียมปรับเพิ่มเรตติ้งของไทยหากเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นค่ะ

     ปัจจุบันไทยมีอันดับความน่าเชื่อถืออยู่ที่ BBB+ ซึ่งอยู่ในระดับกลาง ๆ เมื่อเทียบกับภูมิภาค แต่ยังมีโอกาสในการปรับอันดับเป็น A- ได้  หากปัจจัยด้านเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น

    ซึ่งปัจจุบันแนวโน้มเศรษฐกิจของไทยยังถือว่ามีความเสี่ยงน้อยกว่าประเทศอื่น ๆ ในเอเชียในกรณีที่จะได้รับผลกระทบจากปัญหาการชะลอตัวทางเศรษฐกิจของ สรอ.

    โดยปัจจุบันประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดคือ สิงคโปร์ ฮ่องกง และเวียดนาม เนื่องจากประเทศทั้งสามมีสัดส่วนการส่งออกไปยัง สรอ. มากกว่าร้อยละ 25

    ขณะที่ไทยมีสัดส่วนการส่งออกไป สรอ. เพียงร้อยละ 10 จึงมีความเสี่ยงน้อยกว่า

    ขณะที่ไทยมีความเสี่ยงด้านการเมืองสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เนื่องจากปัจจุบันความน่าเชื่อถือทางการเมืองปรับตัวแย่ลง

     มีเพียงประสิทธิภาพของการทำงานเท่านั้นที่ปรับตัวดีขึ้น สำหรับนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลไทยที่ออกมานั้นมองว่ามาตรการลดภาษีจะเป็นมาตรการที่เห็นผลเร็ว

    แต่เป็นเรื่องที่คาดเดาได้ยากว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้สำเร็จหรือไม่ เพราะต้องใช้เวลาระยะหนึ่งกว่าจะเห็นผล อย่างไรก็ตาม มองว่าการลดภาษีจะไม่ทำให้รัฐบาลเสียรายได้ เนื่องจากรายได้ด้านภาษีเติบโตดีกว่าจีดีพีอยู่แล้ว

     (โพสต์ทูเดย์, ผู้จัดการรายวัน)

    คาดว่าจะมีการใช้จ่ายเงินช่วงสงกรานต์ปีนี้ประมาณ 9.6 หมื่นล้านบาท

     นายธนวรรธน์ พลวิชัย ผอ.ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยผลสำรวจพฤติกรรมการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ว่าจะมีเงินสะพัดประมาณ 96,182 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.52 จากเดิมที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 7

     ขณะที่ปี 50 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.94 มูลค่า 92,022 ล้านบาท โดยจะมีการดึงเงินออมมาใช้สูงถึงร้อยละ 34.4

    และเห็นว่าเงินที่ใช้เพิ่มขึ้นมาจากราคาสินค้าแพงขึ้นไม่ใช่เป็นการซื้อในปริมาณเพิ่มขึ้น

     นอกจากนี้ จากการสำรวจยังพบว่าช่วงสงกรานต์ปีนี้คนไทยหันไปเที่ยวต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็นสัดส่วนร้อยละ 20.9 สูงกว่าปีก่อนที่มีสัดส่วนเพียงร้อยละ 14.3

    อันเป็นผลจากเงินบาทแข็งค่าขึ้น ค่าใช้จ่ายการเที่ยวต่างประเทศกับในประเทศใกล้เคียงกัน การจูงใจจากโปรแกรมเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น และประชาชนเริ่มมั่นใจต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและรายได้ในอนาคต   (มติชน, ผู้จัดการรายวัน, แนวหน้า, กรุงเทพธุรกิจ)

    เหตุการณ์เป็นไป อย่างที่นักวิเคราะห์ พยากรณ์ไว้จริงๆ เหมือนเป็นสูตรสำเร็จทางเศรษฐศาสตร์

    Commodityprice
    Commodity price March2003-March2008
    ที่มา...Bloomberg Financial Data

    ราคาทั้งเงินและทอง ขึ้นมาพอสมควรเลยค่ะ

    01-07-2008

    การที่รัฐฯ มีพรบ.ค้ำประกันเงินฝาก
    ที่ในที่สุด จะจำกัดวงเงินฝากที่คุ้มครองเหลือ 1 ล้านบาท/ราย/สถาบันการเงิน ทำให้ผู้ฝากจะมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น...

    ดังนั้น การลงทุน ในแบบอื่นๆ เช่น ในอสังหาฯ น่าคุ้มกว่าแน่นอน อีกทั้ง เงินเฟื้อที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต เงินจะด้อยค่าลง การลงทุน ในสินทรัพย์อย่างอื่นๆ  น่าจะดีกว่า ฝากเงินสดไว้มากๆ

    ตอนนี้ กองทุนรวมต่างๆ  คึกคักมากเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องเลือก brokerที่รู้จริง ไม่มั่ว ไว้ใจได้ มีมืออาชีพ บริหารกองเงิน มีการกระจายความเสี่ยง และถ้าเรา ต้องการเงินสด เราก็สามารถขายออกได้ทันที เรียกว่า มีสภาพคล่องสูง มีกลไก ป้องกันผู้ลงทุน
    ปัจจุบัน ทุกแห่ง มักจะเป็น One Stop Shopping หมด สะดวก สบาย ไม่ต้องใช้บริการหลายๆแห่ง และควรเลือก กองทุนรวม ที่มี นักวิเคราะห์  ที่โดดเด่น น่าเชื่อถือ เพราะ นักวิเคราะห์เก่งๆ มักจะ วิเคราะห์ ไม่ค่อยผิดพลาด มีการอ้างอิง ตัวเลขชัดเจน...
    จะมีการส่งอีเมล ข้อมูลข่าวสาร  ให้ลูกค้าได้รับรู้ ความเป็นไป แล้วแต่จะตกลง 

    อัตราเงินเฟ้อที่สูงเป็นดัชนีชี้ว่า ต้นทุนดอกเบี้ยคงจะต้องสูงขึ้น นโยบายการเงิน  มักจะจะต้องตึงตัวตามมา ถ้าจะลงทุน ทำอะไร ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะจะมีความเสี่ยง เพิ่มมากขึ้น คิดช้าหน่อย ดีกว่ารีบตัดสินใจ 

    การลงทุนในทองคำ สำหรับปี 2552
    นายธาริฑธิ์ ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ ธปท. เขียนบทความ ความเสี่ยง ในการลงทุนปี 2552
    มีข้อความตอนหนึ่ง กล่าวถึง การลงทุน ในทองคำว่า
    การลงทุน ในทองคำ จะให้ผลดีเป็นพิเศษเฉพาะในช่วงที่มีความตึงเครียดทางการเมืองระหว่างประเทศและในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อสูงมาก แต่ในช่วงเวลาที่การเมืองและเศรษฐกิจไม่หวือหวามากนักในบางครั้งราคาทองคำอาจจะให้ผลตอบแทนน้อยกว่าการลงทุนแบบอื่น
    เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่สามารถออกดอกผลได้ด้วยตนเอง ( เช่นในกรณีหุ้นหรือพันธบัตร )
    นอกจากนี้สิ่งที่นักลงทุนต้องระวังคือราคาทองคำมีความผัวผวนสูงมากและมีโอกาสที่จะขึ้นหรือลงได้เร็วและแรงมากเช่นเดียวกับการลงทุนในน้ำมัน
    ( ตัวอย่างเช่นราคาน้ำมันที่เคยสูงถึงเกือบ 150 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่จะรูดลงมาอยู่ที่ระดับราคาเกือบ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปัจจุบัน)
    ดังนั้นผู้ที่ลงทุนในทองคำโดยเฉพาะผู้ที่ลงทุนในสัดส่วนที่สูงหรือกู้เงินมาลงทุนหรือลงทุนแบบ leverage ในตลาดซื้อขายล่วงหน้า ควรจะสำรวจตัวเองให้ดีก่อนว่าสามารถรับผลขาดทุนได้มากน้อยเท่าใด
    และควรจะสำรวจหาความรู้ให้ดีก่อนว่าปัจจัยใดที่จะส่งผลต่อราคาทองคำมากกว่าที่จะลงทุนตามผู้อื่น
    โดยสรุปแล้วในปี 2552 ความผัวผวนจากการลงทุนปีนี้น่าจะยังอยู่ในระดับสูง ควรจะดูแลระดับความเสี่ยงของตนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม ท่านก็จะผ่านพ้นปีอันผันผวนนี้ไปได้ด้วยดี

    * บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล จึงไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย

    พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
    ClassStart
    ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
    ClassStart Books
    โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท