ความเห็นของนักศึกษา
เปรียบเทียบระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน และความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกัน
1. เอกชนมีความคล่องตัวกว่าราชการ
2. ทั้งภาครัฐและเอกชนมีการบริหารทรัพยากรมนุษย์ เช่น การสรรหาบุคลากร การรักษาบุคลากรที่มีคุณภาพ ฯลฯ
3. เป้าหมายของราชการและเอกชนต่างกันเอกชนเน้นกำไร แต่ราชการไม่เน้นกำไร
4. ทั้งรัฐและเอกชนต้องคำนึงถึงการวางแผนยุทธศาสตร์ให้ไปสู่เป้าหมาย
5. ทั้งรัฐและเอกชนคำนึงถึงความกินดีอยู่ดีของประชาชน แต่ทำกันคนละรูปแบบ
หัวข้อ ภาครัฐและภาคเอกชน เชื่อมโยงกันอย่างไร ฯ
ความเชื่อมโยงกันระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนนั้น แน่นอนว่า ทั้งสององค์กรนี้ย่อมแยกจากกันไม่ได้ ต้องอาศัยซึ่งกันและกัน อันเนื่องมาจากที่ รัฐบาลกับภาคเอกชน ในเวลาที่จะกำหนดนโยบายต่าง ๆ โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ ก็ต้องร่วมมือกันกับภาคเอกชนหรือผู้มีความรู้ทางด้านเศรษฐกิจ ในการกำหนดนโยบาย การกำหนดราคาสินค้า การตรึงราคาสินค้า การจดทะเบียนขึ้นทะเบียนต่าง ๆ การนำเข้า การส่งออกทั้งภายในและภายนอกประเทศ ฯลฯ ในเรื่องเหล่านี้ทั้งหมดภาคเอกชนก็ต้องอาศัยภาครัฐทั้งนั้น ฯ
เช่น ในเรื่องของการกำหนดราคาสินค้านั้น เอกชนไม่สามารถกำหนดราคาสินค้าเองได้ ราคาสินค้าจะถูกหรือแพงขนาดไหนนั้น ต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาล หากรัฐบาลไม่อนุมัติ ไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐบาลแล้ว ก็ไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้ ดังในเรื่องของราคาน้ำมันพืช ราคาสินค้าเครื่องอุปโภค ผู้ผลิตจะไม่สามารถขึ้นราคาตามความพึงพอใจของตนได้ รัฐบาลจะต้องเข้ามามีส่วนร่วมในการกำหนดราคาให้เป็นไปตามความเป็นจริง ทั้งนี้ที่รัฐเข้ามาควบคุมดูแลนี้ก็เพราะคำนึงถึงส่วนรวมเป็นหลัก คือ ประชาชนส่วนใหญ่ โดยที่รัฐจะไม่ทำให้กระทบทั้ง ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายผู้ผลิตเองก็ต้องจำหน่ายออกในราคาที่เป็นกลาง ไม่เอารัดเอาเปรียบประชาชน โดยการควบคุมของภาครัฐ เพราะถ้าราคาสินค้าแพงเกินไป ประชาชนก็จะลดกำลังการซื้อลง ทำให้สินค้าขายไม่ออก เมื่อขายไม่ออก ผู้ผลิตก็จะอยู่ได้ยาก ถ้าถูกเกินไปละ ก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน ฉะนั้นในส่วนนี้เอง รัฐจึงต้องเข้ามาดูแลในเรื่องของราคาสินค้า ถ้าแพงเกินไป ก็ต้องตรึงราคาไว้ ให้พอเหมาะพอควร กับภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ฯ
การจดทะเบียนบริษัทห้างร้านต่าง ๆ ก็เช่นกัน เอกชนจะดำเนินการเองไม่ได้ ต้องติดต่อทำการจดทะเบียนผ่านหน่วยงานของรัฐ หน่วยงานราชการ การทำธุรกรรมต่าง ๆ ก็ต้องผ่านหน่วยงานราชการทั้งสิ้น ฯ การนำเข้าหรือการส่งออกสินค้าทั้งภายในและภายนอกประเทศก็ต้องผ่านหน่วยงานราชการ คือ กรมศุลกากร ต้องเสียภาษีระวางให้กับศุลกากร เป็นต้น ฯ
หรือในเรื่องที่ภาคเอกชน เช่น เบียร์ช้าง จะทำการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในภูมิภาคต่าง ๆ ก็จะร่วมมือกับภาครัฐ คือ หน่วยทหาร หรือ หน่วยงานราชการต่าง ๆ ในการดำเนินการเข้าไปช่วยเหลือ หรือ แม้แต่ ไทยรัฐเอง จะสร้างโรงเรียนให้กับอำเภอใดอำเภอหนึ่ง ก็ต้องติดต่อกับหน่วยงานภาครัฐเช่นกัน คือ กระทรวงศึกษาธิการ โดยจัดสร้างแล้วมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการเข้ามาควบคุมดูแล ฯ รวมแล้ว ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องดำเนินงานด้านต่าง ๆ ให้เป็นไปในทิศทางเดียวกัน (น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ) เพราะภาครัฐเองก็มีรายได้หลักจากภาษีที่เก็บจากภาคเอกชนทั้งรายใหญ่และรายย่อย และ ภาษีจากประชาชนด้วย ภาคเอกชนก็ต้องอาศัยภาครัฐ เช่นในการกู้ยืมเพื่อการลงทุนบ้างบางครั้งคราว และ การกำหนดนโยบายการนำเข้าและส่งออก การกำหนดอัตราภาษี ต่าง ๆ เป็นต้น ล้วนต้องอาศัยภาครัฐทั้งสิ้น (รวมกันเราอยู่ แยกหมู่เรา (ทั้งคู่) ตาย) ฯ
คำติเตือนแม้ขื่นขม ยังดีกว่าคำชื่นชมที่มีพิษ ฝากพี่ ๆ เพื่อน ๆ รปม รุ่น ๔ ด้วยนะ มีอะไรผิดพลาดก็ติชมกันได้ ไม่ว่ากัน ฯ ขอเจริญพร
8. ภาครัฐและเอกชนมีการบริหารทรัพยากรมนุษย์เหมือนกัน
1. ในการประกอบกิจการภาคเอกชนมีเป้าหมายเพื่อผลกำไร ต้องการตอบสนองต่อ
ความต้องการอันหลากหลายในกลุ่มผลประโยชน์ แต่ในภาครัฐ มิได้มุ่งหวังผล
กำไร แต่มีเป้าหมายคือการให้ความเสมอภาคของการให้บริการประชาชนส่วน
รวม ซึ่งทั้งภาครัฐและภาคเอกชนจะต้องมีกระบวนการในการดำเนินงาน ไม่ว่า
จะเป็นการวางแผนงาน การปฏิบัติงาน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ การ
จัดสรรงบประมาณ การควบคุม ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้ มีอยู่ทั้งในภาครัฐ และภาคเอกชน2. ภาครัฐ มีการจัดสรรงบประมาณในหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อจัดทำโครงการในการ
ลงทุนในโครงการใหญ่ ๆ เช่น การทำรถไฟฟ้า ถนน สะพาน ก็ต้องมีการ
ประมูลเพื่อสรรหาบริษัทเอกชนมาดำเนินการ ซึ่งในขั้นตอนการดำเนินการก็ต้อง
มีเอกชนเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องใน การดำเนินการตามโครงการในปัจจุบันหน่วยงานภาครัฐ ปรับเปลี่ยนระบบบริหารงานองค์กร
มากขึ้น โดยการลดงานบางส่วนที่ไม่จำเป็นลง เช่น การทำความสะอาด
งานดูแลด้านโภชนาการ ซึ่งในอดีตจะมีนักการภารโรง แต่ปัจจุบันจะเป็นในรูป
แบบการทำสัญญากับบริษัททำความสะอาด , บริษัทที่เกี่ยวกับโภชนการ ของ
ภาคเอกชน ให้เข้ามาดูแลเฉพาะงานทำความสะอาด และ งานโภชนาการใน
หน่วยงานของภาครัฐ จากที่กล่าวมาถือได้ว่าในหน่วยงานภาครัฐมีความเชื่อมโยงในด้านเงื่อนไข แต่มีเป้าหมายที่ไม่เหมือนกัน ณ เวลาก่อนเกิดเหตุ 08:45 น. สายฝน (มิใช่นางสาวสายฝน เพื่อนร่วมชั้นเรียนแต่ประการใด) ได้โปรยปรายลงมา วันนี้เหมือนฟ้าจะรู้และบอกเป็นนัยว่า การเรียนรู้แบบธรรมดา แบบเรียนเพื่อใบปริญญาจักไม่บังเกิดขึ้นแล้ว ในช่วงเวลาเดือนแห่งความรักตลอดเดือนนี้ เมื่อข้าพเจ้าได้ถึงห้องเรียนและมองเข้าไป เห็นบรรยากาศ (Environment) ซึ่งแตกต่างจากวันเดิม ๆ วิชาที่เคยเรียนผ่านมา ณ ช่วงเวลานั้นการทักทายและสนทนาพูดล้อต่อกระซิกและดำเนินไปด้วยความสนุกสนาน
ณ ช่วงเวลาเกิดเหตุ..09:15 น. เมื่อร่างของบุรุษผู้หนึ่งได้ปรากฏต่อสายตา เสียงภายในห้องได้เงียบลงสนิท บรรยากาศเริ่มตึงเครียด ด้วยวาทะที่ชวนให้หนาวซึ่งก็หนาวอยู่แล้วจากบรรยากาศภายนอก ภายในก็มีแอร์ และบุรุษผู้จุดไฟน้ำแข็ง ณ ช่วงเวลานี้เลยมีพลังของความหนาวยกกำลัง 3 แต่ด้วยลีลาและวาทะที่คอยกระตุ้นกระทุ้งอย่างออกรสออกชาดภายในเวลาอันไม่มากบรรยาศก็เริ่มอบอวลด้วยความร้อนแรง ไม่ได้ขี้เกียจเว้ยย!! แต่ไม่มีเวลา..เป็นวาทะที่ดูคล้ายปัดความรับผิดชอบ แต่ถ้าใช้รอยหยักของสมองวิเคราะห์และหยั่งลึก จะทำให้เราคิดขบวาทะนั่นออก โป๊ะเช๊ะ!! อ้อ..นั่นก็เพราะภารกิจความทุ่มเทแน่วแน่มุ่งมั่น เพื่อพัฒนาคนสู่ความเป็นเลิศ "ผู้สร้างคันเบ็ด" เพื่อมอบเบ็ดนั้นให้กับคนใช้ตกปลา (ซึ่งก็คือลูกศิษย์)
จากสมองที่ไม่ค่อยได้ทำงานต้องกลับแน่นขนัดอึ้งด้วยงาน และการบริหารกับตัวเอง กับ 3 งานที่ได้รับมอบหมาย ทั้งงานเดี่ยวและงานกลุ่ม รายงานเดี่ยวที่ได้รับมอบหมาย ซึ่งข้าพเจ้าและเพื่อนร่วมชั้นเรียนได้รับมอบมาเพื่อพัฒนาความเป็นมนุษย์ เพื่อเป็นมนุษย์ที่ โป๊ะเชะ!! และไม่งั่งและเปลี่ยนทัศนคติจากบ้าใบปริญญา มาบ้างคลั่งปัญญา ก็คือ..
ภารกิจที่ 1 mission one : ฉายเดี่ยว (Solo)..“การเปรียบเทียบภาครัฐและเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร?” ..
หากจะมองความเหมือน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน จะมีลักษณะเหมือนกันคือ
• มีรูปแบบเป็นลักษณะหน่วยงาน หรือองค์กร ซึ่งภายในองค์กรก็ต้องมีจุดมุ่งหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพ ในการพัฒนาองค์กร และจากอุปกรณ์ต่าง ๆ ทรัพยากรที่ต้องพัฒนาให้มีคุณภาพมากที่สุดก็คือทรัพยากรมนุษย์ เมื่อทรัพยากรมนุษย์มีคุณภาพดีเลิศ นั่นก็หมายถึงการนำทรัพยากรอย่างอื่นมาใช้ย่อมมีประสิทธิภาพตามไปด้วย
• มีผู้บังคับบัญชา ผู้นำ หรือผู้บริหาร แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นคุณภาพของผู้นำจะมีความเป็นเลิศ อย่างไร ก็ต้องขึ้นอยู่กับทัศนวิสัย การตัดสินใจที่เด็ดขาดแม่นยำ และการมีจริยธรรมคุณธรรมด้วย เพื่อเป็นสารถีนำพาองค์กรไปสู่จุดหมายที่เป็นเลิศ (อีกแล้วครับท่าน)
• มีระบบการคัดสรร เลือกสรร การลงโทษ การให้รางวัล มีกฏระเบียบหรือข้อบัญญัติ ซึ่งเป็นกลไกที่จะนำพาบุคคลเข้าสู่องค์กร แต่ดูเหมือนว่า ระบบราชการจะได้บุคคลที่เป็นกากกะทิ มากกว่าหัวกระทิ ซึ่งแตกต่างจากเอกชน คำถามตามมา เพราะอะไร? อาจจะเป็นเพราะการบริหารจัดการ การให้รางวัล การสร้างแรงจูงใจ (Motivation) การสร้างความสัมพันธ์ (Relationship) การมีส่วนร่วมและสร้างจิตสำนึกรักองค์กรหวงแหนองค์กร
• มีกฎระเบียบหรือข้อบัญญัติ เพื่อควบคุมเพื่อพัฒนาให้ไปในทิศทางที่เป็นเลิศ ไม่ใช่เป็นเลิศทางที่ไม่สร้างสรรค์ เป็นเลิศในด้านคอรัปชั่น หากแต่ความเป็นเลิศนั้นต้องเป็นไปเพื่อการสร้างสรรค์ มีประโยชน์ และกอปรด้วยคุณธรรมจริยธรรม
• มีกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการ การวางแผน เพื่อให้เพื่อนำบุคคลมาใช้อย่างเกิดประสิทธิภาพ แต่ดูเหมือนว่ากลยุทธ์ในภาครัฐจะมีไว้ในหนังสือหรือรูปแบบลายลักษณ์อักษรมากกว่าที่จะนำมาปฏิบัติจริงและเห็นผลได้ดีเมื่อเทียบกับภาคเอกชน
• มีผู้บริโภค ภาคเอกชนก็คือลูกค้า ภาครัฐก็คือประชาชน
ในมุมมองของข้าพเจ้า ภาครัฐและเอกชนเป็นโครงสร้างหรือเป็นอวัยวะที่ต้องพึ่งพากันเพื่อทำให้ร่างกายคือประเทศชาติมีความสมบูรณ์ ภาครัฐเป็นส่วน มหภาค (macro) ส่วนภาคเอกชนเป็นส่วนย่อย (micro) แต่นั่นก็เพื่อจุดประสงค์ร่วมก็คือ “ความพึงพอใจแก่ผู้บริโภค” ซึ่งอยู่ในรูปแบบของกำไร กำไรของเอกชนอาจจะเป็นกำไรในรูปของเม็ดเงิน ดุลการค้า หรือหุ้นต่าง ๆ จากการผลิตสินค้าที่เป็นที่ต้องการถูกตาถูกใจของลูกค้า ทั้งรูปลักษณ์ คุณภาพ และราคา ส่วนกำไรของภาครัฐบาลจะเป็นในรูปแบบกำไรของความอยู่ดีกินดี การมีความสุข อันได้รับจากการบริหารงานที่ดีของรัฐ ถ้ารัฐมีการบริหารคือทำอะไรให้รวดเร็ว มีข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยแม่นยำ ทุกระดับชั้นมีส่วนร่วมและหวงแหนในองค์กร มีความยุติธรรม สะอาดโปร่งใส มีการตั้งเป้าหมายไว้ให้สูง และใช้ทรัพยากรอย่างคุ้มค่า ซึ่งวัดจากความพอใจของประชน เช่น การติดต่อประสานงานกับหน่วยงานราชการ ถ้าพนักงาน มีการบริหารที่รวดเร็ว ทำงานด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสและเป็นมิตร ผู้รับบริหารหรือประชาชนก็มีความคิดเชิงบวกและมีความสุขที่จะเข้าหาและติดต่อกับราชการ นี่แหละคือกำไรจากความสุข
...นี่คงเป็นแนวคิดตามสมองที่ยังงั่ง!! อยู่มากของข้าพเจ้า ซึ่งยังเป็นเพียงผู้ตกปลาที่ยังขาดเบ็ดดี ๆ สักคัน หรือหลาย ๆ คัน จากคนสร้างคันเบ็ด นามว่า ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์.. เจริญพร...
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ข้าพเจ้าคิดว่า ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนต้องการความเป็นเลิศเหมือนกัน แต่เป้าหมายในการดำเนินงานไม่เหมือนกัน คือ ภาครัฐเน้นการให้บริการประชาชนเพื่อให้ประชาชนพึงพอใจมากที่สุดส่วนภาคเอกชนเน้นหรือหวังผลกำไรและให้ลูกค้าพึงพอใจในสินค้ามากที่สุด สิ่งที่ต้องกระทำเหมือนกันภาครัฐและภาคเอกชนต้องมีโครงสร้างองค์การ สายการบังคับบัญชา การคัดเลือก จัดสรร ผลตอบแทน ฯลฯ เป็นต้น เพื่อความเป็นระเบียบในการปฏิบัติงาน แต่หน่วยงานภาครัฐมีกฎเกณฑ์ ระเบียบในการปฏิบัติงานมากจนบุคลากรไม่กล้าตัดสินใจในการทำงาน เนื่องจากผู้บังคับบัญชามิได้รับผิดชอบร่วมด้วย ผิดกับภาคเอกชนกฎระเบียบน้อย จึงทำงานได้คล่องตัว จึงทำให้บุคลากรภาคเอกชนมีความกล้าตัดสินใจมากกว่านั่นเอง
สิ่งสำคัญคือการพัฒนาบุคลากร หน่วยงานภาครัฐไม่นิยมส่งบุคลากรในหน่วยงานไปฝึกอบรม สัมมนา ศึกษาดูงาน เนื่องจากไม่มีผู้ปฏิบัติหน้าที่แทน แต่ภาคเอกชนจะสนับสนุนให้บุคลากรในหน่วยงานไปฝึกอบรม สัมมนา ศึกษาดูงาน เนื่องจากภาคเอกชนคิดว่าเมื่อบุคลากรเหล่านั้นไปแล้วเขาจะนำความรู้ที่ได้มาประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อหน่วยงานที่ตนเองปฏิบัติอยู่
จะเห็นได้ว่า เมื่อเราบอกว่าภาครัฐการทำงานเป็นอย่างไร จะมองเห็นว่า ล้าหลัง ล่าช้า ไม่ทันสมัย ทำงานแบบเดิมๆ คิดแบบเดิมๆ แต่ถ้าเราบอกว่าเอกชนทำงานเป็นอย่างไร เราก็จะมองต่างกัน คือ เอกชนทำงานรวดเร็ว เทคโนโลยีทันสมัย ทันต่อเหตุการณ์ ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานให้เหมาะสมกับสภาพสังคมที่เปลี่ยนไป เพื่อให้เกิดความคล่องตัว
ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนก็มีระบบการปฏิบัติงานที่ดีอยู่ในตัวระบบ ต้องทำงานควบคู่กันไปหรือทำงานสนับสนุนกัน ยกตัวอย่าง เช่น ภาครัฐบาลเป็นผู้ออกกฎระเบียบ ภาคเอกชนเป็นผู้ใช้กฎระเบียบ เป็นต้นจะขาดหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งไม่ได้ประเทศชาติคงไม่เจริญก้าวหน้า ภาคเอกชนต้องเป็นหน่วยงานขับเคลื่อนต่อภาครัฐ โดยหลักสำคัญคือ การสร้างความร่วมมือ เพื่อเสริมสร้างจุดเด่น และแก้ไขจุดอ่อน พัฒนาขีดความสามารถในการทำงานร่วมกันอย่างชัดเจน เพื่อประเทศชาติและประชาชนในประเทศ
ดังนั้น จึงจะเห็นได้ว่าทั้งสองภาคทั้งภาครัฐและภาคเอกชน มีความเกี่ยวโยงกัน ให้ภาคเอกชนพัฒนาองค์กรให้ดีเพียงใด แต่ภาครัฐยังเป็นระบบแบบเก่า ก็ทำให้ธุรกิจดำเนินไปไม่ได้ด้วยดี ถึงเป้าหมายของภาครัฐและเอกชนจะแตกต่างกัน แต่ถ้าการทำงานของภาครัฐปรับตัวมีการทำงานที่รวดเร็ว ลดขั้นตอน สมกับเป็นข้าราชการที่เข้มแข็งก็จะส่งผลให้หน่วยงานที่เข้ามาติดต่อสามารถไปดำเนินงานทางธุรกิจต่อได้เร็วขึ้น ประเทศก็จะมีการพัฒนาที่มากขึ้น
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความสัมพันธ์กันอย่างไร ?
ประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตย ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างภาครัฐและภาคเอกชนจำเป็นต้องมีอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จะเป็นลักษณะแบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า หากรัฐบาลอยู่ไม่ได้ ภาคเอกชนก็อาจทำให้กิจการมีผลกำไรลดลง กล่าวคือภาครัฐเป็นผู้กำหนดนโยบาย ออกกฏหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ รวมถึงการจัดเก็บภาษีเพื่อพัฒนาประเทศ ภาครัฐจัดหาตลาดส่งสินค้าออกไปต่างประเทศและภายในประเทศ เช่นปัญหาเศรษฐกิจของประเทศสหรัฐอเมริกาได้ชะลอตัวลงเนื่องจากปัญหาซับไพร์ ทำให้กำลังซื้อสินค้าจากต่างประเทศลดลง ซ่งเป็นปัญหาด้านการส่งออก เนื่องจากเศรษฐกิจประเทศไทยยังต้องพึ่งการส่งสินค้าออก และอเมริกาเป็นตลาดที่สำคัญและใหญ่ที่สุด ประกอบกับค่าเงินบาทแข็งค่าอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดปัญหากับผู้ส่งสินค้าออกไปต่างประเทศ ภาครัฐจะต้องดำเนินการให้ความช่วยเหลือผู้ส่งออกเหล่านั้นโดยการหามาตรการไม่ให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากเกินไป และควรหาตลาดส่งออก โดยหาตลาดทางยุโรป หรือ ตะวันออกกลาง หรือประเทศที่มีกำลังเงินซื้อมาก เพื่อจะได้นำเงินเข้ามาภายในประเทศ และรัฐควรจัดเก็บภาษีในอัตราที่เหมาะสมเพื่อนำมาบริหารและพัฒนาประเทศต่อไป
น.ส.ญานิสา เวชโช รหัส50038010013
ในปัจจุบันระบบราชการส่วนใหญ่เป็นระบบอุปถัมภ์ ให้ความสนใจในความเป็นพวกพ้อง มากกว่าที่จะสนใจในเรื่องของผลงาน เป็นระบบเช้าชาม-เย็นชาม ไม่ต้องกระเสือกกระสนดิ้นรน เพราะความเป็นราชการ ยังไงก็ไม่ตกงาน จึงไม่มีความจำเป็นต้องใฝ่รู้อะไรมากมายนัก แตกต่างกับ เอกชน ที่ให้ความสนใจในเนื้องาน มุ่งเน้นการแข่งขัน พัฒนาความรู้ ความสามารถของคนในองค์กร เพื่อให้องค์กรอยู่รอด ถึงแม้ว่า ระบบราชการ จะเป็นระบบที่มั่นคง ไม่มีวันที่จะล้มเหลว แต่ถ้าคนในราชการยังทำงานกันแบบเดิมๆ ไม่มีการพัฒนายอมรับสิ่งใหม่ๆ เหมือนเอกชน สักวันหนึ่ง ราชการก็ต้องล้มเหลวเช่นเดียวกัน
ความเชื่อมโยงของภาครัฐและเอกชน สิ่งที่จะต้องทำมากที่สุด มิใช่เพียงแต่แสวงหาผลกำไร แต่คือ การแข่งขัน แข่งขันให้หน่วยงาน หรือองค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน สามารถทำให้ระบบการทำงาน มีประสิทธิภาพ และเกิดประสิทธิผล เพราะราชการ คือ งานให้บริการประชาชน จึงควรจะคิดว่า ทำอย่างไรที่จะให้ประชาชนเกิดความพึงพอใจ เมื่อมาใช้บริการ
ภาครัฐบาลและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
องค์กรไทยจะแบ่งเป็นสองกลุ่มใหญ่ คือ องค์กรภาครัฐและองค์กรภาคเอกชน ถ้ามองว่าประเทศคือองค์กรขนาดใหญ่ เป็นมุมมองที่มาจากภายนอกประเทศหรือองค์กรระหว่างประเทศ ดังนั้นองค์กรภาครัฐเปรียบเสมือนสายงานสนับสนุน (Staff Function) โดยสนับสนุนให้องค์กรภาคเอกชนสามารถผลิตสินค้าและบริหารให้กับประเทศ ถ้ามองภาพขยายในระดับเวทีโลก ประเทศก็เป็นองค์กรชนิดหนึ่ง ที่ต้องมีการบริหารจัดการที่มุ่งเป้าหมายทั้งเหมือนและแตกต่างจากภาคเอกชน ที่เหมือนกัน คือ เมื่อประเทศขายสินค้าไปยังตลาดโลกย่อมหวังผลกำไร ไม่อยากเสียเปรียบทางการค้า แต่ที่แตกต่างกันคือการใช้อำนาจรัฐเหนือองค์กรภาคเอกชนภายใต้อำนาจอธิปไตยของประเทศและองค์กรภาครัฐจะมีขอบข่ายของการบริหารจัดการกว้างขวางกว่าเอกชน
ที่ผ่านมาการบริหารองค์กรภาครัฐยังไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควรจะเป็น เนื่องจากวัฒนธรรมการทำงานที่ยังไม่เชื่อมั่นในความสามารถของเจ้าหน้าที่ใหม่หรือข้าราชการชั้นผู้น้อย องค์กรภาครัฐถือเป็นปัจจัยหนึ่งของสภาพแวดล้อมขององค์กรภาคเอกชน และมีอิทธิพลต่อการบริหารภาคเอกชนค่อนข้างมาก ดังนั้น การศึกษาองค์กรภาครัฐ จึงมีความสำคัญ เพราะจะทำให้ "ผู้นำ" ภาคเอกชนได้รับรู้ปัญหาและอุปสรรค เมื่อรับรู้ว่าเป็นปัญหามีอุปสรรคก็สามารถที่ปรับสภานภาพองค์กรของตนเองเพื่อสร้างโอกาสในการดำเนินกิจการของตนเองได้ มูลเหตุแห่งความล่าช้าขององค์กรภาครัฐ กล่าวคือ พื้นฐานความรู้ความเข้าใจของคนในองค์กร ยังยึดความถูกต้องของกระบวนการและระเบียบกฎหมายเป็นเป้าหมายหลัก ค่านิยมการทำงานของข้าราชการต่างยึดหน้าที่ หวงงานไม่อยากให้คนอื่นทำของให้มีปริมาณงานมากๆ จะได้งานประมาณมาก ขาดความคิดเชิงบูรณาการในการบริหารงาน ชอบคิดแยกส่วนหรือใช้กรอบพื้นฐานความรู้เฉพาะด้านอธิบายความหมายทั้งหมด ทัศนคติของคนต่ออาชีพราชการ มีความคิดว่า ราชการเป็นงานที่มั่นคง ความดีไม่มีความชั่วไม่ปรากฎ อยู่ได้จนเกษียณ ขาดความกระตือรือร้นที่จะพัฒนาตนเอง เมื่อไม่พัฒนาตนเองทำให้ไม่กล้าที่รับเอาเทคโนโลยีใหม่ๆ เช้ามาปรับปรุงกระบวนการปฏิบัติงานของตนเอง
องค์กรภาคเอกชน ดังที่ทราบเป้าหมายขององค์กรภาคเอกชนคือแสวงหากำไรและให้ได้มาซึ่งผลประโยชน์ที่ตกอยู่เฉพาะคนเฉพาะกลุ่ม ซึ่งต่างกับองค์กรภาครัฐที่มิได้แสวงหากำไร แต่มุ่งเพื่อประโยชน์สาธารณะเป็นส่วนรวม วัตถุประสงค์ขององค์กรภาครัฐนี้ ถ้าพิจารณาภายในของเขตของรัฐ แต่ถ้าขยายภาพออกไปนอกประเทศไทย ประเทศจึงมีฐานะเป็นองค์กรหนึ่งในสังคมนานาชาติ ถ้าภาครัฐของไทยค้าขายกับภาครัฐประเทศอื่น ก็ต้องแสวงหากำไร ทัศนคติของคนหรือพนักงานต่ออาชีพงานเอกชนถือว่าเป็นงานที่ท้าทาย ความมั่นคงในอาชีพนั้นขึ้นอยู่กับความสามารถของคน หาใช่องค์กรไม่ ซึ่งต่างกับคนรับราชการ กล่าวคือ จะเอาความมั่นคงในอาชีพของตนฝากไว้กับความมั่นคงขององค์กร ทัศนคติเช่นนี้ ส่งผลให้คนในภาคเอกชนกระตือรือร้น ขวนขวายหาความรู้มากกว่าคนในภาครัฐ
ผู้เขียนเห็นว่า...ทั้งองค์กรภาครัฐและภาคเอกชนจะประสบผลสำเร็จได้ สิ่งหนึ่งที่ควรพิจารณาอันดับแรก คือ "ทรัพยากรมนุษย์ที่เป็นผู้นำ" ควรจะต้องมีความรู้ในศาสตร์นี้เกี่ยวข้อง มีประสบการณ์และทักษะทางการบริหาร พนักงานมีความใฝ่รู้ในเทคโนโลยีและเทคนิคการบริหารใหม่ๆ กระตือรือร้นพัฒนาตนเองอยู่ตลอดเวลา และต้องทำให้คนในองค์กรยอมรับการเปลี่ยนแปลงเป็นเรื่องปกติวิสัย ผู้นำต้องมีข้อมูลที่ครบถ้วนสำหรับตัดสินใจ ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่า ทรัพยากรมนุษย์คือทุนที่สำคัญขององค์กรทั้งภาครัฐและเอกชน ไม่ว่าจะทำอะไร จะพัฒนาอะไร จะสร้างองค์กร จะสร้างสังคม ชุมชนหรือครอบครัว หากมีการ "ลงทุน" กับทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจังแล้ว เชื่อว่าในวันข้างหน้าจะมีความคุ้มค่าและยั่งยืนอย่างแน่นอน
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันในหลายด้าน เช่น ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการบริหารจัดการ ด้านเทคโนโลยี ด้านโลจิสติกส์ ฯลฯ
- ด้านการพัฒนาบุคลากร ภาครัฐจัดทำโครงการอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากร โดยเรียนเชิญตัวแทนจากบริษัทเอกชนที่ประสบผลสำเร็จในการทำงานมาเป็นวิทยากร และอาจจะพาผู้เข้าอบรมไปดูงานที่บริษัทเอกชน
-ด้านการบริหารการจัดการ ภาครัฐ ยกตัวอย่างกระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบภารกิจผลผลิตของเกษตรกร ถ้าที่ไหนมีผลผลิตมาก ภาครัฐต้องร่วมมือกับภาคเอกชนในการกระจายผลผลิตไปสู่ผู้บริโภค เช่น ในปี 2550 ลองกองใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มีปัญหาห้างเทสโก้โลตัส ห้างแม็คโคร ห้างบิ๊กซี ต้องเข้าไปรับซื้อผลผลิตผ่านสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ นำไปจำหน่ายในห้าง
-ด้านเทคโนโลยี ภาครัฐไม่มีความชำนาญและประสบการณ์ จำเป็นต้องร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น รถไฟฟ้า
-ด้านโลจิสติกส์ ภาครัฐ ต้องร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งสินค้าไปขายในต่างประเทศ
ส่วนใหญ่จะเห้นว่าภาครัฐจะป็นผู้กำหนดนโยบาย และวางแผนงาน ภาคเอกชนเป็นผู้บริหารจัดการให้แผนงานของรัฐบรรลุเป้าหมาย โดยมีคนเข้ามาเป็นตัวจักรในการขับเคลื่อนในแต่ละด้าน โดยจะมีการใช้แรงงานคน ทำให้ประชาชนมีรายได้ นำมาใช้จ่าย เอกชนก็มีรายได้ และเอกชนก็มีผลกำไร เอกชนต้องเสียภาษีให้ภาครัฐ ภาครัฐนำเงินภาษีไปพัฒนาประเทศ และเอกชนยังสนับสนุนตอบแทนภาครัฐโดยการบริจาคผ่านองค์กรการกุศล ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า ฯลฯ
ภาครัฐกับภาคเอกชนเหมือนกัน
1. มีองค์กร
2. มีคนทำงานในองค์กร
3. มีผู้บริหาร
4. มีเงินทุน
5. มีวัสดุอุปกรณ์
ภาครัฐกับภาคเอกชนต่างกัน
ภาครัฐ ภาคเอกชน
1. มีกฎระเบียบมาก 1. มีความคล่องตัว
2. ขาดความคล่องตัว 2. ผู้บริหารมีอำนาจตัดสินใจ
สายบังคับบัญชาสั้น
3. มีสายบังคับบัญชายาวมาก 3. ใช้ระบบความรู้ ความ
สามารถในการพิจารณา
ความดีความชอบ
4. ใช้ระบบอุปถัมภ์ในการ
พิจารณาความดีความชอบ 4. คำนึงถึงผลกำไรเป็นหลัก
5. ไม่มีผลกำไรขาดทุนเป็นแรงจูงใจ 5. คำนึงลูกค้าเป็นหลัก
6. คำนึงการอยู่ดีกินดีของประชาชน
และความมั่นคงของประเทศชาติ
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ทั้งสององค์กรจะต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมีโครงสร้างขององค์กรที่คล้ายกันและต้องการบุคคลากรที่มีคุณภาพมีความรู้ความสามารถเหมือนกันเพื่อที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จแต่ภาครัฐมีสายการบังคับบัญชามากดังนั้นจึงส่งผลให้การทำงานของภาครัฐไม่ประสบความสำเร็จ และทำงานได้ล่าช้ามาก และผลงานออกมาไม่ค่อยมีคุณภาพ ดังนั้นจึงทำให้การบริหารจัดการของภาคเอกชนมีความรวดเร็วและคล่องตัวกว่า และมีมาตราฐานมากกว่าเป้าหมายที่ได้วางแผนไว้ว่าจะต้องทำอะไรก็จะส่งผลให้ประสบความสำเร็จได้มากกว่าเพราะองค์กรเอกชนต้องดิ้นรนต่อสู้เพื่อที่จะให้ตัวเองอยู่รอดได้และมุ่งหวังแต่ผลกำไร แต่ภาครัฐไม่ได้มุ่งหวังผลกำไรแต่มีเป้าหมายคือ การให้ความเสมอภาคและการให้บริหารต่อประชาชน ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นภาครัฐและเอกชนมีโครงสร้างมีการบริหารจัดการที่เหมือนกัน ต้องการบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาอยู่ในองค์กร โดยผ่านการคัดเลือก มีการวางแผนงานและปฏิบัติงาน การควบคุมงาน การฝึกอบรม การบริหารทรัพยากรมนุษย์ ดังนั้นภาครัฐและภาคเอกชนต่างก็ต้องการได้รับผลตอบแทนมีการแสวงหาผลประโยชน์ ต้องการให้คนนับถือ ต้องการได้รับการยกย่องจากคนในองค์กร ส่วนภาคเอกชนก็ต้องการหวังผลกำไรเช่นกัน
- มีการพัฒนา คนในองค์กรอยู่เสมอ
และที่สำคัญ ของภาครัฐและภาคเอกชน คือ การรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและของนายจ้างจำแนกตามโครงสร้าง | ภาครัฐ | ภาคเอกชน |
1. องค์กร | กระทรวง/กรม- นโยบาย- วิสัยทัศน์- พันธกิจ- กลยุทธ์ | บริษัท- เป้าหมาย(รวมถึงรายรับ กำไร ส่วนแบ่งตลาด)- โอกาส- คุณภาพชีวิต |
2. ส่วนงาน | ข้าราชการ- จัดทำแผน/กิจกรรม- ปฏิบัติตามระเบียบ/กฎเกณฑ์- การประสานงานที่ดีตามขั้นตอน- ลดขั้นตอนการทำงานให้เกิดความเร็วโดยใช้เทคโนโลยี- ใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ | บุคลากร- ผลิตสินค้าใหม่ตามแผน เน้นคุณภาพของสินค้า- เน้นความรวดเร็วและบริการที่ดี- ใช้เทคโนโลยีมากขึ้น- ราคาต่ำ (ลดต้นทุน) |
3. ผู้รับบริการ | ประชาชน- การกินดีอยู่ดี- รายได้ต่อครัวเรือน- มีการจ้างงานมากขึ้น- ความพอใจ | ลูกค้า- สินค้าที่มีคุณภาพ- ความพอใจ |
4. มีมาตรฐาน การให้บริการ
สิ่งที่ภาครัฐและภาคเอกชน มีความคิดเชื่อมโยงเหมือนกันคือการกำหนดตัววัดที่มนุษย์ เชิงบริหารจัดการ ( Human capital management resourced ) เช่น- ด้านการสรรหา คัดเลือกคน- ค่าตอบแทนและสวัสดิการ- ด้านการดำรงรักษา คน ไว้กับองค์กร- มีการพัฒนา คนในองค์กรอยู่เสมอ และที่สำคัญ ของภาครัฐและภาคเอกชน คือ การรักษาผลประโยชน์ของส่วนรวมและของนายจ้างเรียน ศ.ดร.จิระ หงส์ลดารมภ์ และเพื่อนๆ MPA รุ่นที่ 4 ทุกท่าน
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ผู้ศึกษามีแนวคิดว่า ความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐ และภาคเอกชน ต้องเกื้อกูลกัน โดยภาครัฐต้องทบทวนบทบาทและปรับปรุงจากเดิมเป็นผู้ปฎิบัติและควบคุม มาเป็น ผู้สนับสนุนและอำนวยความสะดวก และ/หรือให้การสนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชน โดยส่งเสริมให้ภาคเอกชนเข้ามามีส่วนร่วมในการทำงานและประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง สามารถตรวจสอบได้ สร้างความโปร่งใส ภาครัฐต้องปรับโครงสร้างของระบบเล็กลง ลักษณะการทำงานเป็นแบบทีมงาน มีทักษะที่หลากหลาย การทำงานที่เน้นประสานความร่วมมือ(เหมือนภาคเอกชน)แทนการออกคำสั่ง ภาครัฐต้องมีวิสัยทัศน์ที่สร้างพลังใจร่วมกับบุคลากร และทำให้ทุกคนเชื่อมั่นศรัทธาซึ่งกันและกัน บุคลากรมีความมุ่งมั่นเอาใจใส่ต่อหน้าที่ความรับผิดชอบ พัฒนาการทำงานให้ดีขึ้นทั้งปริมาณและคุณภาพเป็นการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า และนำพาไปสู่ความเป็นเลิศดังเช่นภาคเอกชน การพัฒนาขีดความสามารถและมาตรฐานการทำงานของภาครัฐให้อยู่ในระดับสูง ฉะนั้น ผู้บริหารทุกระดับควรจะเป็นตัวอย่างที่ดีมีความพร้อมและยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลงที่จะนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บริหารฯ ต้องมีทัศนคติแบบ "ฉันทำได้" กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาและอุปสรรค มีความอดทน อดกลั้นต่อความยากลำบาก และฟันฝ่าต่ออุปสรรคนั้นจนประสบความสำเร็จ ดังสุภาษิตคำพังเพยที่กล่าวว่า "ความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จอยู่ที่นั่น" อย่างรก็ตาม การพัฒนาระบบราชการทั้งหลายทั้งปวงที่กล่าวมานี้เพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติและประชาชน
ภาครัฐและเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร ?
หากจะมองความเหมือนก็จะมองไปถึงภาระกิจของการมีส่วนร่วมในการพัฒนาองค์ ซึ่งเป็นการขับเคลื่อนระบบซึ่งทั้งภาครัฐและเอกชน จะเข้ามาเกี่ยวข้องกันมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องเกี่ยวกับเศรษฐกิจ มากกว่าที่จะมาเกี่ยวข้องทางด้านการเมือง และสังคม แต่นั่นก็เป็นตัวแปรอย่างหนึ่งที่จะเป็นตัวเชื่อมของระบบเศรษฐกิจ ไปสู่ความแปรเปลี่ยนเสื่อมถอย หรือพัฒนาของภาคใหญ่ ๆ ในระดับชาติได้ และสิ่งที่เอกชน และภาครัฐมีสิ่งคล้าย ๆ กัน ก็คือ รูปแบบองค์กร การบริหารจัดการ มีงบประมาณ การฝึกฝนอบรม ซึ่งในกิจกรรมบางอย่าง รัฐอาจจะบริหารได้ดีกว่าเอกชน แต่มีส่วนน้อยมาก เอกชนเป็นองค์กรระดับจุลภาค มีสายงานการบังคับบัญชาน้อย ทำให้เกิดการคล่องตัว เกี่ยวกับบุคลากรก็มีเกณฑ์มาตรฐานวัดประสิทธิภาพของการทำงาน มีการให้ออก เป็นต้น แต่ราชการเอกลักษณ์อย่างหนึ่งก็คือ ความมั่นคง แต่ภาครัฐ หรือราชการเองก็เริ่มนำวิธีการของเอกชนมาใช้ในการบริหารจัดการ จะเห็นได้ว่า การบรรจุเข้ารับราชการในทุกวันนี้ ไม่นิยมบรรจุแบบตลอดชีพ จะมีการจ้างแบบลูกจ้างชั่วคราว หรือรายปี
ราชการหรือภาครัฐเป็นองค์กรที่ใหญ่ มีสายการบังคับบัญชาซับซ้อน และมีวัฒนธรรมองค์กรที่หยั่งยากลึก ยากที่จะแก้ไข คือระบบเจ้าขุนมูลนาย ติดอยู่กับความคิดว่าตนเป็นเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจเหนือประชาชน ทั้งที่จุดประสงค์ของการกำเนิดราชการก็เพื่อให้มารับใช้ประชาชน มีระบบอุปถัมภ์ซึ่งมองในแง่หนึ่งก็อาจจะดี คือการติดต่อประสานงาน ความมีน้ำใจ ตามสังคมไทย เอื้อเฟื้อต่อกัน แต่มันก็เป็นบ่อเกิดของการคอรัปชั่น เล่นพรรคพวก ถึงจุดนี้ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงบทเพลงบทเพลงหนึ่ง ที่ว่า "เช้าชามเย็นชามสองขั้นปี แต่คนขยันทำงานดี ไม่มี ๆ ไม่มองมา อย่างนี้เมื่อไหร่บ้านเมืองไทย เจริญก้าวไกลทัดเทียมทัน นานาประเทศดังคำขวัญ ที่เขียนเอาไว้สวยดี" นั่นแสดงถึงการอ่อน หรือจุดอ่อน จุดบอดของวงราชการ ที่เล่นพรรคพวก และผู้นำขาดความยุติธรรม ความโปร่งใสในการบริหาร ถ้าแก้ไขสิ่งเหล่านี้ในราชการได้ สังคมไทยจะเป็นสังคมที่น่าอยู่ และพัฒนาไปได้เร็วอย่านี้
สิ่งที่พึงเล็งเห็นในการบริหารทั้งภาครัฐและเอกชน ก็คือ ตัวทรัพยกรอย่างหนึ่งที่เรียกว่า มนุษย์ (Human) ซึงจะเป็นตัวแปรต่อการนำพาองค์กร ไปในทิศทางที่เสื่อมหรือเจริญ หลายประเทศให้ความสนใจในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เป็นอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่นเวียดนาม ซึ่งดูเหมือนว่าทุกวันนี้ เขาจะพัฒนาแซงหน้าไทยไปแล้ว นั่นเพราะคนของเขามีคุณภาพ หากประเทศไทยเรายังเป็นแบบที่เป็นอยู่ บางที่อาจจะเป็นประเทศที่ล้าหลัง แม้กระทั่งประเทศลาววว..
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
- ภาครัฐเป็นผู้บริหารประเทศ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ประชาชนอยู่ดี กินดี มีความสุข ส่วนภาคเอกชนเปรียบเสมือนประชาชนของประเทศ ซึ่งมีเป้าหมายในการมุ่งบริหารจัดการให้กิจการของตนมีผลกำไรมากที่สุด แต่ในปัจจุบันภาคเอกชนหันมาให้ผลตอบแทนคืนประโยชน์สู่สังคมด้วย
- งบประมาณในการบริหารประเทศได้มาจากภาษีของภาคประชาชน / ภาคเอกชน โดยถือเป็นหน้าที่
- ภาครัฐเป็นผู้ดูแล ควบคุม การสร้างสิ่งอำนวยความสะดวก สาธารณูปโภคต่างๆ ในขณะที่ภาคเอกชนเป็นผู้ดำเนินการสร้างเพราะมีความเชี่ยวชาญ ความชำนาญเฉพาะด้าน จึงทำให้มีประสิทธิภาพมากกว่าภาครัฐ เช่น การก่อสร้างสาธารณูปโภคต่าง ๆ
- การนำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหาร ภาคเอกชนจะมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย ปัจจุบันภาครัฐหันออกมาให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี มีการนำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เช่น Internet
- ผลตอบแทน สวัสดิการ มีผลต่อทรัพยากรบุคคล โดยที่ภาคเอกชนให้ผลตอบแทนที่สูง จึงส่งผลให้บุคลากรที่มีความสามารถไปอยู่กับภาคเอกชนมาก จึงทำให้ภาครัฐขาดแคลนบุคลากรที่มีคุณภาพ
- โครงสร้างการบริหารจัดการ ภาครัฐมีโครงสร้างที่เป็นแนวราบ การดำเนินการตัดสินใจสั่งการเป็นไปได้ช้า แตกต่างจากภาคเอกชนเป็นแนวตั้ง ปัจจุบันภาครัฐได้หันมาให้ความสำคัญมากยิ่งขึ้น จึงเกิดการกระจายอำนาจสู่การปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานภาครัฐในส่วนของการบริการประชาชน ก็มีความเป็นจุดบริการ One Stop Service มากขึ้น
- นโยบายการบริหารประเทศ ส่งผลต่อภาคเอกชนโดยตรง เช่น นโยบายการเงิน การคลัง เพิ่มภาษี ลดภาษี ล้วนส่งผลไปยังผลประกอบการและความเป็นอยู่ของประชากร
ภาครัฐและภาคเอกชนมีการเชื่อมโยงกันอย่างไร
- ภาครัฐในที่นี้จะหมายถึงรัฐบาลซึ่งมีหน้าที่ในการบริหารประเทศ โดยมีหน้าที่ที่จะทำอย่างไรให้ประชาชนอยู่ดี กินดี และมีความสุข นั่นก็คือเป้าหมายสูงสุด
- ส่วนภาคเอกชนที่หน่วยเล็กที่สุดคือประชาชนแต่ละบุคคลไล่เรียงลำดับขั้นไปเป็นหน่วยงานที่ใหญ่ๆขึ้นไป ได้แก่ ห้างร้าน บริษัท ต่างๆ เรื่อยๆขึ้นไป จากที่มีสมาชิก 1 คนเป็นร้อยหรือเป็นพันๆคนขึ้นไป
- ภาครัฐและภาคเอกชนต้องมีความเชื่อมโยงกันหรือมีความสัมพันธ์กันนั่นเองเพื่อที่จะก่อให้เกิดความเจริญก้าวหน้าในสังคมจะขาดสิ่งหนึ่งสิ่งใดไปไม่ได้ , รัฐเป็นผู้บริหารให้ประชาชนอยู่ดีมีสุขมีงานทำมีรายได้ ขายสินค้าไปต่างประเทศได้ มีรายได้อย่างสมบูรณ์ รัฐก็สามารถเก็บภาษีจากประชาชนได้อย่างทั่วถึง รัฐมีการส่งเสริมให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้น ประชาชนก็จะมีงานทำมากขึ้น มีรายได้ต่อบุคคลหรือต่อบริษัทต่อหน่วยงานนั้นๆมากขึ้น รัฐก็มีการเก็บรายได้มากขึ้นตามลำดับสามารถนำเงินมาบริหารประเทศได้มากขึ้นทำให้ประเทศเจริญก้าวหน้า
- ในทางตรงกันข้ามถ้าภาครัฐและภาคเอกชนเดินกันคนละทางไฉนเลยรัฐจะเก็บรายได้จากภาคเอกชนได้นั่นก็คือประเทศชาติคงจะล่มสลายทางระบบเศรษฐกิจแน่นอน
สมาชิกกลุ่ม 5
1. น.ส. หทัยพัชร์ จุลเจริญ 50038010001
2. น.ส. นงนุช บัวขำ 50038010012
3. น.ส. ภัทรพร จึงทวีสูตร 50038010035
4. น.ส. สายฝน ด้วงทอง 50038010011
5. น.ส. ญานิสา เวชโช 50038010013
6. น.ส. อมเรศวร์ พฤฒปภพ 50038010023
7. นาง กัณจนา งามน้อย 50038020006
8. น.ส วิวิตรา จุลกรานต์ 50038010028
9. นาย ฉลอง บ่มทองหลาง 50038010008
จากการชมบทสัมภาษณ์ของคุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา กลุ่ม 5 ขอสรุปสาระสำคัญดังนี้ เริ่มจาก การที่คุณพารณ ใช้ปรัชญาและอุดมการณ์ในการที่นำคนมาใช้ในธุรกิจ คือ การทำสิ่งใดให้ดี ต้องมีความเชื่อ ความศรัทธาขึ้นก่อน ต้องเชื่อมั่นในคุณค่าของคน ผู้ใหญ่ต้องให้ความสำคัญเรื่องคน คนจึงเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดในองค์การ เพราะทุกอย่างเกิดขึ้นเกิดคน คนมาช่วยแก้ปัญหา มาช่วยเสนองานต่างๆ และมีทั้งคนที่สร้างปัญหา และถ้าเราบริการคนดีแล้วก็พาองค์กรก้าวหน้า “ มอเตอร์ไซค์นานไปมันเสื่อมค่าลง แต่คนที่อยู่กับเรามีค่าเพิ่มขึ้นทุกปีๆ” คำพูดนี้ก็หมายถึง “คน” เพราะถ้ามีการฝึกอบรมบุคลากรในองค์กรอยู่เสมอ ทั้งด้านวิชาการและด้านความรู้ต่างๆแล้วดังนั้นคุณค่าของคนหรือบุคลากรในองค์กรก็จะเพิ่มขึ้นเพราะโลกปัจจุบัน โลกแคบลงเพราะมีการโทรคมนาคม การกีดกันการค้าจึงเป็นไปไม่ได้ การทำงานให้มีประสิทธิภาพ จึงต้องมีเทคโนโลยีและเครื่องจักรที่ทันสมัย ก็หนีไม่พ้น”คน” ที่ต้องพัฒนาคนและฝึกทักษะให้รับกับเทคโนโลยีต่างๆ คุณพารณ ได้ให้ความสำคัญกับคนโดยมองคนเป็น 2 ประเภท คือ 1. คนภายในองค์กร 2. คนภายนอกองค์ คือ ลูกค้า ผู้ใช้บริการหรือสินค้า เพื่อให้ลูกค้าพอใจในการบริการหรือสินค้าของเรา โดยหลักการที่คนเป็นทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญที่ในองค์กรนั้น คุณพารณ ยังใช้อุดมการณ์ “ตั้งมั่นในความเป็นธรรม” เป็นจรรยาบรรณในการบริหารองค์และของพนักงานในการทำงาน ทั้งนี้ ผู้ใหญ่ในองค์กรต้องประพฤติปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย เพื่อผลที่มีค่าในระยะยาวต่อไป ไม่ว่าจะเป็นการได้รับความเชื่อถือต่างๆ การมององค์กรและบุคลากรในภาพลักษณ์ที่ดี ดังคำพูดที่ว่า “ธรรมะ ย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม” และในการบริหารทรัพยากรมนุษย์นั้นต้องมีวิธีกลไกสร้างความผูกพันระหว่างบุคลากรกับองค์กร คุณพารณ ให้ความสำคัญตั้งแต่เริ่มเดินเข้ามาอยู่ในองค์กร ดูแลระหว่างอยู่ในองค์กร โดยต้องมีสวัสดิการ มีการปกครองที่ดี ให้มีการพิสูจน์ตัวเอง ในการโยกย้ายเลื่อนขั้น ขึ้นเงินเดือน มีส่วนร่วมในการบริหารองค์กร และจนถึงเกษียณไปต้องให้ผลประโยชน์ให้เค้าดำรงชีพต่อไป และที่สำคัญ การทำให้บุคคลากรผูกพันกับองค์กรนั้นต้องเกิดจากผู้บังคับบัญชาให้ความใกล้ชิดสนิทสนมกับลูกน้อง รักลูกน้อง ลูกน้องจะรักเรา ดังนั้นจะเห็นได้ว่าคุณพารณให้ความสำคัญกับ ”คน” ที่เป็นทรัพยากรมนุษย์ที่มีค่าที่สุดในองค์กรเพราะคนที่ดี, เก่ง, มีคุณธรรม,รักองค์กร จะเป็นพลังพาให้องค์กรก้าวไปสู่ความสำเร็จ
การที่จะทำให้การบริการด้วยบัตร Smart Card ก้าวต่อไปได้อย่างมั่นคง มีประสิทธิภาพและคุ้มค่า ระบบฐานข้อมูลบุคคลนี้จะมีฐานะเป็นระบบฐานหลัก Core engine และศูนย์กลางหรือ HUB ในการเชื่อมโยงข้อมูลบุคคลกับหน่วยงานต่าง ๆ โดยใช้เลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก ร่วมกัน โดยมีหน่วยของรัฐเข้ามารับผิดชอบ ในการขับเคลื่อนการใช้งานบัตรให้เกิดความคุ้มค่า และให้ประโยชน์สูงสุด
เมื่อเริ่มนำเอาปัญหาความต้องการของประชาชนสู่ระบบการลงทะเบียนเพื่อแยกแยะ วิเคราะห์ และกำหนดวิธีในการแก้ไขปัญหาได้ตรงจุดและตรงความต้องการของประชาชน เป็นการนำเครือข่ายการเชื่อมโยง และเครื่องมือนี้มาใช้งานทำให้รัฐบาลได้เข้าถึงความต้องการและทราบปัญหาของประชาชนได้โดยตรงและเร็วมากขึ้น ทำให้รัฐบาลรับรู้ข้อมูลประชาชนและมีระบบฐานข้อมูลบุคคลของประเทศทุกปัญหาของประชาชนที่รัฐต้องการอยากรู้ ถือว่าเป็นการบริหารงานและแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน
บัตร Smart Card สะท้อนสิ่งที่โลกยุคใหม่เรียกว่า Speech คือ
ความรวดเร็วในการแข่งขัน และเข้าถึงข้อมูลของบุคคลของผู้ให้บริการรวมถึงหน่วยงานรัฐบาลที่จะจัดสรรงบประมาณ ปรับปรุงประสิทธิภาพของการบริการไปถึงมือประชาชน ต่อไปนี้ประชาชนจะไม่ต้องพะวงกับการหอบเอกสารหลักฐานไปแสดงหรือพิสูจน์ยืนยันตัวเอง ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องกังวลกับการที่จะถูกแอบอ้างชื่อของตัวเองไปใช้ในทางมิชอบ ผิดกฎหมาย โดยเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือคนอื่น การเชื่อมโยงเหล่านี้ถือว่ามีประโยชน์มากมาย เช่น รัฐบาลประหยัดงบประมาณ เรื่องของข้อมูลบุคคล เอกชนหรือประชาชนก็สะดวกสบายในการติดต่อราชการถือบัตรประชาชนใบเดียวก็สามารถติดต่องานราชการได้และประสบผลสำเร็จ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าประชาชนจะไปทำหนังสือเดินทางไปต่างประเทศ ไม่ต้องใช้เอกสารอะไรเลย มีบัตรประชาชนใบเดียวก็ใช้ได้แล้ว และยังมีอีกหลายหน่วยงานที่สามารถนำบัตรประชาชนไปติดต่องานได้เลย
ดังนั้นบัตรสมาร์ทการ์ด จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการปฏิรูประบบราชการ โดยการนำเอาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาใช้ในการบริการแก่ประชาชน เพื่อให้ส่วนราชการพัฒนาระบบบริการประชาชนให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ถามว่าภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ตราบใดที่ประเทศยังต้องมีการพัฒนาประเทศและทำการค้าระหว่างประเทศความเชื่อมโยงระหว่างภาครัฐและเอกชนยังคงต้องมีความเชื่อมโยงกันตลอดเวลาไม่ว่าในด้านไดก็ตามถ้ารัฐยังต้องอาศัยภาษีจากภาคเอกชนมาบริหารประเทศและพัฒนาประเทศอีกส่วนหนึ่งเป็นเงินเดือนของข้าราชการ ภาคเอกชนเองก็ต้องอาศัยภาครัฐเป็นตัวแปรในการติดต่อค้าขายระหว่างประเทศเพื่อแสดงถึงความเชื่อมั่นโดยมีภาครัฐคอยให้ความช่วยเหลือด้านความได้เปรียบเสียเปรียบทางการค้า ส่วนภายในประเทศภาครัฐเองก็คอยกำกับดูแลภาคเอกชนในการพัฒนาความเจริญเติบโตด้านสาธราณะประโยชน์โดยเปิดให้ภาคเอกชนเข้ามาประมูลโครงการต่าง เช่นโครงการสนามบินสุวรรณภูมิ,โครงการรถไฟฟ้า,เพื่อให้เกิดความสะดวกสบายแก่ประชาชนทั่วไปในยุกโลกาภิวัฒน์ จะเห็นได้ว่าที่ว่ามาทั้งหมดภาครัฐและภาคเอกชนเป็นหลักทั้งนั้น ประเทศชาติจะอยู่ได้ก็ต่อเมื่อเศษฐกิจเป็นไปในทิศทางเดียวกันเมื่อผู้นำของประเทศสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนที่จะมาลงทุนในประเทศ ๆ ก็จะอุดมสมบูรณ์ไปด้วยภาคธุรกิจที่มีเอกชนเป็นผู้บริหารโดยมีภาครัฐเป็นผู้กำกับและมอบนโยบาย ประชากรก็จะมีงานทำมากขึ้นรัฐก็ไม่มีความจำเป็นต้องเสียงบประมาณมาค่อยช่วยเหลือประชากรที่ว่างงานอีกต่อไป ภาคเกษตรกรชาวไร่ชาวนาเปรียบเหมือนกับภาคเอกชนขนาดเล็กที่รัฐคอยให้ความช่วยเหลือตั้งแต่เริ่มผลิตจนถึงการหาตลาดตลอดจนประกันราคาให้กับเกษตกร การค้าภายในและภายนอกแม้นแต่ค่าของเงิน รัฐเองก็จะต้องเข้าไปให้ความช่วยเหลือตลอดเวลาเพื่อไม่ให้ค่าของเงินอ่อนหรือแข็งเกินไปหากรัฐไม่เข้าไปกำกับดูแลก็จะก่อให้เกิดปัญหาตามมาในสภาวเศษฐกิจถดถอย
สรุป ได้ว่าภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันตลอดเวลาและไม่สามารถที่จะแยกออกจากกันได้ โดยมีวัตถุประสงค์ต่างกันก็คือภาครัฐต้องการผลประโยชน์โดยส่วนรวมมากกว่าแต่ไม่ต้องการแสวงหาผลกำไรตรงกันข้ามภาคเอกชนต้องการแสวงหาผลกำไรมากกว่าผลประโยชน์โดยรวม
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร..
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความสัมพันธ์เกื่อกูลกันโดยตลอดทุกยุกทุกสมัย ภาครัฐมีภาระหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ออกกฎหมาย กฎระเบียบ วิธีปฏิบัติโดยมีข้าราชการประจำเป็นผู้ควบคุมกฎเกณฑ์ต่างๆนั้นโดยมีเป้าหมายคือการทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุข ส่วนภาคเอกชนคือกลุ่มบุคคลหรือนิติบุคลที่ประกอบธุรกิจโดยมีเป้าหมายคือผลกำไร
การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนจำเป็นต้องมีทิศทางและกลไกทางด้านกฏระเบียบที่ทางฝ่ายภาครัฐเป็นผู้ที่กำหนด มิฉะนั้นแล้วจะเกิดความแตกแยกเอารัดเอาเปรียบในเชิงธุรกิจ ต่างคนต่างคิดต่างคนต่างทำสุดท้ายไม่สามารถควบคุมได้อันจะทำให้เกิดความเสียหายให้กับประเทศชาติ ภาคเอกชนเมื่อดำเนินธุรกิจมีผลกำไรจากการประกอบการ ภาครัฐก็กำหนดให้มีการปันผลในรูปของเงินภาษีคืนกลับมาสู่ภาครัฐ เป็นทุนในการบริหารจัดการประเทศให้พี่น้องประชาชนอยู่ดีมีสุข และขณะเดียวกันเมื่อภาคเอกชนมีปัญหาในการประกอบการธุระกิจ เช่นในสภาวะค่าเงินบาทแข็งตัวส่งผลให้ผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกเสียหาย ภาครัฐก็เข้าไปมีส่วนร่วมในการพยุงค่าเงินบาทเพื่อมิให้ระบบเศรษฐกิจของประเทศต้องชงักงันตามสภาวะของเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นในปัจจุบันลดความสูญเสียให้กับภาคเอกชน
ภาครัฐมีในที่นี้ คือ กระทรวง ทบวง กรม ต่างๆมีภาระหน้าที่ในการกำหนดนโยบาย ออกกฎหมาย กฎระเบียบ โดยมีเป้าหมายคือการทำให้ประชาชนอยู่ดีกินดีมีความสุข
ส่วนภาคเอกชนคือกลุ่มบุคคลหรือนิติบุคคลดำเนินกิจกรรมในรูปองค์กรธุรกิจโดยมีเป้าหมายคือผลกำไร
สิ่งที่ภาครัฐกับเอกชนมีความเชื่อมโยงกันตามความเข้าใจของข้าพเจ้า คือ ทังภาครัฐและเอกชนนั้นดำเนินกิจกรรมในรูปขององค์กร มีการบริหารจัดการที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายกัน และกลุ่มเป้าหมายหรือลูกค้านั้นคือประชาชน ภาครัฐนั้นให้บริการประชาชนโดยไม่มุ่งเน้นหากำไรส่วนเอกชนนั้นแสวงหากำไรกับประชาชนซึ่งภาคเอกชนนั้นต้องแสวงหากำไรเพื่อความอยู่รอดของตนแต่หน่วยงานภาครัฐนั้นเป็นองค์กรขนาดใหญ่ มีกฎระเบียบต่างๆนานา เยอะมากซึ่งประกอบกับการบริหารจัดการแบบเก่าๆทำให้เป็นอุปสรรคในการให้บริการ ทำให้เกิดความล่าช้ามาก ซึ่งแตกต่างกับภาคเอกชนซึ่งมีประสิทธิภาพในการบริหารจัดการมากกว่าทำให้เกิดความคล่องตัวสูงและมีประสิทธิภาพ ทำให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจในสินค้าและการบริการของตนเองมากที่สุด และแน่นอนต้องแลกกับค่าตอบแทนกับการให้บริการนั้นๆ
ปัจจุบันภาครัฐกับเอกชนนั้นมีความเชื่อมโยงกัน ในด้านของการให้บริการประชาชนมาก เพราะโครงการต่างๆที่ภาครัฐต้องการจัดสร้างให้บริการประชาชน เช่น โครงการรถไฟฟ้าใต้ดินสายต่างๆ หากจะรอให้รัฐดำเนินการ คงใช้เวลาเนิ่นนานมาก ดังนั้น เอกชนซึ่งมี ทุน มีการจัดการที่มีประสิทธิภาพมากกว่า มีความคล่องตัวสูง จึงเข้ามามีส่วนร่วมกับการให้บริการประชาชน ในการประมูลโครงการต่างๆของทางภาครัฐ เพื่อให้กิจการต่างๆของทางภาครัฐขับเคลื่อนไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์กับประชาชนสูงสุด
สิ่งที่ทำภาคเอกชนมีประสิทธิภาพมากกว่าภาครัฐ คือ คุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ ที่ภาคเอกชนมีมากกว่า เพราะภาคเอกชนมีการแข่งขันกันสูงทำให้มีการพัฒนาศักยภาพอยู่ตลอดเวลา ส่วนภาครัฐยังขาดความเอาใจใส่ในทรัพยากรมนุษย์ซึ่ง ภาครัฐต้องเร่งเพิ่มศักยภาพทรัพยากรมนุษย์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการประชาชน ให้คุ้มค่ากับเงินภาษีที่เอกชนต้องเสียให้กับภาครัฐ ทั้งนี้เพื่อความเจริญของประเทศชาติ
* วาทะ “การประกอบธุรกิจไม่ควรคำนึงถึงแต่กำไรอย่างเดียว ควรคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย”
3. ขนาดธุรกิจที่ขยายตัวขึ้นจะกระทบต่อประสิทธิภาพการบริหารทรัพยากรมนุษย์หรือไม่?
กลุ่มที่ 2 (กลุ่มคนจับปลา : Fisherman Party)
1. พระศุภสิน ศักศรีวัน
2. พระมหาวิทยา นางวงศ์
3. นางสาวนลินี โลพิศ
4. นางสาวศศินี โพธิทอง
5. ส.ท.สราวุธ ดอกไม้จีน
6. นายสุรัชต์ ชวนชื่น
7. นายธนิก กัมพูศิริพันธ์
8. นายสุรภัทร ปานทอง
9. นายกิติพัฒน์ ตันตสุรฤกษ์
ภารกิจที่ 2 (Mission Two) : บทสัมภาษณ์ คุณพารณ อิสรเสนา ณ อยุธยา
มีคนกล่าวว่า "กองทัพต้องเดินด้วยท้อง" ทำให้คิดไปว่า ถ้าเราจะเปรียบเทียบการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์กับเรื่องอาหาร จะสามารถเปรียบเทียบได้หรือไม่ โป๊ะเชะ!!..แล้วข้อความหนึ่งก็ผุดขึ้นในสมอง " อาหารที่ดีมีคุณภาพมีประโยชน์ต่อร่างกาย..ฉันใด บุคคลที่ดีมีคุณภาพย่อมมีประโยชน์ต่อองค์กร..ฉันนั้น" หลังจากทุกคนในชั้นเรียนเติมพลังด้วยอาหารกล่องมื้อเที่ยงเรียบร้อยแล้ว ต่างพากันรีบกลับไปนั่งประจำที่เพื่อรอขึ้นเขียง เพราะใกล้เวลาภาพอันระทึกและมีผลต่อคะแนนกำลังจะปรากฎต่อสายตาทุกคนในไม่ช้า..
ผู้ดำเนินรายการ : ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์
ผู้ร่วมรายการ : คุณพารณ อิสรเสนา ณ อยุธยา (อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ บ.ปูนซีเมนต์ไทย)
ผู้มีส่วนร่วม : นักศึกษามหาบัณฑิต คณะศิลปศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
-------------------------------------------------------------------------------------------
เนื้อหาของบทสัมภาษณ์ พอสรุปได้ดังนี้ :
1. ปรัชญาและอุดมการณ์การทำงานของท่านมีแนวทางอย่างไร?
ตอบ การกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้ดีได้ต้องมาจากองค์ประกอบต่าง ๆ คือ
- ความเชื่อ และความศรัทธาเชื่อมั่นต่อคน ว่าคนเป็นสมบัติอันทรงคุณค่าขององค์กร
- คนไม่จำเป็นต้องจบมาจากสถานศึกษาที่มีชื่อเสียง หรือสายงานที่ตรงก็สามารถพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นเลิศได้
- ในทางเศรษฐศาสตร์ คน คือ ทรัพยากรที่มีคุณค่ายิ่ง ยิ่งนานยิ่งสั่งสมประสบการณ์ และเพิ่มคุณค่าซึ่งต่างจากวัสดุอุปกรณ์เครื่องใช้ต่าง ๆ ถ้ามีการอบรม ฝึกทักษะในทุกด้านทั้งด้านวิชาการ การปกครอง ความรู้ใหม่ ๆ มากขึ้น
*วาทะ “วัสดุอุปกรณ์ใช้แล้วยิ่งนานยิ่งค่าลด แต่คนนับวันยิ่งมีค่า”
2. ในฐานะที่เป็นผู้บริหารที่ประสบความสำเร็จมีแนวทางอย่างไรที่จะนำไทยไปสู่ตลาดแห่งการแข่งขันระดับโลก ?
ตอบ - เราต้องมี Vision หรือมโนทัศน์มองไปข้างหน้าให้ยาว เล็งเห็นความสำคัญ
- ให้ความสำคัญกับข้อมูลข่าวสาร
- การประกอบธุรกิจจะต้องทำให้มีประสิทธิภาพในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า คนต้องมีความรู้ ทักษะในการใช้เทคโนโลยีเป็นอย่างดี
- เห็นความสำคัญของคน 2 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มคนภายในองค์กร ซึ่งเป็นคนขับเคลื่อนองค์กร ต้องดูแลเอาใจใส่
2. กลุ่มคนนอกองค์กร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อการอยู่รอดขององค์กรซึ่งก็คือลูกค้า ซึ่งต้องแข่งขันกันทั้งทางด้านรูปลักษณ์ การบริหาร เพื่อให้เป็นที่ต้องการของผู้บริโภค ถ้าผลิตสินค้าออกมาไม่เป็นที่ต้องการของลูกค้า บริษัทก็อยู่ไม่ได้
* วาทะ “การประกอบธุรกิจไม่ควรคำนึงถึงแต่กำไรอย่างเดียว ควรคำนึงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย”
3. ขนาดธุรกิจที่ขยายตัวขึ้นจะกระทบต่อประสิทธิภาพการบริหารทรัพยากรมนุษย์หรือไม่?
ตอบ ปัญหาที่สำคัญของการเพิ่มขนาดขององค์กร คือการติดต่อสื่อสาร ระบบการตัดสินใจ ซึ่งจะต้องมีการกระจายอำนาจสู่บริษัทลูกให้มากขึ้น เพื่อให้เกิดความคล่องตัว แต่ต้องมั่นใจในตัวบุคคลที่มอบอำนาจให้ว่าใช้อำนาจในทางที่ถูกต้อง โดยการใช้ธรรมะเข้ามาเป็นองค์ประกอบ
* วาทะ “ธรรมะย่อมรักษาผู้ประพฤติธรรม”
4. ท่านมีคุณธรรมในการบริหารงานภายในบริษัทอย่างไร?
ตอบ คุณธรรมนั้นเป็นวัฒนธรรมและประเพณีของบริษัทมาตลอด 80 ปีจนมีการเขียนเป็นจรรยาบรรณพนักงานของเครือซีเมนต์ไทยให้พนักงานปฏิบัติ โดยผู้ใหญ่จะต้องปฏิบัติตัวเป็นแบบอย่างที่ดี ไม่มีการคอรัปชั่น มีจรรยาบรรแม้แต่กับคู่แข่งทางธุรกิจก็ต้องมีจริยธรรม ซึ่งข้อนี้เป็นอุดมการณ์ของบริษัทข้อที่ 1.ว่าต้อง “ตั้งมั่นในความเป็นธรรม” ซึ่งนำหลักธรรมทางพุทธศาสนามาใช้ และเป็นผลดีในการสร้างความเคารพและเชื่อถือในระยะยาว
* วาทะ “องค์กรใหญ่ขึ้นใช่ว่าจะบริหารยาก ถ้าว่าหากมีการปรับและพัฒนาเสมอ”
5. ท่านมีวิธีการอย่างไรในการสร้างความผูกพันในการรักษาคนไว้ในองค์กร ?
ตอบ - สร้างความผูกพันหรือความรักแก่พนักงานทุกระดับด้วยการดูแลพวกเขาตั้งแต่วันแรกที่เดินเข้ามา ระหว่างที่อยู่กับเรา จนกระทั่งเขาออกไป ให้ความเป็นธรรม และให้โอกาสเขาในการพัฒนาตัวเอง ให้เขามีส่วนร่วมในการบริหารบริษัทและมีสวัสดิการเมื่อเขาพ้นจากตำแหน่งหน้าที่
- ผู้บังคับบัญชาต้องมีความเข้าใจและรักลูกน้อง
- เยี่ยมเยียนสารทุกข์สุกดิบ ถามไถ่ด้วยความห่วงใย
*วาทะ “ถ้าผู้บังคับบัญชารักลูกน้อง ลูกน้องก็จะรักเรา”
6. การนำเทคโนโลยีมาใช้จะมีผลต่อการลดการเลิกจ้างหรือไม่ ?
ตอบ การนำเทคโนโลยีมาใช้เป็นเรื่องที่หนีไม่พ้น บริษัทหรือองค์กรที่ดีต้องมองเห็นและต้องเตรียมรับกับภาวะที่จะเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นด้าน การเตรียมบุคคลเพื่อรองรับกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นการพัฒนาคนให้มีการตื่นตัวมากขึ้น รัฐเองก็ต้องมีมาตรการในการรองรับปัญหาร่วมกันคือมีการประกันสังคม ประกันการว่างงาน เป็นต้น
ท้ายสุด นักศึกษาก็ถามถึงแนวทางการบริหารทรัพยากรมนุษย์ คุณพารณ ในฐานะที่เป็นบุคคลหนึ่งในสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติคนหนึ่ง ได้เล็งเห็นและได้มีการบัญญัติการพัฒนาองค์กรและพัฒนาเทคโนโลยี โดยต้องมีรัฐเป็นตัวนำ และได้บัญญัติไว้ใน แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 7
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ภาครัฐและภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันในหลายด้าน เช่น ด้านการพัฒนาบุคลากร ด้านการบริหารจัดการ ด้านเทคโนโลยี ด้านโลจิสติกส์ ฯลฯ
- ด้านการพัฒนาบุคลากร ภาครัฐจัดทำโครงการอบรมเพื่อพัฒนาบุคลากร โดยเรียนเชิญตัวแทนจากบริษัทเอกชนที่ประสบผลสำเร็จในการทำงานมาเป็นวิทยากร และอาจจะพาผู้เข้าอบรมไปดูงานที่บริษัทเอกชน
- ด้านการบริหารการจัดการ ภาครัฐ ยกตัวอย่าง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์รับผิดชอบภารกิจผลผลิตของเกษตรกร ถ้าที่ไหนมีผลผลิตมาก ภาครัฐต้องร่วมมือกับภาคเอกชนในการกระจายผลผลิตไปสู่ผู้บริโภค เช่น ในปี 2550 ลองกองใน 3 จังหวัดชายแดนใต้มีปัญหา ห้างเทสโก้โลตัส ห้างแม็คโคร ห้างบิ๊กซี ต้องเข้าไปรับซื้อผลผลิตผ่านสหกรณ์การเกษตรในพื้นที่ นำไปจำหน่ายในห้าง
- ด้านเทคโนโลยี ภาครัฐ ไม่มีความชำนาญและประสบการณ์ จำเป็นต้องร่วมมือกับภาคเอกชน เช่น รถไฟฟ้า
- ด้านโลจิสติกส์ ภาครัฐ ต้องร่วมมือกับภาคเอกชนในการส่งสินค้าไปขายในต่างประเทศฯลฯ
ส่วนใหญ่จะเห็นว่าภาครัฐจะเป็นผู้ผู้กำหนดนโยบาย และวางแผนงาน ภาคเอกชนเป็นผู้บริหารจัดการให้แผนงานของรัฐบาลบรรลุเป้าหมาย โดยมีคนเข้ามาเป็นตัวจักรในการขับเคลื่อนในแต่ละด้าน โดยจะมีการใช้แรงงานคน ทำให้ประชาชนมีรายได้ นำมาใช้จ่าย เอกชนก็มีรายได้ และเอกชนก็มีผลกำไร เอกชนต้องเสียภาษีให้ภาครัฐ ภาครัฐนำเงินภาษีไปพัฒนาประเทศ และเอกชนยังสนับสนุนตอบแทนภาครัฐโดยการบริจาคผ่านองค์กรการกุศล ปรับปรุงสิ่งแวดล้อม เช่นการปลูกป่า ฯลฯ
ภาครัฐกับภาคเอกชนเหมือนกัน1. มีองค์กร2. มีคนทำงานในองค์กร3. มีผู้บริหาร4. มีเงินทุน5. มีวัสดุอุปกรณ์ภาครัฐกับภาคเอกชนต่างกัน
ภาครัฐ 1. มีกฎระเบียบมาก 2. ขาดความคล่องตัว 3. มีสายบังคับบัญชายาวมาก 4. ใช้ระบบอุปถัมภ์ในการพิจารณาความดีความชอบ
5. ไม่มีผลกำไรขาดทุนเป็นแรงจูงใจ 6. คำนึงถึงการอยู่ดีกินดีของประชาชน และความมั่นคงของประเทศชาติ
ภาคเอกชน 1. มีความคล่องตัว 2. ผู้บริหารมีอำนาจตัดสินใจ 3. มีสายบังคับบัญชาสั้น 4. ใช้ระบบความรู้ ความสามารถในการพิจารณาความดีความชอบ 5. คำนึงถึงผลกำไรเป็นหลัก 6. คำนึงถึงลูกค้าเป็นหลัก และความมั่นคงของประเทศชาติ
ภาครัฐ/ภาคเอกชนมีความเชื่อมโยงกันอย่างไร
ทั้งภาครัฐและภาคเอกชนทรัพยากรมนุษย์ถือเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญที่สุดเหนือกว่าสิ่งอื่นใด เพราะทรัพยากรมนุษย์สามารถเป็นได้ทั้งผู้สร้าง ผู้พัฒนา และผู้ทำลายทรัพยากรอื่นๆ และโดยที่ทรัพยากรมนุษย์มีความสำคัญดังนี้ ทรัพยากรมนุษย์จึงต้องมีการพัฒนา
พนังานของภาครัฐต้องรู้จักหน้าที่ปฏิบัติตามกฎระเบียบมีวินัยในตนเองทำงานอย่างคุ่มค้ากับเงินเดือนที่ได้รับไม่ใช่เช้าชามเย็นชามสักแต่ว่าทำงานไปวันๆเท่านั้น ควรมีการไปดูงานต่างประเทศ มีการสัมนาทางวิชาการ เพื่อให้เกิดความรู้ใหม่ๆแก่พนักงานของรัฐ ส่วนองค์กรของภาครัฐต้องลดขั้นตอนสายงานให้น้อยลงเป็นเหตุให้งานล่าช้าเสียเวลาและมีการกระจายอำนาจไปยังส่วนอื่นๆเพื่อให้เกิดความคล่องตัวว่องไวรวดเร็วยิ่งกว่านี้ องค์กรของภาครัฐต้องมีการแข่งขันเหมือนภาคเอกชนเพื่อเกิดการพัฒนางานใหม่ๆขึ้นมาเกิดประสิทธิภาพประสิทธิผลในการบริหารจัดการอย่างคุ้มค่าประหยัด
พนักงานและองค์กรของภาคเอกชนอย่าเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวอย่าหลบเลี่ยงหนีภาษี อย่าหาโอกาสจากช่องโว่กฎหมาย เพราะภาษีนำมาพัฒนาประเทศ และเสียสละช่วยเหลือสังคมร่วมมือร่วมใจกับภาครัฐเพื่อให้ประชาชนผู้ยากไร้ผุ้ประสบอุทกภัย ได้อยู่ดีกินดีมีสุขเกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนต่อไป
จะเห็นได้ว่าทั้งสององค์กรต้องมีการปรับเปลี่ยนวิธีการทำงานเพื่อให้เกิดการพัฒนางานนำมาซึ่งประโยชน์สูงสุดแก่ประเทศชาติ
สุขสันต์วันเกิด ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๑
ในวาระครบรอบวันคล้ายวันเกิด อาจารย์ จีระ เวียนมาบรรจบอีกครั้ง หนูขอให้คุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลกจงดลบันดาลให้ อาจารย์ของหนูประสบแต่ความสุขความเจริญ คิดสิ่งใดขอให้สมปรารถนา ร่ำรวยเงินทอง มีสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ เป็นที่รักของลูกศิษย์ทุกคน นะคะ
ในวาระครบรอบวันคล้ายวันเกิดท่านอาจารย์ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ในวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2551 นี้ พวกเรา นักศึกษา รปม. รุ่น 4 มหาวิทยาลัยราชภัฏสวนสุนันทา ขอให้ท่านอาจารย์มีสุขภาพ พลานมัยที่แข็งแรง สมบูรณ์ เป็นร่มไทรร่มใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านความรู้ไปสู่บรรดาลูกศิษย์ตลอดกาลนาน นะค๊ะ
สุขสันต์วันเกิดค่ะอาจารย์ พวกเรากลุ่ม 5 ขออวยพรให้อาจารย์ มีความสุข สุขภาพร่างกายแข็งแรง มีแรงกายแรงใจในการทำงาน เพื่อชาตินะคะ
รักอาจารย์ค่ะ
กลุ่มที่ 2 (กลุ่มคนจับปลา : Fisherman Party)
1. พระศุภสิน ศักศรีวัน
2. พระมหาวิทยา นางวงศ์
3. นางสาวนลินี โลพิศ
4. นางสาวศศินี โพธิทอง
5. ส.ท.สราวุธ ดอกไม้จีน
6. นายสุรัชต์ ชวนชื่น
7. นายธนิก กัมพูศิริพันธ์
8. นายสุรภัทร ปานทอง
9. นายกิติพัฒน์ ตันตสุรฤกษ์
------------------------------------------------------------------
...ผ่านวันผ่านกาลเวลา.. เพียรศึกษาเริ่มสะสม
ผ่านร้อนผ่านหนาว..ทุกข์ตรม จีระ หงส์ลดารมภ์ยืนหยัดมา
ก้าวสู่แนวหน้าสังคม สั่งสมคุณค่าให้คน
พบพาน GURU พารณ จวบจนก่อเกิดแหล่งที่มา...
หนังสือ.. “ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้”
“หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” เป็นบทพิสูจน์และการันตีแสดงให้เห็นถึงปณิธานของ 2 บุรุษผู้แม้ว่าจะต่างกันด้วยวัยวุฒิ แต่เดินทางสายเดียวแห่งอุดมการณ์ เป็นไปแนวทางเดียวกัน คือการมุ่งเรื่องคน ซึ่งทั้ง 2 ท่าน มีความเชื่อเหมือนกันว่า “คนคือทรัพยากรที่มีคุณค่าที่สุดขององค์กร” จึงทำให้ทั้ง 2 ท่านใช้ความพยายามในช่วงหลายทศวรรษในอันที่จะพัฒนาคน ควบคู่ไปกับการเพิ่มผลผลิต เพราะทั้งสองต่างเชื่อว่า “หากคนในประเทศมีความรู้ ความสามารถ เรียนรู้และพัฒนาตนเองตลอดชีวิตจนติดเป็นนิสัยแล้ว ประเทศของเราก็จะสามารถยืนหยัดและสามารถแข่งขันในสังคมโลกในยุคโลกาภิวัตน์ได้อย่างแน่นอน..” สิ่งที่ต้องเล็งเห็นในการพัฒนาคน ในสังคมไทยสิ่งที่ขาดอยู่ในตอนนี้ คือ บุคลากรที่มีความรู้ ความสามารถและคุณธรรม ในการช่วยชี้แนะให้คนเป็นทรัพยากรที่พัฒนา เป็นมนุษย์ที่รู้วิธีการที่จะเป็นคนเก่ง คนดี และคนที่มีความสุข สามารถดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างเป็นสุข และมีศักยภาพได้
คุณพารณ ฯ ในสภาพส่วนตัว เป็นผู้ปฏิบัติตนเรียบง่าย ใส่เสื้อคอพระราชทานสีตุ่น ๆ ใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส บุคลิกภาพที่เป็นมิตรกับทุกคน มีระเบียบในตัวเอง ประพฤติเป็นที่น่าเชื่อถือเป็นที่รักของลูกน้อง ซึ่งถือว่า เป็นบุคคลที่รู้จักการ “ครองตน” ให้ความสำคัญและความรักความเมตตาดูแลห่วงใยผู้ใต้บังคับบัญชา อย่างใกล้ชิดทำให้เกิดความรัก และความเชื่อถือ จงรักภักดีจากลูกน้องเสมือนคนในครอบครัว ซึ่งถือว่าเป็นบุคคลที่สามารถ “ครองคน” ทำงานสายเอกชนนาน ถึง 33 ปี เป็นทรัพยากรที่บริษัท อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นผู้ “ครองงาน” เป็นเวลานาน
มีคำกล่าวว่า การพัฒนาบุคลากรเป็นการลงทุนของบริษัท ซึ่งมิใช่ต้นทุนและเป็นผลกำไรที่แท้จริงขององค์กร ดังนั้นคนจึงเป็นตัวแปรต่อการอยู่รอด นั้นก็ขึ้นอยู่กับว่า เราดูแลเอาใจใส่ เพิ่มศักยภาพ โดยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เหล่านี้อย่างจริงจังและเป็นระบบหรือไม่
อาจารย์จีระ ได้เสนอทฤษฏีไว้หลายทฤษฎี ทั้งทฤษฎี 4 L’s (Learning methodology, Learning environment, Learning opportunity, Learning community) ทฤษฎี 3 วงกลม ซึ่งเป็นสูตรสำเร็จสำหรับรับมือกับการเปลี่ยนแปลง และยังเป็นหลักการบริหารแบบมีส่วนร่วมและมีความโปร่งใส ก้าวไปสู่การรู้จักทำงานเป็นทีม อันจะเพิ่มศักยภาพของงานและลดข้อผิดพลาด หากบุคคลภายในทีมมีความสามารถ มีศักยภาพ และมีการปรับตัว มาถึงตอนนี้ทำให้ข้าพเจ้าฉุกคิดขึ้นมาว่า การที่อาจารย์มอบภาระงานให้ทำเป็นกลุ่มนี้ที่จริงแล้วสามารถมอบให้เป็นงานเดี่ยวก็ย่อมทำได้ แต่ทำไม? นั่นอาจจะเป็นการสอนแบบผสมผสานและการใช้จำลองสภาพแวดล้อมเป็นกุศโลบายในการที่จะฝึกคนให้รู้จักการทำงานเป็นทีม รู้จักหน้าที่ของตน โดยสมมติกลุ่มเป็นองค์กร ๆ หนึ่งที่ให้เรามีส่วนร่วมในการพัฒนา มีส่วนร่วม และความสำนึกในหน้าที่ของตนต่อกลุ่ม
จากการเสวนาแนวทางพัฒนาทั้ง 2 ท่านเล็งเห็นการพัฒนาเพื่อหาแนวทางอย่างไรที่จะพัฒนาคุณค่าของคน โดยคุณพารณ ได้กล่าวถึงและแสดงเจตจำนงเกี่ยวกับ Global Citizen ว่า เราต้องสร้างเด็กไทยให้มีความพร้อมกับการแข่งขันและการเปลี่ยนแปลงของโลก ต้องให้มีความคล่องแคล่วในเรื่องภาษาไทย ภาษาอังกฤษเพื่อใช้ในการต่อรองและติดต่อสื่อสารกับต่างชาติ การนำเทคโนโลยีมาใช้ โดยอาจารย์จีระ ได้เพิ่มเติมเรื่องการเสริมคุณธรรมและจริยธรรมลงไปด้วย ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นมาก มีความรู้มีความสามารถ แต่ขาดคุณธรรมและจริยธรรมก็คงมีคุณภาพไม่ครบสมบูรณ์ตามสังคมต้องการ (ขาดคุณธรรมจริยธรรม ประเทศชาติก็เจ๊ง สิพี่ ๆๆๆๆ...)
ความมุ่งหวังทั้ง 2 ท่านที่จุพัฒนาคนที่เป็นองค์ประกอบที่สำคัญขององค์กร ทั้ง 2 ท่านได้สร้างเครื่อข่ายมนุษย์ จากการให้ความสำคัญกับคนทุกระดับทำให้ทั้งสองท่านมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักกว้างขวาง อีกทั้งมีนิสัยคล้ายกันคือ การไม่หยุดที่จะเรียนรู้ ไม่ใส่เกียร์ว่างให้ตัวเอง และยังได้นำความรู้จากการเรียนรู้มาถ่ายทอดให้กับผู้อื่น เช่นการวางระบบการศึกษาแนวใหม่ ให้เยาวชนรู้จักใช้สมอง วิเคราะห์เป็น และกล้าแสดงออกในสิ่งที่ถูกที่ควร มีความเชื่อมั่นและทะเยอทะยานในสิ่งที่ควร ดังสโลแกนที่ว่า “ฝันให้ไกล แล้วไปให้ถึง”
จากการได้ศึกษาและอ่านแนวความคิดของท่านทั้ง 2 ทำให้เกิดมุมมอง และสาระเกี่ยวกับ GOAL ..
G : Good คือต้องมีความรู้สึกดีกับงาน ในทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า “ฉันทะ” คือต้องมีความชอบและรัก ไม่ว่าจะเป็นหัวหน้า เพื่อนร่วมงาน และสิ่งที่ขาดไม่ได้นอกจากรู้ดีกับงาน ต้องมีความรู้สึกดีและรักตัวเอง มีความเชื่อมั่นใจตัวเอง
O : Opportunity ต้องวิ่งหาโอกาส และสร้างโอกาสให้กับตัวเองในการแสดงความสามารถ
A : Alert ต้องมีการเตรียมพร้อมเสมอ มีการตื่นตัวเสมอที่จะทำงาน และพร้อมที่จะปรับตัว เมื่อองค์การมีการเปลี่ยนแปลง
L : Learning มีการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ไม่หยุดนิ่งที่จะเรียนรู้ ทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวคือบทเรียน คือการเรียนรู้ อันจะนำไปสู่ความสำเร็จในการประยุกต์ใช้ให้เหมาะตามโอกาส
ทำให้เข้าใจว่า..
- คน เป็นทรัพยากรซึ่งต้องมีคุณภาพ มีความรู้ ความสามารถและกอปรด้วยคุณธรรมจริยธรรม
- การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์คือการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับองค์กร และคนก็คือมูลค่าเพิ่ม มิใช่ทุน
- รู้อะไรให้รู้จริง และสามารถนำความรู้นั้นมาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้จริง
- การมองทรัพยากรมนุษย์ต้องมองจากระดับมหภาค (Macro) ไปสู่หน่วยเล็กขององค์กร (Micro)
- การทำงานต้องรู้จักช่วยกัน มีการทำงานเป็นทีม (Teamwork)
2 พลังความคิดชีวิตและงาน
ผู้นำทางด้านทรัพยากรมนุษย์ คือ คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ทั้งสองท่านต่างก็มีแนวความคิดที่เหมือนกัน ซึ่งจะมี 2 ทฤษฎีบริหารและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และ ทฤษฎีทุนในทรัพยากรมนุษย์ ทั้ง 2 ท่าน คิดว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดขององค์กรมาจาก คน องค์กรจะประสบความสำเร็จหรือล้มเหลวอยู่ที่คนไม่ใช่เทคโนโลยี การมีวิสัยทัศน์ที่มองไปข้างหน้า การจะเป็นผู้นำนั้นต้องให้ลูกน้องได้เห็นความเป็นตัวของเราเอง เราเกิดมาเป็นคนทุกคนจะต่างกันที่ ฐานะ ความรวย ความจน หรือโอกาสต่างๆ ที่ไม่เท่าเทียมกัน แต่เราจงภูมิใจในความเป็นตัวของเราเอง รู้จักความพอเพียง และรู้จักการเอื้อเฟื้อต่อคนอื่น คุณหญิงกล่าวว่ามนุษย์ทุกคนจะเพิ่มคุณค่าในตัวเองได้ต้องรู้จักใช้สมองในการนำความรู้ที่มีมาคิดเพิ่ม รู้จักใช้สติปัญญา รู้ว่าคิดอะไรและกำลังทำอะไร และการสอนของเมืองไทยนั้นไม่ได้สอนให้เด็กคิด ไม่ได้ฝึกให้เด็กตั้งคำถาม ดังนั้นประเทศไทยจึงยังไม่ก้าวหน้า เพราะไม่ได้สอนให้เด็กฝึกคิดเด็กจึงคิดไม่เป็น แต่คุณหญิงท่านโชคดีมากที่ได้ไปเรียนที่ต่างประเทศซึ่งท่านได้ไปเรียนที่สหรัฐอเมริกา ที่นั้นเป็นสังคมของการเรียนรู้ ท่านก็ได้มีโอกาสแสดงความคิด ได้โชว์ความสามารถ ผิดถูกก็ไม่มีใครดูถูก ท่านก็เลยมีความมั่นใจในตัวเองมาก ทำให้ท่านมั่นใจว่าสมองของคนไทยก็ไม่แพ้ชาติใดในโลก อาจจะด้อยก็เพียงแค่ภาษาเท่านั้น แต่สมองอาจจะดีกว่า ท่านพยายามสอนให้คนคิดเป็นและพยายามคิดด้วยตัวเอง จะเน้นการพัฒนาความรู้และทัศนคติ เราต้องรู้จริงก่อนจึงจะเสนอแนะได้ ส่วนด้าน ศ.ดร. จิระ ได้ให้ความสำคัญไว้ 3 เรื่อง คือ ความรู้ ความชำนาญ ความสามารถ ส่วนทางด้านคุณหญิงกล่าวไว้ว่าทรัพยากรมนุษย์นั้นสามารถเพิ่มมูลค่า และพัฒนาได้ตลอดเวลาไม่มีจบสิ้น เพราะเป็นเรื่องความรู้ ความคิด ทักษะ ความสามารถ แต่ไม่ใช่จะมีความรู้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความคิดและวิเคราะห์เป็นด้วย จึงจะได้เกิดปัญญา ศ.ดร. จิระ ได้อธิบาย ทุนทางปัญญา คือ ความสามารถในการคิดเป็นวิเคราะห์เป็น และการนำไปสู่มูลค่า ท่านได้สังเกตว่าคนที่จบปริญญามีพื้นฐานการศึกษาที่ดี แต่คนที่มีการศึกษาที่ไม่สูงก็สามารถมีทุนทางปัญญาได้ ถ้ารู้จักแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง ส่วนคุณหญิงกล่าวว่า คนเราต้องแสวงหาความรู้อยู่ตลอดเวลา เพราะการที่เราจะเป็นผู้นำนั้น ต้องรู้มาก รู้กว้างและรู้ลึกกว่าคนอื่น การที่องค์กรมีบุคลากรที่มีความรู้ และมีสติปัญญาดี และมีความชำนาญ และมีความสามารถ ก็จะทำให้องค์กรมีผลงานที่ดี องค์กรก็จะมีผลผลิตเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ประเทศชาติเจริญได้อย่างยั่งยืน ส่วน ศ.ดร. จิระ กล่าวถึงทุนทางความรู้ ทักษะและทัศนคติ เป็นทุนที่สำคัญและขาดไม่ได้สำหรับทรัพยากรมนุษย์ในยุคนี้ บุคคลจะมีความสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทุนทางความรู้ ทักษะและทัศนคติ คนที่มีทุนมนุษย์ดีย่อมส่งผลต่อการเรียนรู้ตั้งแต่ ครอบครัว โรงเรียน สถานอุดมศึกษา สถานประกอบการ และสังคม ทุนทางความรู้ยังส่งผลต่อความสำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม และประเทศชาติ ต่อความสำเร็จในการบริหารจัดการภาครัฐและเอกชนหากได้รับการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ และ ศ.ดร. จิระ ได้กล่าวไว้ว่าแต่ละองค์กรถ้าขาดคนดีมีคุณธรรมและจริยธรรมแล้ว ก็ยากที่จะพัฒนา ซึ่งเหมือนที่คุณหญิงได้เน้นถึงเรื่องจิตใจนั้นน่าจะมีความหมายครอบคลุมทั้งในระดับผู้นำและการบริหารจัดการองค์กร คุณหญิงยังกล่าวอีกว่า คนเราต้องมีจิตใจ เมตตา กรุณา มีความอ่อนโยน จะทำให้มีบุคลิกที่ดี คือ มีความสุภาพอ่อนโยน ถ้าในการเป็นผู้นำ ต้องใช้หลักพรหมวิหาร 4 ในเชิงพุทธศาสนา คือ เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา รู้จักเอาใจเขามาใส่ใจเราที่สำคัญที่สุดในการวัดการเป็นผู้นำที่แท้จริง คือ มีจิตใจที่กล้าหาญ คือ กล้านำ กล้าตัดสินใจ กล้าเสี่ยง และจะต้องกล้าที่จะยอมรับความล้มเหลว และจะต้องกล้าที่จะรับผิดชอบทั้งดีและร้าย..
ทุนที่ 6 คือ บ้านและครอบครัว (Home) การที่คนเรามีครอบครัวที่อบอุ่น เป็นพื้นฐานที่สำคัญ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เท่ากับมีเครือข่ายที่จะดูแลกันและกันได้ สอดคล้องกับ ทฤษฎี 8K’s คือ ทุนมนุษย์ (Human Capital) เพราะทุนมนุษย์ได้มาจากความรู้ขั้นพื้นฐานของการศึกษาเล่าเรียนในสถาบันการศึกษาจากการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูจากบิดามารดา ทุนที่ 7 คือ การดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข (Happiness) โดยการแบ่งปัน เมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่ทุกคนมีความสุข 8K’s คือทุนแห่งความสุข (Happiness Capital) ว่า หากมนุษย์มีทุนทางความรู้ มีทุนทางปัญา และมีทุนทางจริยธรรมแล้ว ย่อมเป็นพื้นฐานที่จะมีความสุขได้ง่ายกับทุกสถานการณ์ เพราะมีความรู้ความสามารถ มีสติปัญญาที่จะประสบความสำเร็จแล้วยังมีความดีงามที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่นหรือทรัพยากรส่วนกลาง คนที่มีทุนแห่งความสุขนี้นอกจากจะมีความสุขด้วยตัวเองแล้ว ยังปรารถนาให้คนอื่นหรือสังคมโดยรวมมีความสุขด้วยกัน เพราะเรามีสติปัญญารู้ว่าความสุขต้องแบ่งปัน สุขคนเดียวหรือสุขกลุ่มเดียวจะอยู่ได้ไม่นาน ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะคิด หรือทำสิ่งใดก็ตามจะต้องคำนึงถึงความสุขกับสิ่งที่ทำด้วยจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทุนที่ 8 คือ ความปรองดองสมานฉันท์ (Harmony) คือทุกคนทุกระดับใช้หลักสัปปุริสธรรม คือ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน
รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน และรู้บุคคล สอดคล้องกับทฤษฎี 8K’s คือทุนทางสังคม (Social Capital) คนเรานั้น ถ้ามีแต่ทุนทางสังคมเพียงอย่างเดียว คงไม่ประสบความสำเร็จได้ ถ้าไม่รู้จักวิธีบริหารเครือข่ายการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันกับคนอื่น ดังนั้น สรุปได้ว่า มนุษย์เรานั้นจะขาดทุนใดทุนหนึ่งไม่ได้ เพราะจะทำให้ขาดความสมดุลในชีวิต เพราะคนเราจะเก่งทางใดทางหนึ่งเพียงอย่างเดียว คงอยู่ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ไม่ได้หรืออยู่ได้ก็อย่างยากลำบาก เพราะทุกอย่างต้องเดินไปพร้อมกัน จะมีมากมีน้อยแต่ขอให้มีทุนมนุษย์ทั้ง 8 ทุน เดินไปพร้อมกัน จะทำให้การดำเนินชีวิตมีความสุขทั้งหน้าที่การงานและความสุขทางกายและใจนั้นเอง
เล่มที่ 2 ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ บทสนทนาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของนักคิดและนักปฏิบัติแห่งยุค ซึ่งสรุปได้ว่า ความเชื่อ ความศรัทธา และความมุ่งมั่นในเรื่องต่าง ๆ ของ ท่านพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ จากประวัติการทำงานของทั้ง 2 ท่าน จะให้ความสำคัญกับ “ คน “ เพราะถือว่า คนเป็นทรัพยากรที่มีค่าขององค์กร สมควรให้การดูแลและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในที่สุดทั้ง 2 ท่าน ก็ทุ่มเทการทำงานให้กับสังคมในด้านการศึกษา ให้เด็กไทยได้มีโอกาสเรียนรู้ และพัฒนาการศึกษาในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้และสื่อสารได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญการเรียนรู้จะต้องเรียนรู้อย่างสนุก นำมาใช้เพื่อสร้างสรรค์ ดังแนวคิดของ 2 แชมป์ กัน ทฤษฎี 4 L’s มูลเหตุแห่งความสำเร็จด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ท่านพารณ ได้จารึกไว้ กับ ปูนซีเมนต์ไทย โดยท่านเป็นต้นแบบที่ดี 4 เรื่อง ดังนี้ (1) คนเก่ง- คนดี พบว่า เก่ง 4 ดี 4 คือ เก่ง 4 ได้แก่ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด และเก่งเรียน ดี 4 ได้แก่ ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่ความรู้ คู่คุณธรรม ซึ่งทั้งหมดต้องมีการประเมิน เรียกว่า Capability สำหรับคนเก่ง และ Acceptability สำหรับคนดี คนเก่งฝึกอบรมได้ แต่คนดีต้องสร้างสมด้วยตนเอง (2) ความเชื่อในคุณค่าของคน เชื่อว่าคนเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินอื่นใดในองค์กร (3) การดูแลทุกข์สุขของคนอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าคนไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่เป็นเงินอย่างเดียวแต่ยังต้องการผลตอบแทนทางใจด้วย (4) การทำงานเป็นทีม เชื่อว่า “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” คือจัดให้มีระบบคณะกรรมการ ดูแลคนให้ทำงานเป็นทีม เพื่อให้เกิดจิตสำนึกเป็นเจ้าของบริษัทด้วยกัน การนำ HR มาใช้อย่างชาญฉลาด เช่น องค์กรปูน เมื่อเกิดวิกฤต ปี 40-41 บริษัทฟื้นตัวได้เพราะพื้นฐานเรื่อง “ คน “ แน่นมาก จึงเลือกที่จะใช้วิธีใดกับใคร คนไหนดีมีคุณค่าควรเก็บไว้ คนที่มีคุณค่าน้อยก็ปล่อยไปอย่างเหมาะสม โดยการจ่ายค่าตอบแทนให้เขาพอใจ ดังนั้น ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้จารึกไว้ บนรายทางว่า มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ เกิดมาจากแนวคิดว่า ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ จะดีได้ถ้าคนในประเทศไว้เนื้อเชื่อใจกัน การลงทุนในด้านทรัพยากรมนุษย์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงพัฒนาระบบความคิดไปข้างหน้างอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้อุปสรรคที่ผ่านมาเป็นโอกาส เป็นบทเรียนในการแก้ไขสู่ความก้าวหน้า และการมีส่วนร่วมระหว่างคนในสังคม ประกอบกับท่านอาจารย์ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และที่สำคัญท่านอาจารย์มีเครือข่ายสัมพันธ์ (NetworK) ทั้งในและนอกประเทศ จึงทำให้งานยากกลายเป็นงานง่าย ซึ่งแนวคิดการบริหาร Network ได้พูดไว้ในทฤษฎี 8K’s คือ Social Capital แปลว่า ทุนทางสังคม คือทุนที่มนุษย์มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งคุณสุชาญ โภคิน กล่าวคำว่า “ พันธุ์แท้ “ น่าจะมีลักษณะคือพันธ์แท้มี 2 ชนิด คือ “ พันธุ์แท้ที่พัฒนา “ กับ “ พันธุ์แท้ที่ไม่พัฒนา “ ทั้งนี้จุดตัดสินอยู่ที่ ของแท้จะต้องอยู่คงทน มี imaginative หรือความคิดริเริ่มใหม่ ๆ อยู่เรื่อย หรือถ้าเป็นสินค้ามีนวัตกรรมหรือ innovation อยู่ตลอดเวลา คำว่า พันธุ์แท้ คือเราไม่หยุดและ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ก็ไม่หยุด คุณสุชาญ ยังพูดถึงทฤษฎี 3 วงกลม ของอาจารย์ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ว่า วงกลม ที่ 1 เรื่อง Contest หรือ บริบท การบริหารทรัพยากรมนุษย์ต้องใช้ระบบ IT มากขึ้น วงกลมที่ 2 เรื่อง ภาวะผู้นำ นวัตกรรม การบริหารเวลา คือ ดูว่าทรัพยากรมนุษย์จะต้องมี Competencies อย่างไร วงกลมที่ 3 เป็นหลักที่ดี คนเราจะสำเร็จในงานได้ต้องมองว่างานทุกอย่างเป็นงานที่ท้าทายเป็นการใช้หลัก PM (Personnel Management) ดังนั้น คุณสุชาญ จึงมองว่าศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ กับคุณพารณ คล้ายกันตรงที่ “หัวถึงฟ้า ขาติดดิน” ถือเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่แท้จริง ซึ่งทำให้เห็นว่า ทั้ง ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ และ
คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยามีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการมุ่งมั่นในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ ยิ่งย้อนกลับไปฟังเขาพูดอีกครั้งยิ่งชวนให้คิดว่า ยังมีอะไรอีกบ้างที่สื่อถึงความคล้ายคลึงกันในหลาย ๆ อย่างในนิยามของการเป็น “ คนพันธุ์แท้ “ ของท่านพารณ กับ ศ.ดร. จีระ ซึ่งบางส่วนจาก ประกายความคลึงคล้ายเท่าที่จะวิเคราะห์ได้ระหว่างคนคู่นี้ คือ 1. เดินสู่สนามของงานสร้างทรัพยากรมนุษย์อย่างบังเอิญ
2. หยัดอยู่มุ่งมั่นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์บนปรัชญาแห่งความอย่างยั่งยืน 3. จากความยั่งยืนสู่การเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อสังคม 4. มีบุคลิกลักษณะแบบ “ Global Man “ ทำให้เป็นคนมีวิสัยทัศน์ 5. มีความเป็นผู้ใหญ่ พร้อมจะเป็น “ ผู้ให้ “ ทั้ง “ ความรู้ “ และ “ ความรัก “ แก่คนใกล้ชิด 6. มีความสุขกับการเป็น “ ผู้ให้ “ ต่อสังคมโดยไม่สนใจว่าจะได้รับ “ กล่อง “ หรือ การเชิดชูเกียรติจากใครซึ่งจากบทสนทนาของทั้ง 2 ท่านสามารถสรุปได้ว่า คนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร คุณค่าของคนต้องมีคุณภาพ มีคุณธรรม ความจงรักภักดี และมีความสามรถ จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ การบริหารงานบุคคลเป็นเรื่องสำคัญเท่ากับการเงิน คนจะมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น ถ้าองค์กรนั้นมีการฝึกอบรมด้านวิชาการ
ด้านปกครอง และความรู้ใหม่ๆ และประสบการณ์ที่ทำงานมานาน เมื่อการแข่งขันมากขึ้นต้องมองคนเป็น 2 ประเภท คนภายในองค์กร และคนภายนอกองค์กร
ผู้บริหารต้องมี Vision มองไปข้างหน้ายาว ๆ จะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เครื่องจักร เครื่องมือ เข้ามาก็สามารถที่จะเรียนรู้เพื่อทำงานให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งผู้บริหารจะต้องมีภาวะผู้นำ อีกทั้งยังต้องมีความสามารถในการสื่อสารความคิดหรือ
ความประสงค์สู่พนักงานหรือบุคลากรในองค์กรนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดีในส่วนของผู้นำนั้น จำเป็นต้องมีความเชื่อมั่นในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ว่า สามารถที่จะฝึกฝนหรืออบรม ให้สามารถพัฒนาความรู้ ความสามารถ รวมทั้งทักษะขึ้นมาได้ เพื่อให้พนักงานได้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น และถ้าขนาดธุรกิจใหญ่ ๆ การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ลำบากขึ้น ต้องใช้การกระจายอำนาจมอบอำนาจให้พนักงานระดับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว การสร้างคนในองค์กรต้องสร้างทุกระดับ ตั้งแต่
คนงานในโรงงาน ให้มีการฝึกอบรมโดยตลอด การทำงานที่มีคุณธรรม
เป็นจรรยาบรรณของพนักงาน เป็นการจรรโลงคุณค่าของสังคมไทยสืบทอดกันไป เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน และผู้บริหารจะต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามนั้นด้วย การทำงานอย่างมีคุณธรรม ช่วยเราในระยะยาว ได้รับความเชื่อถือยกย่อง อีกทั้งยังต้องสรรหาคนดี คนเก่ง พร้อมทั้งรักษาไว้กับองค์การให้ได้ กลวิธีการสร้างความผูกพันในองค์กร และการรักษาคนเอาไว้จะต้องสร้างความผูกพันและความรักองค์กร ต้องดูแลพนักงานตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาทำงานจนถึงวันที่เขาออกไปก็ให้ประโยชน์ตามสมควร ต้องมีสวัสดิการที่ดี มีการปกครองที่ดี ให้ความเป็นธรรมมีส่วนร่วมในการบริหาร ทำงานเป็นทีม ให้ความใกล้ชิดสนิทสนม มีอะไรพูดจาปรึกษากันได้ ทำเช่นนี้ทุกระดับองค์กร ให้ความสำคัญกับพนักงาน ให้ความรัก
ความศรัทธา สามารถแก้ปัญหาสมองไหลได้ ผู้บริหารออกไปเยี่ยม ทานข้าวกับลูกน้อง และคนในระดับอื่น ๆ ก็ทำตาม ทำให้คนในองค์กรแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทำให้
ไม่อยากออกไปจากองค์กรนี้ ทั้งนี้องค์กรจะต้องให้ความเชื่อมั่นในการบริหารงานของบุคคลในระดับต่าง ๆ เพื่อทำให้เห็นว่าเขามีส่วนร่วมและมีความสามรถที่นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้วางเป้าหมายไว้จากการที่ได้อ่านหนังสือทั้งสองเล่มของท่านอาจารย์ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ นักศึกษา รปม. รุ่น 4 (กลุ่ม 6) สรุปเนื้อหาสาระที่สำคัญได้ดังนี้ คือ เล่มที่ 1 พลังความคิดชีวิตและงาน ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ โดยคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ เนื้อหาในหนังสือ เป็นช่องทางที่สำคัญในการเผยแพร่ความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ต่อสังคม โดยมีบุคคลตัวอย่างที่ทรงคุณค่า เป็นผู้นำทางความคิด ผู้บุกเบิกและปฏิบัติ ทำให้ผผู้อ่านได้รับสาระครบถ้วน ชวนติดตามเนื้อหา ทราบถึงการพัฒนามนุษย์ โดยมุ่งเน้นการเรียนรู้ พร้อมทั้งกลยุทธในการสร้างความเป็นเลิศให้องค์กร จาก แรงจูงใจ ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติ จุดประกายความคิดใหม่ ๆ เหมือนพลุไฟที่น่าตื่นตาตื่นใจ ทำงานเอาจริงเอาจัง โดยใช้วิธีบูรณาการ ความคิด และความสามารถของผู้ร่วมงาน งานที่ยากเป็นงานง่ายสองคล้องกับวิถีชีวิตของคนไทย ที่ดำรงอยู่ในกระแสโลกาภิวัฒน์ สร้างความยั่งยืน เน้นพึ่งพาตัวเอง การเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง บนรากฐานทางวัฒนธรรม และภูมิสังคมที่แข็งแกร่ง มีคุณธรรม จริยธรรม ที่เข้มแข็งเพื่อให้เกิดความพอเพียงในแต่ละระดับ แต่พร้อมที่จะพัฒนาไปในทางที่เจริญได้อย่างไร้ขีดจำกัดสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในที่ทำงาน โดยระบบราชการ จะทำงานชักช้า อุ้ยอ้าย ระเบียบขั้นตอนมากไม่ได้ จะต้องนำมาปรับปรุง ลดขั้นตอน เพื่อประสิทธิภาพในการทำงานโดยใช้ทฤษฎีทุนมนุษย์ “ 8 H’ s” และ “ 8 K’ s” ซึ่งผู้อ่านเกิดความคิดที่ว่า คนเรานั้นเกิดมาต้องมีทุนมนุษย์ เพราะว่าคนจะทำอะไร ไม่ว่า การกิน การเดิน การนั่ง การนอน และการทำงาน ล้วนต้องใช้ทุนมนุษย์ทั้งสิ้นแต่จะใช้สมบูรณ์แบบทุกด้านนั้นย่อมเป็นไปได้ยาก ดังนั้น จึงต้องมีการพัฒนาทุนมนุษย์ เพื่อให้การปฏิบัติการในด้านต่าง ๆ มีความสมบูรณ์ขึ้น อย่างน้อยเราต้องพัฒนาสิ่งที่ตนเองชอบที่จะทำเพื่อให้เกิดความเชี่ยวชาญหรือมีความชำนาญในด้านนั้น ๆ ซึ่งมองให้เห็นว่า คนเราต้องมีการเรียนรู้ตลอดชีวิต ยิ่งโลกเราทุกวันนี้ในยุคโลกาภิวัฒน์ ยิ่งต้องเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ให้ทันสมัยอยู่เสมอ ดังบทสนทนาของทั้ง 2 ท่านที่ได้กล่าวถึงทุนมนุษย์ไว้อย่างดีเยี่ยม โดยแยกแต่ละทุนดังนี้ทุนที่ 1 ได้กล่าวถึงทุนมรดกวัฒนธรรม (Heritage) ซึ่งเป็นทุนรากฐานของชีวิต เพราะทุนมรดกวัฒนธรรมมีบทบาทสำคัญในการสร้างค่านิยมให้ถูกต้อง แม้ว่าความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีหรือเรียกว่า โลกยุคไอที หรือโลกไร้พรมแดน ทำให้เกิดความไหลบ่าของวัฒนธรรมข้ามพรมแดนในประเทศอย่างรวดเร็ว ที่เราไม่สามารถสกัดกั้นและกลั่นกรองได้ แต่การที่เรามีทุนทางวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งได้ช่วยเพิ่มคุณค่าของสังคมและยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจได้อย่างดียิ่ง ซึ่งสอดคล้องกับทุนทางวัฒนธรรมของ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ที่ว่า Culture Capital เป็นองค์ประกอบหลักของทฤษฎี 8K’s คือทุนแห่งความยั่งยืน (Sustainabillity Capital) เพราะการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว หากคนเราไม่พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนแล้ว จะไม่สามารถอยู่รอดและแข่งขันได้ในโลกยุคไร้พรมแดน ทุนที่ 2 ได้กล่าวถึงทุนสมอง (Head) การมีความคิด มีความรู้แล้วต้องมีสติเพราะคนเราทุกคนจะเพิ่มคุณค่าในตัวเองได้ต้องรู้จักใช้สมองในการนำความรู้ที่มีมาคิดเพิ่ม ต้องรู้จักไตร่ตรองก่อนเพื่อชั่งน้ำหนักให้เหมาะสม ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี 8K’s คือทุนทางปัญญา (Intellectual Capital) เพราะทุนทางปัญญาจะทวีเพิ่มขึ้น เมื่อคนเราได้มีโอกาสเรียนรู้และมีประสบการณ์ที่ดี ทุนที่ 3 คือ มืออาชีพ (Hand) ความเป็นมืออาชีพนั้น เป็นความสามารถในงานที่เราทำได้ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร แต่คนเรามีพื้นฐานที่แตกต่างกัน จึงต้องนำความรู้ ทักษะ และทัศนคติไปสร้างมูลค่าเพิ่มให้เกิดเป็นทุนทางความรู้ ซึ่งสอดคล้องกับ ทฤษฎี 8K’s คือทุนความรู้ (Telented Capital)ซึ่งเป็นทุนที่สำคัญและขาดไม่ได้ ทุนที่ 4 คือ เป็นคนจิตใจที่ดี (Heart) เป็นทุนที่มีทัศนคติในเชิงบวก คือมี เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎี 8K’s คือทุนทางคุณธรรมและจริยธรรม (Ethical Capital) หากคนเรามีความพื้นฐานดี มีทุนความรู้ ทุนทางปัญญาดี แต่ถ้าไม่มีคุณธรรม ก็ไม่สามารถพัฒนาองค์กรหรือประเทศได้ดีเท่าที่ควร ดังนั้นเราจึงควรปลุกฝังทุนทางจริยธรรมไว้ตั้งแต่เบื้องต้น ทุนที่ 5 คือสุขภาพ (Health) ตรงกับ ทฤษฎี 8K’s คือต้นทุนพื้นฐานทางสุขภาพที่ดี คนเรานั้นถือว่าสุขภาพคือทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เพราะถ้าคนเราจะทำอะไรในหลาย ๆ อย่างในชีวิตนั้น แต่ถ้าหมดสิ้นลมหายใจหรือไม่มีชีวิตจะทำอะไรไม่ได้เลย สุขภาพพลานามัยที่สมบูรณ์จีงเป็นสิ่งที่มีค่าสำหรับคนเราทุกคน ซึ่งสุขภาพกายและสุขภาพจิตนั้นเอง ทุนที่ 6 คือ บ้านและครอบครัว (Home) การที่คนเรามีครอบครัวที่อบอุ่น เป็นพื้นฐานที่สำคัญ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน เท่ากับมีเครือข่ายที่จะดูแลกันและกันได้ สอดคล้องกับ ทฤษฎี 8K’s คือทุนมนุษย์ (Human Capital) เพราะทุนมนุษย์ได้มาจากความรู้ขั้นพื้นฐานของการศึกษาเล่าเรียนในสถาบันการศึกษาจากการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูจากบิดามารดา ทุนที่ 7 คือ การดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข (Happiness) โดยการแบ่งปัน เมตตา เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้แก่ทุกคนมีความสุข 8K’s คือทุนแห่งความสุข (Happiness Capital) ว่า หากมนุษย์มีทุนทางความรู้ มีทุนทางปัญา และมีทุนทางจริยธรรมแล้ว ย่อมเป็นพื้นฐานที่จะมีความสุขได้ง่ายกับทุกสถานการณ์ เพราะมีความรู้ความสามารถ มีสติปัญญาที่จะประสบความสำเร็จแล้วยังมีความดีงามที่จะไม่เบียดเบียนผู้อื่นหรือทรัพยากรส่วนกลาง คนที่มีทุนแห่งความสุขนี้นอกจากจะมีความสุขด้วยตัวเองแล้ว ยังปรารถนาให้คนอื่นหรือสังคมโดยรวมมีความสุขด้วยกัน เพราะเรามีสติปัญญารู้ว่าความสุขต้องแบ่งปัน สุขคนเดียวหรือสุขกลุ่มเดียวจะอยู่ได้ไม่นาน ฉะนั้น ไม่ว่าเราจะคิด หรือทำสิ่งใดก็ตามจะต้องคำนึงถึงความสุขกับสิ่งที่ทำด้วยจึงจะเกิดประโยชน์สูงสุดทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น ทุนที่ 8 คือ ความปรองดองสมานฉันท์ (Harmony) คือทุกคนทุกระดับใช้หลักสัปปุริสธรรม คือ รู้เหตุ รู้ผล รู้ตน รู้ประมาณ รู้กาล รู้ชุมชน และรู้บุคคล สอดคล้องกับทฤษฎี 8K’s คือทุนทางสังคม (Social Capital) คนเรานั้น ถ้ามีแต่ทุนทางสังคมเพียงอย่างเดียว คงไม่ประสบความสำเร็จได้ ถ้าไม่รู้จักวิธีบริหารเครือข่ายการสร้างปฏิสัมพันธ์ที่ดีต่อกันกับคนอื่น ๆ
ดังนั้น สรุปได้ว่า มนุษย์เรานั้นจะขาดทุนใดทุนหนึ่งไม่ได้ เพราะจะทำให้ขาดความสมดุลในชีวิต เพราะคนเราจะเก่งทางใดทางหนึ่งเพียงอย่างเดียว คงอยู่ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์ไม่ได้หรืออยู่ได้ก็อย่างยากลำบาก เพราะทุกอย่างต้องเดินไปพร้อมกัน จะมีมากมีน้อยแต่ขอให้มีทุนมนุษย์ทั้ง 8 ทุน เดินไปพร้อมกัน จะทำให้การดำเนินชีวิตมีความสุขทั้งหน้าที่การงานและความสุขทางกายและใจนั้นเอง
เล่มที่ 2 ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ บทสนทนาว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของนักคิดและนักปฏิบัติแห่งยุค ซึ่งสรุปได้ว่า ความเชื่อ ความศรัทธา และความมุ่งมั่นในเรื่องต่าง ๆ ของ ท่านพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ จากประวัติการทำงานของทั้ง 2 ท่าน จะให้ความสำคัญกับ “ คน “ เพราะถือว่า คนเป็นทรัพยากรที่มีค่าขององค์กร สมควรให้การดูแลและพัฒนาอยู่ตลอดเวลา ซึ่งในที่สุดทั้ง 2 ท่าน ก็ทุ่มเทการทำงานให้กับสังคมในด้านการศึกษา ให้เด็กไทยได้มีโอกาสเรียนรู้ และพัฒนาการศึกษาในรูปแบบใหม่ เพื่อให้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในยุคโลกาภิวัฒน์ การนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้และสื่อสารได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ที่สำคัญการเรียนรู้จะต้องเรียนรู้อย่างสนุก นำมาใช้เพื่อสร้างสรรค์ ดังแนวคิดของ 2 แชมป์ กัน ทฤษฎี 4 L’s มูลเหตุแห่งความสำเร็จด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ท่านพารณ ได้จารึกไว้ กับ ปูนซีเมนต์ไทย โดยท่านเป็นต้นแบบที่ดี 4 เรื่อง ดังนี้ (1) คนเก่ง- คนดี พบว่า เก่ง 4 ดี 4 คือ เก่ง 4 ได้แก่ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด และเก่งเรียน ดี 4 ได้แก่ ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่ความรู้ คู่คุณธรรม ซึ่งทั้งหมดต้องมีการประเมิน เรียกว่า Capability สำหรับคนเก่ง และ Acceptability สำหรับคนดี คนเก่งฝึกอบรมได้ แต่คนดีต้องสร้างสมด้วยตนเอง (2) ความเชื่อในคุณค่าของคน เชื่อว่าคนเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินอื่นใดในองค์กร (3) การดูแลทุกข์สุขของคนอย่างใกล้ชิด เชื่อว่าคนไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่เป็นเงินอย่างเดียวแต่ยังต้องการผลตอบแทนทางใจด้วย (4) การทำงานเป็นทีม เชื่อว่า “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” คือจัดให้มีระบบคณะกรรมการ ดูแลคนให้ทำงานเป็นทีม เพื่อให้เกิดจิตสำนึกเป็นเจ้าของบริษัทด้วยกัน การนำ HR มาใช้อย่างชาญฉลาด เช่น องค์กรปูน เมื่อเกิดวิกฤต ปี 40-41 บริษัทฟื้นตัวได้เพราะพื้นฐานเรื่อง “ คน “ แน่นมาก จึงเลือกที่จะใช้วิธีใดกับใคร คนไหนดีมีคุณค่าควรเก็บไว้ คนที่มีคุณค่าน้อยก็ปล่อยไปอย่างเหมาะสม โดยการจ่ายค่าตอบแทนให้เขาพอใจ ดังนั้น ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ได้จารึกไว้ บนรายทางว่า มูลนิธิพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ระหว่างประเทศ เกิดมาจากแนวคิดว่า ความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศ จะดีได้ถ้าคนในประเทศไว้เนื้อเชื่อใจกัน การลงทุนในด้านทรัพยากรมนุษย์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง ท่านจึงพัฒนาระบบความคิดไปข้างหน้างอย่างต่อเนื่องด้วยการใช้อุปสรรคที่ผ่านมาเป็นโอกาส เป็นบทเรียนในการแก้ไขสู่ความก้าวหน้า และการมีส่วนร่วมระหว่างคนในสังคม ประกอบกับท่านอาจารย์ มีวิสัยทัศน์กว้างไกล และที่สำคัญท่านอาจารย์มีเครือข่ายสัมพันธ์ (NetworK) ทั้งในและนอกประเทศ จึงทำให้งานยากกลายเป็นงานง่าย ซึ่งแนวคิดการบริหาร Network ได้พูดไว้ในทฤษฎี 8K’s คือ Social Capital แปลว่า ทุนทางสังคม คือทุนที่มนุษย์มีความสัมพันธ์กัน ซึ่งคุณสุชาญ โภคิน กล่าวคำว่า “ พันธุ์แท้ “ น่าจะมีลักษณะคือพันธ์แท้มี 2 ชนิด คือ “ พันธุ์แท้ที่พัฒนา “ กับ “ พันธุ์แท้ที่ไม่พัฒนา “ ทั้งนี้จุดตัดสินอยู่ที่ ของแท้จะต้องอยู่คงทน มี imaginative หรือความคิดริเริ่มใหม่ ๆ อยู่เรื่อย หรือถ้าเป็นสินค้ามีนวัตกรรมหรือ innovation อยู่ตลอดเวลา คำว่า พันธุ์แท้ คือเราไม่หยุดและ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ก็ไม่หยุด คุณสุชาญ ยังพูดถึงทฤษฎี 3 วงกลม ของอาจารย์ ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ว่า วงกลม ที่ 1 เรื่อง Contest หรือ บริบท การบริหารทรัพยากรมนุษย์ต้องใช้ระบบ IT มากขึ้น วงกลมที่ 2 เรื่อง ภาวะผู้นำ นวัตกรรม การบริหารเวลา คือ ดูว่าทรัพยากรมนุษย์จะต้องมี Competencies อย่างไร วงกลมที่ 3 เป็นหลักที่ดี คนเราจะสำเร็จในงานได้ต้องมองว่างานทุกอย่างเป็นงานที่ท้าทายเป็นการใช้หลัก PM (Personnel Management) ดังนั้น คุณสุชาญ จึงมองว่า ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ กับคุณพารณ คล้ายกันตรงที่ “หัวถึงฟ้า ขาติดดิน” ถือเป็นคุณสมบัติของผู้นำที่แท้จริงซึ่งทำให้เห็นว่า ทั้ง ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ และ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยามีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือการมุ่งมั่นในเรื่องทรัพยากรมนุษย์ ยิ่งย้อนกลับไปฟังเขาพูดอีกครั้งยิ่งชวนให้คิดว่า ยังมีอะไรอีกบ้างที่สื่อถึงความคล้ายคลึงกันในหลาย ๆ อย่างในนิยามของการเป็น “ คนพันธุ์แท้ “ ของท่านพารณ กับ ศ.ดร. จีระ ซึ่งบางส่วนจาก ประกายความคลึงคล้ายเท่าที่จะวิเคราะห์ได้ระหว่างคนคู่นี้ คือ
1. เดินสู่สนามของงานสร้างทรัพยากรมนุษย์อย่างบังเอิญ 2. หยัดอยู่ มุ่งมั่นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์บนปรัชญาแห่งความอย่างยั่งยืน 3. จากความยั่งยืน สู่การเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อสังคม 4. มีบุคลิกลักษณะแบบ “ Global Man “ ทำให้เป็นคนมีวิสัยทัศน์ 5. มีความเป็นผู้ใหญ่ พร้อมจะเป็น “ ผู้ให้ “ ทั้ง “ ความรู้ “ และ
“ ความรัก “ แก่คนใกล้ชิด 6. มีความสุขกับการเป็น “ ผู้ให้ “ ต่อสังคมโดยไม่สนใจว่าจะได้รับ “ กล่อง “ หรือ การเชิดชูเกียรติจากใคร ซึ่งจากบทสนทนาของทั้ง 2 ท่านสามารถสรุปได้ว่าคนเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร คุณค่าของคนต้อง
มีคุณภาพ มีคุณธรรม ความจงรักภักดี และมีความสามรถ จะนำองค์กรไปสู่ความสำเร็จ การบริหารงานบุคคลเป็นเรื่องสำคัญเท่ากับการเงิน คนจะมีคุณค่าเพิ่มมากขึ้น ถ้าองค์กรนั้นมีการฝึกอบรมด้านวิชาการ ด้านปกครอง และความรู้ใหม่ๆ และประสบการณ์ที่ทำงานมานาน เมื่อการแข่งขันมากขึ้นต้องมองคนเป็น 2 ประเภท คนภายในองค์กร และคนภายนอกองค์กร ผู้บริหารต้องมี Vision มองไปข้างหน้ายาว ๆ จะมีเทคโนโลยีสมัยใหม่ เครื่องจักร เครื่องมือ เข้ามาก็สามารถที่จะเรียนรู้เพื่อทำงานให้มีประสิทธิภาพ อีกทั้งผู้บริหารจะต้องมีภาวะผู้นำ อีกทั้งยังต้องมีความสามารถในการสื่อสารความคิดหรือความประสงค์สู่พนักงานหรือบุคลากรในองค์กรนั้น ๆ ได้เป็นอย่างดีในส่วนของผู้นำนั้น จำเป็นต้องมีความเชื่อมั่นในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ว่า สามารถที่จะฝึกฝนหรืออบรม ให้สามารถพัฒนาความรู้ ความสามารถ รวมทั้งทักษะขึ้นมาได้ เพื่อให้พนักงานได้มีความรู้ความสามารถเพิ่มขึ้น และถ้าขนาดธุรกิจใหญ่ ๆ การบริหารงานทรัพยากรมนุษย์ลำบากขึ้น ต้องใช้การกระจายอำนาจมอบอำนาจให้พนักงานระดับต่าง ๆ เพื่อให้เกิดความคล่องตัว การสร้างคนในองค์กรต้องสร้างทุกระดับ ตั้งแต่คนงานในโรงงาน ให้มีการฝึกอบรมโดยตลอด การทำงานที่มีคุณธรรม เป็นจรรยาบรรณของพนักงาน เป็นการจรรโลงคุณค่าของสังคมไทยสืบทอดกันไป เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน และผู้บริหารจะต้องประพฤติปฏิบัติตัวให้เป็นไปตามนั้นด้วย การทำงานอย่างมีคุณธรรม ช่วยเราในระยะยาว ได้รับความเชื่อถือยกย่อง อีกทั้งยังต้องสรรหาคนดี คนเก่ง พร้อมทั้งรักษาไว้กับองค์การให้ได้ กลวิธีการสร้างความผูกพันในองค์กร และการรักษาคนเอาไว้จะต้องสร้างความผูกพันและความรักองค์กร ต้องดูแลพนักงานตั้งแต่วันที่เขาเข้ามาทำงานจนถึงวันที่เขาออกไปก็ให้ประโยชน์ตามสมควร ต้องมีสวัสดิการที่ดี มีการปกครองที่ดี ให้ความเป็นธรรมมีส่วนร่วมในการบริหาร ทำงานเป็นทีม ให้ความใกล้ชิดสนิทสนม มีอะไรพูดจาปรึกษากันได้ ทำเช่นนี้ทุกระดับองค์กร ให้ความสำคัญกับพนักงาน ให้ความรัก ความศรัทธา สามารถแก้ปัญหาสมองไหลได้ ผู้บริหารออกไปเยี่ยม ทานข้าวกับลูกน้อง และคนในระดับอื่น ๆ ก็ทำตาม ทำให้คนในองค์กรแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทำให้ไม่อยากออกไปจากองค์กรนี้ ทั้งนี้องค์กรจะต้องให้ความเชื่อมั่นในการบริหารงานของบุคคลในระดับต่าง ๆ เพื่อทำให้เห็นว่าเขามีส่วนร่วมและมีความสามรถที่นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จและบรรลุวัตถุประสงค์ที่ได้วางเป้าหมายไว้กลุ่มที่ 1
1. พระนิธิสิทธิ์ นอขุนทด
2. ดาโต๊ะ อิหม่ามพัฒนา หลังปูเต๊ะ
3. ด.ต. ณรงค์ พึ่งพานิช
4. พ.ต.หญิงประไพศรี บุญรอด5. นางนพมาศ แก้วแหยม 6. นางสาวสุภานุช นุพงค์ 7. นางสาวดนิตา มูลละออง 8. นางดวงตา ม่วงเกตุยา 9. นายอรุณ สุขสมบูรณ์วัฒนา ทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ 1 .ทางชีวิต สองแชมป์ ทั้งสอง มีความเห็นว่า คนเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กร และ เป็นคนไทยกลุ่มแรกที่เริ่มลงมือปฏิบัติการด้านการเพิ่มผลผลิตและคุณภาพ ควบคู่ไปกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์อย่างจริงจัง ทั้งสองมีความมุ่งมั่นในการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีความเข้มงวดเรื่องต้นทุน พยายามทำทุกอย่างอย่างมีคุณภาพ มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และมีความกล้าทำจะทำงานแหวกวงล้อมเพื่อเดินไปสู่เป้าหมายให้สำเร็จการขาดบารมีจึงไม่ใช่ปัญหาที่ต้องเผชิญ 2.พารณฯ ช้างใหญ่ ธงชัยปูน เป็นคนที่ชนะใจลูกน้องเพราะวิธีการทำงานในแบบฉบับของท่าน ทำให้ลูกน้องเกิดแรงจูงใจ เป็นต้นแบบ 4 เรื่อง 1. 1. คนเก่ง-คนดี คนเก่ง- ไดแก่ เก่งงาน,เก่งคน,เก่งคิด,เก่งเรียนคนดี-ได้แก่ ประพฤติดี ,มีน้ำใจ,ใฝ่ความรู้.คู่คุณธรรม2 .คุณค่าของคน เชื่อว่า “คนเป็นทรัพยากรที่คุณค่ามากที่สุด”3 .ดูแลทุกข์สุขของพนักงานอย่างใกล้ชิด มีความเชื่อว่า “คนไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่เป็นเงินทองอย่างเดียว แต่ยังต้องการผลตอบแทนทางใจด้วย”4.การทำงานเป็นทีม มีความเชื่อว่า “สองหัวดีกว่าหัวเดียว” ชอบให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมและ พยายามสร้างองค์กรให้มีบรรยากาศของครอบครัว มองทรัพยากรมนุษย์ไม่ใช่เฉพาะคนที่ทำงาน แต่จะมององค์กรโดยรวม โดยจะใช้นโยบายการดึงคนเป็นพวก3.จีระ จารึกไว้ บนรายทาง เป็นผู้อำนวยการสถาบันทรัพยากรมนุษย์คนแรก โดยได้รับการเสนอชื่อจาก ดร.โฆษิตฯเพราะท่านมีความสามารถในภาวะผู้นำและการบริหารและมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ เอาจริงจัง มิใช้เอาแต่พูด แต่จะต้องให้พอใจด้วยถึงจะทำ ถ้าไม่พอใจจะไม่ทำ คนแบบนี้ดีถ้าเขาจะทำงาน เขาจะทำของเขาเองจนสำเร็จ เราไม่ต้องไปจี้ เพียงแต่ต้องรู้จักที่จะปฏิสัมพันธ์กับท่าน อีกประการ ท่านเป็นคนที่มาจากตระกูลที่ดีจิตใจ และพฤติกรรมจึงงดงาม ท่านเป็นคนรักอิสระมากแต่ก็เป็นคนสุภาพมากนับว่าเป็นคนดีคนหนึ่งที่วางใจได้ด้านวิชาการ- เป็นนักวิชาการที่ติดดิน คือเป็นอาจารย์ที่ลงมาคลุกวงใน ลงมาคลุกกับภาคปฏิบัติ ท่านจึงเป็นผู้ทำหน้าที่ทางวิชาการอย่างสมบูรณ์ คือมีการศึกษา ค้นคว้า วิจัย อย่างลึกซึ้งถึงแก่นด้านการบริหารจัดการ- เป็นคนใจกว้าง เปิดโอกาสให้ทุกคนแสดงความคิดเห็นอย่างเต็มที่ โดย จะรับฟังความคิดเห็นของทุกคนทุกด้าน แม้ว่าข้อคิดเห็นนั้นจะเป็นความเห็นในเชิงลบที่รุนแรง ก็จะรับ ฟังและนำมาพิจารณาด้วยความเต็มใจและโดยเปิดเผยท่านจะใช้วิธีการบริหารจัดการแบบมีส่วนร่วม ซึ่งได้ใช้วิธีนี้มาตั้งแต่ต้นจนถึงปัจจุบันด้านการเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ - เป็นนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ เป็นผู้บุกเบิกและเป็นผู้จุดประกายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ของประเทศไทย4. ปรัชญาที่ปลายนวม อาจารย์ทั้ง 2 ท่าน ได้สรุปถึง ปรัชญาสำคัญของการพัฒนาคน ซึ่งนับเป็นการลงทุนที่ซึ้งมาก โดยต้องทำทั้งระบบครบวงจร มีทั้งทางเศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา การบริหารการจัดการและกลยุทธ์ซึ่งทุกอย่างต้องสอดคล้องกันจะเน้นด้านหนึ่ง ด้านใดไม่ได้ ปลายทางของคุณภาพของทรัพย์กรมนุษย์ในระดับ จุลภาค ย่อมส่งผล ต่อความได้เปรียบในระดับมหาภาค ถ้าเราสามารถ เรียนรู้ที่จะมีทักษะ ความเชี่ยวชาญในการจัดการกับคนแล้วย่อมสามารถที่จะ ดึงเอาศักยภาพของพวกเขาออกมาให้เกิดประโยชน์สูงสุด กับองค์กรได้ แล้วทุกคน จะมีความภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วม ในการบริหารองค์กรของพวกเขา แต่สิ่งสำคัญในบทนี้ได้ เน้นถึง การเป็น “คนเก่ง” ต้องควบคู่กับการเป็น“คนดี” ด้วย5. ความเชื่อ ศรัทธา และหลักการ เน้นเรื่องการบริหารคน ซึ่งถือเป็นหัวใจของการบริหาร ไม่ควรจะจำกัดอยู่กับบทบาทเดิมๆ อาทิเช่น โครงสร้างเงินเดือน การรับสมัครบุคลากร การประเมินผล สวัสดิการ ประกันสังคม เท่านั้น แต่ต้องเน้นเรื่องความเชื่อมั่นศรัทธาในระบบการเรียนรู้มากกว่า รูปแบบเดิม6. บันไดแห่ง ความเป็นเลิศ ทรัพยากรมนุษย์ เป็นตัวแปรสำคัญ เท่าๆ กับตัวแปรอื่นๆ เช่นทรัพยากรมนุษย์ เทคโนโลยี หรือทรัพยากรด้านการเงิน สิ่งหนึ่งที่ทำให้ HR ประสบความสำเร็จ ก็คือควรจัดให้มีการ ฝึกอบรม อย่างสม่ำเสมอซึ่งจะเกิดผลลัพธ์ในระยะยาว การบริหารองค์กรควรทำให้ทุกคนเกิดความรู้สึกว่าเป็นเสมือนหนึ่งเป็นคนในครอบครัว เดียวกัน
7 . ให้ความรักถึงจะภักดี ภายใต้กระแสโลกาภิวัฒน์ เป็นอุปสรรคต่อการสร้างจงรักภักดี ซึ่งทั้ง 2 ท่านมีความคิดเห็นตรงกันว่าในการบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ว่าการรักษาทรัพยากร(มนุษย์)ให้อยู่ในองค์กรตลอดไปจะต้องสร้างความผูกพันต่อองค์กร มีความพอใจกับงาน การยอมรับ การขึ้นสู่ตำแหน่ง เมื่อรวมกันแล้วทำให้คน ๆ นั้นมีความสุขกับการทำงานที่อยู่ตรงนั้น ดังนั้นจะเห็นว่าสิ่งที่ต้องสร้างขึ้นมาต้องใช้เวลาในการสร้าง ผู้ที่มีบทบาทในกระบวนการสร้างความจงรักภักดีสิ่งสำคัญจะต้องมีความเข้าใจถึงคุณค่าของมนุษย์เสียก่อนจึงจะทำงานด้านอย่างประสบผลสำเร็จในการสร้างความจงรักภักดี ในองค์กรไม่ว่าจะเป็นองค์กรที่ทำธุรกิจแบบครอบครัวหรือบริษัทต่าง ๆ ต้องมีบรรยากาศองค์กรแบบองค์กรที่มีชีวิต คือต้องมีความสามารถในการเรียนรู้ได้ตลอดไป บริษัทไม่ได้ขึ้นอยู่กับเงินอย่างเดียวขึ้นอยู่กับความสมดุลของมนุษย์ที่อยู่กันด้วยความรัก การให้เกียรติซึ่งกันและกัน การถามสารทุกข์สุกดิบของครอบครัว เป็นการสร้างความไว้วางใจอาจเกิดประโยชน์ของความจงรักษาภักดี การจะรักษาบุคลากรเอาไว้ให้อยู่กับองค์กรได้นั้นผู้นำจะต้องสร้างความผูกพันในองค์กรให้เกิดขึ้นต้องทำให้บุคลากรเกิดความรักในองค์กร8. มหัศจรรย์แรงจูงใจ สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กรคือคน ในปัจจุบันนี้เป็นสิ่งที่แท้จริงว่าทรัพยากรมนุษย์ชนิดใหม่ที่เป็นคนงานที่มีความรู้หรือ knowledge worker ไม่ใช่เป็นคนงานแบบไหน ก็ได้ เพราะขณะนี้ทุกองค์กรกำลังทำสงครามกับความสามารถ จะเห็นว่ากลยุทธ์สำคัญที่ผู้นำองค์กรต้องตระหนัก คือการมีส่วนร่วมในองค์กรการทำงานที่ท้ายการได้ทำงานเป็นทีมการให้รางวัลพิเศษ การเพิ่มพูนความรู้วัฒนธรรมองค์กร การประเมินผลอย่างโปร่งใส การได้รับความยกย่องในผลสำเร็จของงานความเป็นธรรมในการบริหารปกครองของผู้นำสภาพแวดล้อมการทำงานการจ่ายค่าตอบแทนที่เป็นธรรม แม้กลยุทธ์ค่าจ้างจะเป็นประเด็นที่สำคัญที่สุดแต่นโยบายเรื่องการกำหนดค่าจ้างไม่ใช่นโยบายที่ตั้งขึ้นโดยอิสระแต่เป็นการเกี่ยวข้องกันและเชื่อมโยงกับนโยบายด้าน HR และนโยบายโดยรวมขององค์กร จะทำอย่างไรสร้างแรงจูงใจที่มีประสิทธิภาพและเกิดผลจริงกับการทำงานบนความเปลี่ยนแปลง แรงจูงใจจึงเป็นสิ่งที่ผู้บริหารต้องเข้าใจ เพราะคนเก่งบางคนไม่ต้องการแค่เงินมากไปกว่าการได้ทำงานที่ท้าทาย แรงจูงใจย่อมมีอิทธิพลต่อคนในบทบาทที่ขับเคลื่อนมนุษย์สู่ความเป็นเลิศ หลังวิกฤติองค์กรในประเทศไทย มีการเปลี่ยนแปลงด้านแรงจูงใจมากขึ้น โดยเน้น เรื่องการสร้างให้คนมีความสามารถในการเรียนรู้ได้มากขึ้นและการประเมินคุณภาพตามความสามารถ9. สานสร้าง Global Citizen จะกล่าวได้ว่าการเรียนรู้เป็นสิ่งสำคัญแต่การนำเทคโนโลยีมาใช้ไม่ใช่เป็นสิ่งสำคัญแต่เป็นเพียงเครื่องมือในการเรียนรู้เพื่อนำไปสู้กระบวนความคิดที่เป็นระบบอย่างยั่งยืน ภายใต้สถานการณ์ที่อยู่ปัจจุบันการจัดการด้านการศึกษาไม่ได้เป็นไปตามแนวทางการปฏิรูปการศึกษา ศ.ดร.จีระแสดงให้เห็นว่าการเรียนรู้ไม่ได้อยู่ที่โรงเรียนเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงครู นักเรียน ผู้ปกครอง ซึ่งทุกฝ่ายจะต้องช่วยเป็นกำลังสำคัญที่จะผลักดันให้โครงการปฏิรูปการศึกษาเดินหน้าต่อไป ความร่วมมือกันระหว่างโรงเรียน ผู้บริหาร ผู้ปกครอง เข้ามามีส่วนร่วมจะเห็นว่าการเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริงถือเป็นปรัชญาทางศาสนาพุทธที่แท้จริง เพราะถ้าเด็กได้ปฏิบัติแล้วซึมซับเข้าไปในจิตใจจะทำให้มีการเรียนจากของจริงจากประสบการจริง10.ปลายทางไทย สู่ชัยชนะ เป็นผู้บุกเบิกแนวความคิดเรื่องการเพิ่มผลผลิตหรือProductivityให้กับประเทศไทยมากว่า 20 ปี โดยให้การสนับสนุนการเพิ่มผลผลิตทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างต่อเนื่อง มีจุดแข็งคือ มีความเป็นผู้นำในการที่จะสามารถจูงใจให้ผู้คนยอมรับเอาความคิดขบวนการเพิ่มผลผลิตไปใช้ไม่เช่นนั้นย่อมไม่มีวันสำเร็จ สิ่งนี้ถือเป็นบารมีเฉพาะบุคคล11.บทบันทึก “พารณ-จีระ”ให้น้ำหนักชีวิตไปทางการสร้างคนตามแนวคิด”Constructionism”ไม่ว่าจะเป็นที่”ดรุณสิกขาลัย”หรือ”บ้านสันกำแพง”และอีกหลาย ๆ แห่งซึ่งเปรียบเสมือนห้องทดลองชีวิตที่เขาปรารถนาจะสัมผัส ใฝ่ฝันจะจับต้อง ถึงรูปธรรมของคำว่า”Global Citizen”มากกว่าการซึมซับในแง่ของนิยาม.....ความหมาย และมุ่งมาตร กับการสร้างอาณาจักรแห่งการเรียนรู้ขึ้นอย่างไม่ยึดติด ทั้งสองมุ่งมั่นสร้างคนก่อนสร้างงานโดยเน้นการมีความคิดริเริ่มและมีส่วนร่วม12.ส่งท้าย.....คนพันธุ์แท้ มีบางส่วน คล้ายคลึง คือ 1.เดินสู่สนามของงานสร้างทรัพยากรมนุษย์ อย่างบังเอิญ 2.หยัดอยู่ มุ่งมั่นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์บนปรัชญาแห่งความมุ่งมั่นอย่างยั่งยืน 3.จากความ ยั่งยืน สู่การเป็นผู้ทรงอิทธิพลทางความคิดต่อสังคม 4.มีบุคลิกลักษณะแบบ “Global Man” ทำให้เป็นคนมีวิสัยทัศน์ คือ การมีวงจรชีวิตที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนต่างชาติอยู่เนืองนิตย์ และประสบความสำเร็จ ทั้งในเชิงเป้าหมายงานและการยอมรับ ความน่าเชื่อถือจากคู่กรณีที่เข้าไปเกี่ยวข้องด้วย 5.มีความเป็นผู้ใหญ่ พร้อมจะเป็น “ผู้ให้” ทั้ง “ความรู้”และ”ความรัก”แก่คนใกล้ชิด 6.มีความสุขกับการเป็น”ผู้ให้”ต่อสังคมโดยไม่สนใจว่าจะได้รับ”กล่อง”หรือ การเชิดชูเกียรติจากใคร “คนพันธ์แท้” มันไม่มีเหตุผลอะไรมากไปกว่า ถ้าตะลุยเรียนรู้ ความคิดสองปราชญ์ทรัพยากรมนุษย์คู่นี้เพื่อสร้างชาติไทยให้แกร่ง พร้อมยืนหยัดอยู่บนโลกแห่งการเปลี่ยนแปลงอย่างมีชัยชนะ13. จีระพบ Guru Dr. Hammer เป็นผู้นำเรื่องแนวคิดและยังมีความคิดกว้างไกล ที่อยากเห็นประเทศไทยมีศักยภาพในการแข่งขัน ทัดเทียมประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ท่านมักจะเลือกแต่สิ่งที่สำคัญและมีคุณค่าต่อความเป็นจริงในโลกทำให้ค้นพบแนวความคิดจากการศึกษาและวิเคราะห์จากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นและเกี่ยวข้องสัมพันธ์ ตรงประเด็น กับสิ่งที่อยู่รอบๆ ตัว2 พลังความคิดชีวิตและงาน บทที่ 1 Heritage (มรดก)รากฐานของชีวิต & Sustainable Capital ทุนแห่งความยั่งยืน มรดกทางวัฒนธรรมคือลักษณะที่แสดงถึงความเจริญงอกงาม ความเป็นระเบียบเรียบร้อย ความกลมเกลียวก้าวหน้าของชาติ และศีลธรรมอันดีของประชาชน ข้าราชการทุกคนควร ปรับบทบาทการดำเนินงานในเชิงรุกและสื่อสาร 2 ทาง ให้ใกล้ชิด เข้าถึงสังคม ชุมชนและประชาชนมากยิ่งขึ้นเพื่อให้เกิดความรัก ความภาคภูมิใจในแก่นสาระและคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมไทย เพราะยุคโลกาภิวัตน์ ประชาชนคนไทย มีทุนทางวัฒนธรรมที่แข้งแกร่ง ได้ช่วยเพิ่มคุณค่าทั้งทางสังคม และยังช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ Sustainability Capital หรือทุนแห่งความยั่งยืน เป็นทุนที่สำคัญของทรัพย์ยากรมนุษย์ในยุค โลกาภิวัฒน์ ให้มีศักยภาพและมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองและเรียนรู้ร่วมกันเป็นกลุ่มอย่างต่อเนื่องจนมีนิสัยใฝ่รู้ไปตลอดชีวิตและพร้อมปรับตัวให้รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของโลก รวมทั้งมีความรู้และทักษะในการประกอบอาชีพที่สนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ เมื่อมารวมตัวร่วมคิด ร่วมทำในกิจกรรมต่างๆ นำความรู้ที่ตนเองมีอยู่มาแลกเปลี่ยน เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องและก่อให้เกิดประโยชน์ได้กว้างขวางยิ่งขึ้นบทที่ 2 Head สมอง (คิดเป็นคิดดี) & Intellectual Capital ทุนทางปัญญา ทุนทางปัญญา เช่นความรู้ ความสัมพันธ์กับลูกค้า และความชำนาญ กลายเป็นทรัพยากรที่มีความสำคัญมากต่อความแข็งแกร่งและความสำเร็จของธุรกิจ การดำเนินงานทุกๆ ธุรกิจนั้นต้องมีการใช้สมอง การมีความคิด มีความรู้แล้วยังต้องมีสติเมื่อคิดเป็นแล้วต้องคิดดีอีกด้วย เรียกว่ามีสมองที่รู้จักวิเคราะห์ใช้เหตุผล ทำให้เกิดปัญญา ทรัพยากรมนุษย์นั้นสามารถเพิ่มมูลค่าและพัฒนาไปได้ตลอดเวลาไม่มีจบสิ้น ทุนทางปัญญาคือการนำศักยภาพภายในบุคคลมาพัฒนาและส่งเสริม ด้วยความคิดอย่างเป็นระบบ ซึ่งเมืองไทยก็มีความคิด แต่เป็นความคิดฟุ้งซ่านขาดระบบ ดังนั้นเราต้องเริ่มสอนตั้งแต่เด็กให้คิดเป็น โดยสร้างกระบวนการคิดอย่างเป็นระบบ สอนให้คิดเป็นภาพ เพื่อสรุปเรื่องไว้ในสมองได้ สร้างหลักการที่เชื่อมโยงกับวิสัยทัศน์ ให้เกิดการเรียนรู้ขณะปฏิบัติ และเรียนรู้อย่างเป็นทีมผสมผสานศาสตร์แขนงต่างๆ ร่วมกันแบบองค์ร่วม ตลอดจนพัฒนาจิตสำนึกและใช้ประโยชน์จากจิตใต้สำนึกบทที่ 3 Hand ทำงานด้วยฝีมือตนเอง & Talent Capital ทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนคติ จะมีประโยชน์อะไรถ้ามีความรู้อย่างเดียว แต่ไม่นำความรู้นั้นไปลงมือทำ มันก็ไม่แสดงผล ในการทำงานทุกประเภท ควรเน้นที่การลงมือทำด้วยตนเอง ความเป็นมืออาชีพนั้น คือคุณสามารถ ทำงานที่คุณทำได้ ไม่ว่าจะเป็นอาชีพอะไร ก็เท่ากับว่าคุณประสบความสำเร็จในส่วนนั้นแล้ว การพัฒนาพนักงาน จะเน้นเรื่องของทักษะความชำนาญ ในงานที่รับผิดชอบ เพื่อช่วยให้ปฏิบัติงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น บนพื้นฐานว่า มีทุนความรู้ โดยเฉพาะความรู้โดยนัย ที่ซ่อนอยู่ในความคิด ค่านิยมของเขา การคัดเลือกพนักงาน จึงสนใจพิจารณาทุนทางความรู้ (knowledge capital) ที่อยู่ในสมองของผู้สมัครว่า มีความรู้ตรงกับที่องค์กรต้องการหรือไม่ ส่วนการพัฒนาพนักงาน จะเน้นไปที่การให้ความรู้ด้านต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงาน ตลอดจนการเพิ่มทักษะ ในการแสวงหาความรู้ และการเรียนรู้ด้วยตนเอง เพื่อให้พนักงานสามารถเพิ่มพูดความรู้ ได้ด้วยตนเองบทที่ 4 Heart จิตใจที่ดี & Ethical Capital ทุนทางจริยธรรม สุขภาพ ที่มุ่งให้คนมีร่างกายแข็งแรงสามารถดูแลตนเองได้ ด้านจิตใจ ให้เป็นคนที่มีจิตใจดี มีน้ำใจ เอื้ออาทร เคารพกฎเกณฑ์ของสังคม มีวินัย ซื่อสัตย์ มีความเสียสละ มีจิตสำนึกสาธารณะ และรักชาติ ฯลฯ และการเสริมสร้างความสุขในการทำงานเป็นสิ่งจำเป็นเพราะนอกจากจะทำให้ชีวิตมีความสุขแล้ว ยังทำให้ผลงานออกมาดี มีประสิทธิภาพ เป็นที่น่าพอใจ ส่งผลให้มีความเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เกิดความภาคภูมิใจในตนเองและทำให้หน่วยงานเจริญก้าวหน้าไปด้วยเช่นกัน เมื่อมีความสุขกับการทำงานแล้วเราควรที่จะมีทุนทางจริยธรรมก็คือบุคลากรที่มีความรู้ดี สติปัญญาดี จะสร้างให้เกิดทุนทางจริยธรรมได้ หากทรัพยากรมนุษย์ที่มีทั้งทุนมนุษย์ คือ พื้นฐานดี มีทุนทางความรู้ ทุนทางปัญญาดี แต่ถ้าไม่มีคุณธรรมก็ไม่สามารถพัฒนาองค์กรหรือประเทศได้เท่าที่ควร ฉะนั้น ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงควรให้การปลูกฝังทุนทางจริยธรรมไว้ตั้งแต่เบื้องแรก หรือแทรกเข้าไปในเนื้อหาเป็นส่วนสำคัญอีกส่วนหนึ่ง บทที่ 5 Health สุขภาพพลานามัย & Digital Capital ทุนทางเทคโนโลยี สารสนเทศ การทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำ หรือการทำงานโดยไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อยหากทำอยู่เป็นระยะเวลานาน ก็ย่อมส่งผลต่อสุขภาพให้อ่อนแอลงอย่างแน่นอนมนุษย์ควรจะทำงานมากน้อยแค่ไหน จึงจะเหมาะสม และทำให้มีสุขภาพที่ดีมนุษย์เราทำงานเพื่ออะไร เพื่อให้ได้เงินมาจับจ่ายใช้สอยตามที่ต้องการเท่านั้นหรือ หรือทำงานเพื่อตนเองและช่วยเหลือสังคมให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เราควรจะได้ทำงาน ในสภาพบรรยากาศที่ดี มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะ เพื่อเราจะได้มีร่างกายที่แข็งแรงและมีสุขภาพที่ดีจงระลึกเสมอว่า หากเราทำให้ภาวะสิ่งแวดล้อมต้องแปรเปลี่ยนไป จะมีผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อมวลมนุษย์ เราควรทำงานอย่างมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่ถูกเบียดเบียน ข่มเหง รังแก จากเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ให้เกียรติและยกย่องเพื่อนร่วมงานเสมอกัน ไม่ว่าหน้าที่ตำแหน่งงานจะต่างกันก็ตามเราควรจะใช้วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี สนองความต้องการของมนุษย์อย่างไร จึงจะได้ประโยชน์สูงสุด โดยใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่น้อยที่สุด และไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์ด้วยบทที่ 6 Home บ้านและครอบครัว & Human Capital ทุนมนุษย์ ทุนมนุษย์ คือ ทุนที่ได้มาจากความรู้ขั้นพื้นฐานของการพื้นฐานของการศึกษาเล่าเรียนในสถาบันการศึกษา ทุนที่ได้มาจากการอบรมสั่งสอนเลี้ยงดูจากบิดา มารดาทุนมนุษย์มาดี เมื่อเข้าสู่ระบบการเรียนการสอน เข้าสู่สังคมหรือองค์กร ก็จะสามารถต่อยอดทุนมนุษย์สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตนเอง สังคม องค์กรและประเทศชาติได้เป็นอย่างดี ทุนมนุษย์จึงเป็นรากฐานที่สำคัญ ที่จะมีผลต่อการพัฒนาทุนด้านอื่นของมนุษย์ทุนมนุษย์ (Human Capital) นั้นจัดเป็นสินทรัพย์ชนิดหนึ่งและเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible Asset) ซึ่งตามปกติแล้วไม่สามารถวัดเทียบเป็นมูลค่าทางธุรกิจได้ แต่ในที่สุดแล้ว สามารถที่ จะแปลงสภาพให้กลายเป็นสินทรัพย์ที่สามารถวัดเทียบมูลค่าออกมาได้ และยังสามารถทำให้มีสภาพคล่องได้อีกต่างหาก ดังนั้นจุดเริ่มต้นของทุนมนุษย์คือบ้านและครอบครัวพื้นฐานที่สำคัญมากของทุกๆ คน สถาบันครอบครัวที่เข้มแข็งและอบอุ่นสามารถช่วยลดปัญหาทุกอย่างลงไปได้ วัฒนธรรมไทยนั้นชีวิตเป็นพหูพจน์ไม่ใช่เอกพจน์ คือเป็นครอบครัวใหญ่ ไม่ใช้ครอบครัวเดี่ยว ซึ่งถ้าพึ่งพากันได้ในครอบครัวก็จะไม่เป็นภาระกับสังคมประเทศชาติโดยรวมบทที่ 7 Happiness การดำเนินชีวิตอย่างมีชีวิต & Happiness Capital ทุนแห่งความสุข นิยามความสุขในชีวิตของผู้คนอาจจะแตกต่างกัน การมีเงินมากไม่ใช่ความสุขในชีวิตของผู้คนอย่างแท้จริง จริงอยู่เงินช่วยทำให้คนเรามีอำนาจในการใช้สอยมากขึ้น ชีวิตอาจจะสะดวกสบายขึ้น ได้รับการยอมรับจากสังคม แต่ก็ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง ความสุขแบบนี้ไม่ยั่งยืน การได้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ว่าจะทำสิ่งเหล่านั้นเมื่อไหร่ ทุกครั้งที่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นต่างมีความสุข นั่นต่างหากที่เป็นความสุขแท้จริงของผู้คนในการทำงาน-การเป็นสื่อให้สังคมได้รับรู้ในการความสำคัญกับคนการมองคนให้เป็นประโยชน์ การวางแผนเศรษฐกิจและทรัพยากรมนุษย์เป็นเป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างศักยภาพในการแข่งขันทรัพยากรมนุษย์คือ มูลค่าเพิ่มในระยะยาวไม่ใช่ต้นทุนอย่างเดียว เพราะสังคมจะอยู่ได้ต้องลงทุนในเรื่องคน
หนังสือเรื่องที่ 2 : 2 พลังความคิดชีวิตและงาน
เรียน ศ.ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ และเพื่อน ๆ MPA 4 มร.สส. ทุกท่าน จากงานกลุ่มที่ได้รับมอบหมาย ให้แสดงความคิดเห็นจากการอ่านหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ และสองพลังความคิด ชีวิตและงาน นั้น กลุ่มที่ 3 ขอแสดงความคิดเห็นดังนี้ “หนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้” โดยผู้ศึกษาได้อ่านแล้วเห็นความคล้ายกันของชีวิต 2 คน คือ คุณพารณ อิศรเสนา ณ อยุธยา และ ศ.ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ โดยมีเป้าหมาย เดียวกัน นั่นคือ การมุ่งมั่นในเรื่อง “คน” HR – Human Resources หรือ “ทรัพยากรมนุษย์” ซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ที่มีค่าที่สุดขององค์กร เปรียบได้กับ “จักรยานยนต์นานไปคุณค่าก็มีแต่เสื่อมลง แต่คนถ้าได้รับการอบรม พัฒนา ยิ่งนานยิ่งเก่งกล้า คุณค่าก็เพิ่มมากขึ้น แต่ในทำนองเดียวกัน คนถ้าไม่ดูแลพัฒนาคุณค่าก็จะเสื่อมลงได้” เหนือสิ่งอื่นใดองค์กรทุกองค์กรควรมีการดูแล “คน” เป็นอย่างดี เพราะคนเป็นสิ่งที่มีค่าที่สุดขององค์กร งานจะสำเร็จได้ด้วยคน ผู้บริหารควรต้องดูแลลูกน้องตั้งแต่เขาเดินเข้ามาทำงานกับบริษัท เขาควรได้รับการฝึกอบรมเอาใจใส่ดูแลจนกระทั่งวันที่เขาเกษียณอายุออกไป เพราะเชื่อว่า องค์กรจะดีเพราะมีคนเก่งและดี องค์กรจะแย่เพราะมีคนไม่เก่งและคนไม่ดี นั่นคือที่มาของความคิดที่ว่า “คนเป็นสมบัติที่มีค่าที่สุดขององค์กร” ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่งในการทำให้การเพิ่มผลผลิตประสบความสำเร็จก็คือ “ความจงรักภักดี” ซึ่งถือเป็นประเด็นใหญ่ที่เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมองค์กรด้านการพัฒนาคน การที่เราจะให้ผู้บริหารมาเห็นความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยคำพูดนั้นมันไม่ถูกต้อง แต่เราจะต้องสร้างหรือทำให้เกิดมูลค่าเพิ่มในตัวมนุษย์ให้เขาเห็นเสียก่อน หลักการบริหารจะเน้นความมีส่วนร่วมของพนักงานให้เกิดความผูกพันกับบริษัท เวลาจะทำอะไรต้องมี “ความเชื่อ” ก่อน จึงทำ จะไม่ทำตามที่เขาว่ากัน หรือทำตามกันมาหรือทำเพราะกระแสสังคม เมื่อทำตามความเชื่อผลจึงออกมาดี ถ้าพูดถึงเรื่อง “คน” ต้องเป็นต้นแบบใน 4 เรื่องนี้ 1. เรื่องของ “คนเก่ง – คนดี” เชื่อว่า คนที่สามารถทำองค์กรให้ประสบความสำเร็จจะต้องทั้งเก่ง ทั้งดี คือ “เก่ง 4 ดี 4” เก่ง 4 ได้แก่ เก่งงาน เก่งคน เก่งคิด และเก่งเรียน และดี 4 ได้แก่ ประพฤติดี มีน้ำใจ ใฝ่ความรู้ คู่คุณธรรม 2. ความเชื่อในเรื่องคุณค่าของคน คนทุกคนเป็นทรัพย์สินที่มีค่ามากกว่าทรัพย์สินอื่นใดในองค์กร 3. ดูแลทุกข์สุขของคนอย่างใกล้ชิด คนไม่ได้ต้องการผลตอบแทนที่เป็นเงินทองอย่างเดียว แต่ยังต้องการผลตอบแทนทางใจด้วยการจ่ายค่าจ้างอย่างดีแล้ว สวัสดิการดีอยู่แล้ว แค่นี้คิดว่าไม่พอ มันต้องมี “น้ำใจ” 4. การทำงานเป็นทีม “สองหัวดีกว่าหัวเดียว”
จากการสนทนาระหว่าง ท่านพารณ อิศรเสนา และ ท่านอาจารย์ ดร. จีระ หงส์ลดารมภ์ ช่วงคัมภีร์คนพันธุ์แท้ ซึ่งเป็นแนวทางในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ตั้งแต่เรื่องปรัชญาของทรัพยากรมนุษย์ที่ว่า คน ถือเป็นทรัพยากรที่สำคัญที่สุดขององค์กร การพัฒนามนุษย์โดยมุ่งเน้นเรื่องการเรียนรู้จากประสบการณ์การทำงานบริหารงานโดยเน้นคนเป็นสำคัญต้องมีวิสัยทัศน์ในการวางแผนมีการพัฒนาคนทุกระดับตั้งแต่ผู้นำจนถึงผู้ปฏิบัติงานสร้างบรรยากาศที่ดีต่อการเรียนรู้คนต้องได้รับแรงจูงใจในการทำงานไม่เพียงแต่ค่าตอบแทนเพียงอย่างเดียวและจะต้องมีสุขภาพทั้งกายและใจที่ดี มีความรู้สึกเป็นเจ้าขององค์กร และมีคุณภาพชีวิตที่ดีต้องสร้างคนให้เข้าสู่ยุคโลกาภิวัฒน์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องภาษาอังกฤษ และความสามารถในการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาผสมผสานในการทำงาน ที่สำคัญขององค์กรสามารถนำความรู้จากหนังสือทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ไปเป็นแนวทางสร้างสรรค์ด้านการบริหารทรัพยากรมนุษย์จะต้องให้ความสำคัญกับพนักงานทุกคนเท่า ๆ กัน และจะต้องให้เขาได้มีโอกาสได้รับการพัฒนาด้าน ทักษะ ความรู้ ความสามารถตลอดเวลา เพื่อให้เขาได้มีประสบการณ์ มีความรู้ ความชำนาญเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังคำกล่าวที่ว่า คน คือทรัพยากรมนุษย์ที่สำคัญขององค์กรตลอดจนต้องดูแลให้เขาได้รับสวัสดิการต่าง ๆ ที่เขาควรจะได้รับเพื่อแรงจูงใจในการทำงาน และเพื่อรักษาสภาพให้เขาอยู่กับองค์กรไปนาน ๆ เมื่อคนมีคุณภาพมีศักยภาพดีก็จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ความสำเร็จหรือความล้มเหลวขององค์กรจะเกิดขึ้นได้ล้วนอยู่ที่คน การรักษาคนในองค์กรจะต้องสร้างความผูกพันหรือสร้างความรักบริษัทให้เขา ต้องให้ความสำคัญกับพนักงานเป็นอันมาก จากการอ่านทำให้ผู้อ่านเห็นภาพเข้าใจได้ดีง่ายต่อการปฏิบัติ
คุณสมบัติ 3 ประการที่จะเป็น Global citizen ของไทยที่จะก้าวไปสู่ระดับสากล ได้แก่ 1. ความคล่องแคล่ว ในภาษาไทย ภาษาอังกฤษ2. เทคโนโลยี3. คุณธรรม
การเรียนรู้โดยการปฏิบัติจริง คือ ปรัชญาศาสนาพุทธ เพราะถ้าเด็กปฏิบัติแล้วจะซึมซับเข้าไปในตัวของเขา จะทำให้เขารู้จริงและติดตัวเขาไปอีกนาน เมื่อมนุษย์พันธุ์ Global จะสามารถผลิตประชากรทันการแข่งขันระดับโลก เพราะเด็กมีความสามารถในทางด้านภาษาและเทคโนโลยี การสร้างการเรียนรู้ในสังคมระดับ Micro ตั้งแต่คนด้อยโอกาสไปจนถึงชั้นผู้นำทางความคิดของชาติ เพื่อขยายไปสู่ Macro ในที่สุด ผู้นำจึงต้องกำหนดวิสัยทัศน์ที่จะต้องสร้าง Competitive Advantage of Thailand ขึ้นให้ได้ ถ้าคนไทยมีความสามารถในการเรียนรู้ด้วยตนเองได้และเรียนรู้ตลอดชีวิต เราก็จะสามารถสู้กับคนทั้งโลกได้ 2 พลังความคิด ชีวิตและงานหนังสือ 2 พลังความคิด ชีวิตและงาน เป็นหนังสือแนวทางการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ที่ได้แนวคิดจากการสนทนาของผู้นำนักพัฒนาทรัพยากรมนุษย์พันธุ์แท้ 2 ท่าน ท่านแรกคือ คุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ สุภาพสตรีที่มีความแน่วแน่ในการพัฒนาคน ท่านให้ความสำคัญกับคนมาโดยตลอดว่า “คน” เป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้องค์กรประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว และอีกท่านหนึ่ง คือ ศาสตราจารย์ ดร.จีระ หงส์ลาดรมภ์ “คนถือธงนำ” ในเรื่องการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และเป็นผู้จุดประกายการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในระดับชาติ โดยใช้การบูรณาการความคิดและความสามารถของคนอย่างได้ผลและยั่งยืน
ทั้งสองท่านมีแนวคิดในการบริหารคนที่สอดคล้องกันหลายประเด็น ซึ่งเป็นแนวคิดที่กลั่นมาจากความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่สั่งสมมานาน จนสร้างเป็นทฤษฎีที่เป็นหลักและวิธีการในการบริหารทรัพยากรมนุษย์ นั่นคือ ทฤษฎี 8 H’s ของคุณหญิงทิพาวดี เมฆสวรรค์ และทฤษฎี 8 K’s ของศาสตราจารย์ ดร.จีระ หงส์ลดารมภ์ ซึ่งสองทฤษฎีนี้ มีทั้งความเหมือนและความต่าง เข้าใจง่ายแต่มีความหมายที่ลึกซึ้ง เหมาะอย่างยิ่งสำหรับการนำไปใช้เป็นแนวทางในการบริหารทรัพยากรมนุษย์
ทฤษฎี 8 H’s ของคุณหญิงทิพาวดี ท่านให้ความสำคัญกับ H แรกคือ Heritage ที่หมายถึงรากเหง้า มรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งเป็นรากฐานชีวิตของคนทุก ๆ คน ที่จะทำให้เรารู้จักตัวเองและสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง ซึ่งสอดคล้องกับทฤษฎีเพิ่มค่าทุนมนุษย์ 8 K’s ของท่าน ศ.ดร.จีระ ในหัวข้อ Sustainable Capital ซึ่งหมายถึงทุนแห่งความยั่งยืน ในการพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง ที่มี Culture Capital หรือทุนทางวัฒนธรรม เป็นองค์ประกอบสำคัญที่จะทำให้ไม่หลงไปตามกระแสโลกจนขาดความเป็นตัวตนที่แท้จริงได้ H ที่สอง ได้แก่ Head ซึ่งหมายถึงการใช้สมอง การมีความรู้ความคิดที่ดี มีสติ รู้จักวิเคราะห์อย่างมีเหตุผล รู้จักใช้สมองเพื่อนำความรู้ที่มีมาคิดเพื่อเพิ่มคุณค่าให้กับตนเอง สอดคล้องกับ Intellectual Capital หรือทุนทางปัญญาของท่าน ศ.ดร.จีระ ซึ่งไม่ว่าคนจะมีการศึกษาในระดับใดก็สามารถมีทุนทางปัญญาได้ หากรู้จักแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่องและนำมาปรับประยุกต์เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับตัวเอง และ “ใช้ปัญญากับความจริง” H ต่อไปคือ Hand หรือความเป็นมืออาชีพที่เน้นการลงมือทำด้วยตนเอง ต้องมีทั้งความรู้ ทักษะ และทัศนคติที่ดีในสิ่งนั้น ๆ เช่นเดียวกับทุนทางความรู้ ทักษะ และทัศนคติ หรือ Talent Capital ที่จะส่งผลต่อการพัฒนาในทุก ๆ ด้าน และต้องได้รับการพัฒนาอยู่เสมอ สำหรับ Heart ซึ่งหมายถึง จิตใจที่ดีนั้น สอดคล้องกับ Ethical Capital หรือทุนทางจริยธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญมากในขณะนี้ เนื่องจากประเทศชาติต้องการคนดี แต่มิใช่ดีอย่างเดียว แต่จะต้องเป็น “คนเก่งที่ดี” อีกด้วย สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากจิตใจ ซึ่งไม่มีขอบเขตกำหนด กล่าวคือต้องมีจิตใจที่ดี และมีทัศนคติในเชิงบวก มีจิตใจกล้าหาญ กล้านำ กล้าตัดสินใจ กล้าเสี่ยง กล้ายอมรับความล้มเหลว รวมทั้งกล้ารับผิดชอบทั้งดีและร้ายด้วย ในส่วนของ Home หรือ บ้านและครอบครัว ซึ่งรวมถึง ผู้ให้กำเนิด และองค์กรด้วย ซึ่งหากมีครอบครัวที่ดี และเข้มแข็งแล้วจะช่วยลดปัญหาทุกอย่างลงไปได้ ซึ่งสอดคล้องกับ Human Capital หรือทุนมนุษย์ ซึ่ง ศ.ดร.จีระ ให้ความสำคัญในเรื่องทุนมนุษย์เป็นอันดับแรก ซึ่งมีความหมายคลอบคลุมทุนขั้นพื้นฐานตั้งแต่การเลี้ยงดู การศึกษา และสุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งหากมีทุนมนุษย์ที่ดีก็จะสร้างความสามารถในการแข่งขันให้กับประเทศหรือองค์กรได้ H ต่อไป ได้แก่ Happiness หรือ การดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข สอดคล้องกับ Happiness Capital ที่หมายถึงทุนแห่งความสุข ทั้ง 2 ทฤษฎีต่างให้ความสำคัญกับความสุขของคนเช่นเดียวกัน กล่าวคือการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุขโดยไม่เบียดเบียนใคร และความสุขที่เกิดขึ้นในใจนั้น ยั่งยืนกว่าความสุขภายนอก คนที่มีความสุขเมื่อทำสิ่งใดก็มักจะประสบความสำเร็จมากกว่าคนที่ไม่มีความสุข และนอกจากจะมีความสุขด้วยตัวเองแล้ว ยังพร้อมที่จะแบ่งปันความสุขให้ผู้อื่นหรือสังคมรอบข้างมีความสุขด้วย สำหรับ H ต่อไป คือ Harmony หรือ ความปรองดองสมานฉันท์ ที่สร้างความกลมเกลียว ประนีประนอม สันติ การทำงานเป็นทีมเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ผู้บริหารที่ดีจึงต้องมีศิลปะในการสร้างความสมานฉันท์ให้เกิดในหมู่ผู้ใต้บังคับบัญชา ในสภาพปัจจุบันที่มีการขัดแย้งสูง ความปรองดองเท่านั้นที่จะทำให้ทุกสิ่งเป็นไปด้วยดี เช่นเดียวกับ Social Capital หรือ ทุนทางสังคม ซึ่งหมายถึงการวางตัวที่เหมาะสมกับหน้าที่และบทบาทของตัวเองต่อสังคม เพื่อให้เกิดการยอมรับ คนที่มีทุนทางสังคมที่ดี ก็จะสร้างประโยชน์กับงานและสังคมโดยรวมได้
ถึงแม้ว่าทฤษฎี 8 H’s และ ทฤษฎี 8 K’s จะมีความสอดคล้องกันอยู่มาก แต่ก็มีอยู่ข้อหนึ่งที่มีความแตกต่างกัน คือ Health ของคุณหญิงทิพาวดี ที่หมายถึง สุขภาพพลานมัย นั้น สุขภาพที่แข็งแรงสมบูรณ์มีความสำคัญมาก ซึ่งต้องประกอบด้วย 2 สิ่ง คือ สุขภาพกายและสุขภาพจิต จึงควรต้องดูแลตัวเองให้มีสุขภาพที่ดีอยู่เสมอ และสำหรับทฤษฎีทุนข้อสุดท้ายของ ศ.ดร.จีระ ได้แก่ Digital Capital หรือ ทุนทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ที่เชื่อมโยงกับโลกยุคปัจจุบันที่เทคโนโลยีสารสนเทศมีบทบาทอย่างมาก กล่าวคือ คนที่มีความรู้ มีปัญญา จะต้องรู้ทันสถานการณ์โลก และให้ความสนใจกับ IT เพื่อสามารถที่จะพัฒนาและแข่งขันกับนานาประเทศได้ ดังนั้น จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ความสามารถทางด้านเทคโนโลยีสารเทศ3 ประการรับมือกับภาวะอารมณ์ | |
|
..ถ้าจะบอกว่า ใจ (Heart ) คือบ่อเกิดแห่งพลังและนำมาซึ่งผลกระทบ (effect) ต่าง ๆ คุณจะเชื่อไหม..
สำหรับข้าพเจ้าคิดว่ามันเป็นความจริงทีเดียว ทุกสิ่งทุกอย่างทั้งความสุขและทุกข์ การประสบความสำเร็จหรือล้มเหลว ล้วนเกิดจากใจเป็นตัวกำหนดทิศทาง เฉกเช่นวันนี้ (เสาร์ที่ 9 กุมภาพันธ์ 2551) การเรียนรู้ที่สนุกสนานกับอาจารย์ที่มีภาวะด้านอารมณ์ที่บ่มเพราะและฝึกหัดมาอย่างดี ทำให้เกิด “ฉันทะ” และความศรัทธาต่อตัวอาจารย์ ทำให้อยากเรียนและเกิดความสนุกสนานกับการเรียน ภาพแรกที่เจอคือผู้หญิงคนหนึ่ง แต่งตัวสบาย ๆ เหมาะสมซึ่งไม่รู้หรอกว่าเป็นใครมาจากไหน รู้แต่ว่าเป็นอาจารย์ที่จะสอนในวันนี้ เพราะยังปรึกษากู (google) เข้ามาทักทายและถามสารทุกข์สุกดิบ คิดในใจ “อืม..ดูดีนะ อายุคงไม่เกิน 35” ทำให้เกิดความอบอุ่นและเป็นกันเอง ที่กล่าวเช่นนี้ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นก็จะอิงให้เห็นว่าสัมพันธ์กับใจ ทำให้เรามีพลังต่อการเรียนรู้ ทำใจและสมองให้เปรียบเสมือนแก้วเปล่าที่พร้อมจะรองรับน้ำ และเป็นประเด็นที่จะนำมาสู่การตอบคำถามในงานที่ได้รับมอบหมายของ กุญแจ 8 ดอก ที่เป็นตัวเปิดเข้าไปสู่การสร้างความผูกพันกับองค์กรเพื่อการเจริญเติบโตและยั่งยืน ซึ่งกุญแจที่ข้าพเจ้าเลือกก็คือ กุญแจดอกที่ 1 การสร้างความศรัทธาและความซื่อสัตย์ (Trust and integrity) ซึ่งข้าพเจ้ามองว่าการกระทำใด ๆ ให้สมบูรณ์และดีได้มันต้องเกิดออกมาจากใจ
การที่จะสร้างศรัทธาและความซื่อสัตย์ให้เกิดกับลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาได้ ต้องเข้าใจ ในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าขอยกเอาคุณสมบัติและหลักธรรมทางพุทธศาสนา แยกเป็นประเด็นข้อ ๆ ดังนี้
ก. ต้องเป็นผู้ใหญ่ หัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชาบางคนอาจมีอายุน้อยแต่เมื่ออยู่ในตำแหน่งหัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชาก็ถือว่าเป็นผู้ใหญ่โดยตำแหน่ง ดังนั้นต้องมีคุณธรรมของผู้ใหญ่ 4 ประการ คือ
1. มีความรัก (เมตตา) ปรารถนาจะให้ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาได้รับประโยชน์และประสบแต่ความสุขความเจริญโดยทั่วกัน
2. มีความสงสาร (กรุณา) ปรารถนาจะให้ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาหลุดพ้นจากความทุกข์ยาก ใฝ่ใจในการกำจัดทุกข์และบำรุงสุขให้แก่ผู้ใต้บังคับอยู่ตลอดเวลา
3. มีความเบิกบานยินดี (มุทิตา) เมื่อผู้ใกล้ชิดหรือลูกน้องอยู่ดีมีสุขหรือเจริญก้าวหน้า ก็พลอยยินดีเบิกบานใจ พร้อมที่จะส่งเสริมให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้น
4. มีใจเป็นกลาง (อุเบกขา) มองเหตุการณ์และปรากฏการณ์ทุกอย่างตามความเป็นจริง มีจิตใจเที่ยงตรงมั่นคง เมื่อมีคดีที่จะต้องวินิจฉัยก็วินิจฉัยตามหลักการ เหตุผล และเที่ยงธรรม
ข. ปราศจากความลำเอียง เป็นคนซื่อตรง ไม่หวั่นไหว เอนเอียงด้วยการใด ๆ อันเป็นเหตุให้เกิดความลำเอียง เรียกว่า อคติ มี 4 ประการดังนี้
1. ลำเอียงเพราะชอบ (ฉันทาคติ) เช่น คนที่ตอนชอบหรือรักกระทำผิด ก็ไม่ลงโทษตามโทษานุโทษ
2. ลำเอียงเพราะชัง (โทสาคติ) เช่น คนที่ตนเกลียดกระทำถูกก็ไม่พอใจ ถ้าทำผิดก็ซ้ำเติม
3. ลำเอียงเพราะเขลา (โมหาคติ) เช่น คนทำผิดมาฟ้องบอกว่าคนอื่นเป็นผู้กระทำผิด ยังไม่ทันสอบสวนก็เชื่อตามฟ้องอย่างไร้เหตุผล ลงโทษคนถูกฟ้อง คนผิดเลยกลายเป็นถูก คนถูกกลายเป็นคนผิด
4. ลำเอียงเพราะกลัว เช่น กลัวอิทธิพล กลัวถูกตำหนิ กลัวถูกย้าย กลัวไปเสียทุกอย่าง จนไม่กล้าทำอะไร
ค. มีราชธรรม คือมีคุณธรรมของพระราชา แต่เราสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับผู้เป็นหัวหน้าหรือผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีหน้าที่ในการบริหาร เรียกว่า ราชธรรม หรือ ทศพิธราชธรรม มีอยู่ 10 ข้อคือ
1. ให้ปัน (ทานํ) คือให้ทั้งวัตถุและคำแนะนำเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เอาใจใส่การบริการ อำนวยความสะดวกสบาย ตลอดจนให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เดือดร้อนประสบภัยพิบัติต่างๆ
2. ประพฤติดีงาม (สีลํ) คือรักษากายวาจาให้อยู่ในกรอบแห่งศีลธรรมและกฎหมาย รักษาเกียรติภูมิของตน ไม่ประพฤติตนเป็นที่ดูถูกดูแคลนของลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา
3. เสียสละ (ปริจฺจาคํ) คือเสียสละความสุขสำราญตลอดจนกระทั่งชีวิตของตนเอง เพื่อประโยชน์ของลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาและความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง
4. ซื่อตรง (อาชฺชวํ) คือปฏิบัติภาระหน้าที่ด้วยความซื่อตรง ไร้มายา จริงใจ ไม่หลอกลวงเล่นลิ้นกับลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา
5. อ่อนโยน (มทฺทวํ) คือมีอัธยาศัยไม่เย่อหยิ่ง หยาบคาย มีความสง่างามที่เกิดจากท่วงทีสุภาพนุ่มนวล ละมุนละไม ไม่ถือตัว
6. เพียรเผากิเลส (ตปํ) คือพยายามเผาผลาญตัณหามิให้เข้ามาครอบงำจิต ไม่หลงใหลหมกมุ่นในความสุขสำราญและการปรนเปรอ มีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย มุ่งมั่นแต่จะทำหน้าที่ให้เสร็จสมบูรณ์
7.ไม่วู่วามโกรธง่าย (อกฺโกธํ) คือไม่เกรี้ยวกราด เจ้าอารมณ์ ไม่กระทำการใด ๆ ด้วยอำนาจแห่งความโกรธ แต่จะทำด้วยจิตอันสุขุม เยือกเย็น รอบคอบ
8. ไม่เบียดเบียน (อวิหึสา) คือไม่หลงอำนาจเที่ยวบีบคั้นเอารัดเอาเปรียบลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา ไม่หาเหตุเบียดเบียนลงโทษ หรือยัดเยียดข้อหาให้แก่ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยความอาฆาตเกลียดชัง
9. มานะอดทน (ขนฺติ) คืออดทนต่อการงาน ถึงจะลำบากตรากตรำเพียงใดก็ไม่ท้อถอย ถึงจะถูกยั่วถูกเยาะเย้ยด้วยถ้อยคำเสียดสีถากถางเพียงใดก็ไม่หมดกำลังใจ ไม่ละทิ้งหน้าที่ที่รับผิดชอบ
10. ไม่คลาดธรรม (อวิโรธนํ) คือประพฤติตนยึดมั่นในธรรมทั้งในด้านความยุติธรรมก็ดี และในด้านนิติธรรมคือระเบียบแบบแผนก็ดี ตลอดจนธรรมเนียมประเพณีอันดีงาม ไม่หวั่นไหวหรือเอนเอียงเพราะถ้อยคำของผู้อื่น หรือด้วยอามิสสินจ้างใด ๆ
ถ้าทำได้ดังนี้ ก็จะสามารถสร้างความน่าเชื่อถือ ศรัทธา ให้เกิดขึ้นและจะเป็น กุญแจดอกหนึ่งจาก 8 ดอก ที่จะนำพาองค์กรไปสู่ความเจริญเติบโตที่ยั่งยืนได้
-----------------------------------------
ค้นหา Vision และ Mission
ในหัวข้อนี้ภูมิใจเสนอ..บริษัท เอ็มวี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด
บริษัท เอ็มวี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด ก่อตั้งขึ้นในปี 2538 โดยเริ่มต้นดำเนินธุรกิจ เป็นบริษัทฯที่ผลิต ผลไม้ในน้ำเชื่อมเข้มข้น สำหรับใช้ในโยเกิร์ต โดยมีความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาสินค้าให้ได้ตามมาตรฐานสากล ซึ่งมีความพร้อมทั้งด้านเทคโนโลยี และผู้บริหารที่มีประสบการณ์ในการผลิตผลไม้เชื่อมมานานกว่า 20 ปี
โดยในปัจจุบันบริษัท เอ็มวี ฟู้ด ซัพพลาย จำกัด มีนโยบายที่ต้องการขยายฐานธุรกิจต่อยอดไปสู่การเป็นผู้ผลิตสินค้า จากการแปรรูปผัก ผลไม้สดที่ยิ่งใหญ่ภายใน 3 ปี
Vision
เป็นผู้ผลิตผลไม้แปรรูปที่สามารถ สนองตอบความต้องการของตลาดทั้งตลาดในประเทศและต่างประเทศ
Mission
• พัฒนาการค้นคว้าวิจัยผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง
• สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อตราสินค้า
• ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับของตลาดอย่างแพร่หลาย
• สร้างความมั่นใจ ในด้านการบริการหลังการขายให้กับลูกค้า
• มีพันธมิตรทางด้านการตลาดที่มั่นคงและเข้มแข็ง
รายงานเสนอ อ. พจนารถ ซีบังเกิด (อาจารย์ผู้เป็นขวัญใจของ รปม.รุ่น ๔)
แนะนำเกี่ยวกับเรา ภาระกิจหลักขององค์กรคือการแสวงหาและจัดสรรวัตถุดิบประเภท เคมีภัณฑ์, ส่วนผสมด้านอาหารและโลหะ มีค่าสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ต่าง ๆ มากมาย ด้วยความรับผิดชอบ และการสร้างคุณค่าเพิ่มแก่ลูกค้า ภายใต้จิตสำนึกที่มุ่งเน้นในเรื่อง “คุณความดี, คุณภาพ และสังคม”งานเสนอ อ. พจนารถ ซีบังเกิด
แนะนำเกี่ยวกับเรา ภาระกิจหลักขององค์กรคือการแสวงหาและจัดสรรวัตถุดิบประเภท เคมีภัณฑ์, ส่วนผสมด้านอาหารและโลหะ มีค่าสำหรับโรงงานอุตสาหกรรม ต่างๆ มากมาย ด้วยความรับผิดชอบ และการสร้างคุณค่าเพิ่มแก่ลูกค้า ภายใต้จิตสำนึกที่มุ่งเน้นในเรื่อง “คุณความดี, คุณภาพ และสังคม”
ตัวอย่างวิสัยทัศน์ขององค์กรต่างๆ
วิสัยทัศน์ ปตท.
เป็นบริษัทพลังงานของไทย ที่ประกอบธุรกิจก๊าซธรรมชาติและน้ำมันครบวงจร และธุรกิจปิโตรเคมีที่เน้นการใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นหลัก รวมทั้งธุรกิจต่อเนื่อง มุ่งไปสู่องค์กรแห่งความเป็นเลิศ (High Performance Organization) และเป็นผู้นำในภูมิภาค ด้วยความรับผิดชอบ เป็นธรรม และให้ผลประโยชน์ตอบแทนที่เหมาะสมต่อผู้มีส่วนได้เสีย
วิสัยทัศน์ คณะพยาบาลศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม
เป็นคณะพยาบาลศาสตร์ขนาดกลางที่ผลิตบัณฑิตสาขาพยาบาศาสตร์ที่มีคุณภาพ และได้มาตรฐานสากลในทุกระดับปริญญา มีความเป็นเลิศทางการจัดการศึกษาพยาบาลบัณฑิตที่สำเร็จการศึกษามีความรักและความผูกพันกับคณาจารย์และสถาบัน อย่างเป็นเอกลักษณ์ สร้างองค์ความรู้ด้วยการวิจัย เน้นงานวิจัยการพยาบาลทางคลินิกที่มีคุณภาพและการวิจัยที่พัฒนาศักยภาพ
ในการดูแลตนเองของชุมชน โดยมีการผสานภูมิปัญญาท้องถิ่น และเทคโนโลยีทางการพยาบาลให้บริการวิชาการแก่สังคม โดยทำงานร่วมกับชุมชน เพื่อพัฒนาศักยภาพในการพึ่งตนเอง และทำนุบำรุงวัฒนธรรมอันดีงาม
วิสัยทัศน์ ธนาคารกรุงไทย
เป็นสถาบันการเงินชั้นนำในประเทศที่ได้รับความเชื่อมั่นในการให้บริการทางการเงินอย่างเต็มรูปแบบ ด้วยมาตรฐานคุณภาพที่เป็นที่พึงพอใจสูงสุด ของลูกค้าเคียงคู่เศรษฐกิจไทย
วิสัยทัศน์ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
" ภายในปี 2549 สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาจะเป็นองค์กรหลักของประเทศและได้รับความเชื่อถือจากสังคมในการปกป้องคุ้มครองสุขภาพของประชาชน โดยดำเนินการให้ผลิตภัณฑ์สุขภาพมีคุณภาพและปลอดภัย และส่งเสริมพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง ด้วยข้อมูลวิชาการที่มีหลักฐานเชื่อถือได้ และเทคโนโลยีที่เหมาะสม
วิสัยทัศน์ โรงพยาบาลศูนย์ขอนแก่น
เป็นโรงพยาบาลคุณภาพ ด้านบริการ วิชาการ ในระดับแนวหน้า ที่ประชาชนยอมรับและบุคลากรภาคภูมิใจ ในการปฏิบัติงาน
วิสัยทัศน์ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
เป็นผู้นำพัฒนาวิชาการ สานสัมพันธ์เครือข่ายรวมภาคี เสริมศักดิ์ศรีสร้างพลังภูมิปัญญา ให้ก้าวไกลรุดหน้าเทียมสากล เพื่อคนไทยทุกคนสุขภาพดี
วิสัยทัศน์ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์
เป็นองค์กรหลักทางด้านการวิจัยและพัฒนางานด้านวิทยาศาสตร์การแพทย์และสาธารณสุขในการเสริมสร้าง สุขภาพที่ดีแก่ประชาชน และสนับสนุนการแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของประเทศ รวมทั้งเป็นผู้กำกับดูแลมาตรฐานคุณภาพห้องปฏิบัติการด้านการแพทย์และสาธารณสุขทั้งของภาครัฐและเอกชนให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
วิสัยทัศน์ คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น จะเป็นสถาบันการศึกษาชั้นนำที่มีความเป็นเลิศทางวิชาการ มีมาตรฐานการศึกษา การวิจัยและการบริการ เป็นที่ยอมรับในระดับสากล
จากวิสัยทัศน์ ของหน่วยงานต่างๆ ที่ผู้เขียนนำมาให้ศึกษาเป็นตัวอย่างหากพิจารณาให้ดีจะเห็นว่า แต่ละวิสัยทัศน์นั้น สะท้อนความ เป็นองค์กร สะท้อนวัฒนธรรม องค์กร รวมทั้งมิติอื่นๆ ขององค์กรนั้นๆ พูดให้เข้าใจง่ายๆ ก็คือ เป็นการสะท้อนวิสัยทัศน์ ของคนในองค์กรนั้นๆ นั่นเอง ดังนั้น ก่อนจะได้มาซึ่งวิสัยทัศน์ ขององค์กร แต่ละปัจเจกคนฝนองค์กรก็จะต้องเป็นผู้มีวิสัยทัศน์ ต้องมี Personal Vision ก่อน แล้วนำ Vision มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ร่วมกันเกิดการ Shared Vision เพื่อนำไปสู่การพัฒนาวิสัยทัศน์ร่วมขององค์กร
ผู้อ่านลองไปทบทวนวิสัยทัศน์ของตัวท่านเองว่าเป็นอย่างไร สำหรับผู้เขียนแล้ว ได้กำหนดวิสัยทัศน์ ส่วนตัวไว้ว่า
"ประเทศชาติ ประชาชน ประชาคม ประชาสรรณ์ ประกันชีวิต"
โดยความหมายแต่ละคำคือ
ประเทศชาติ : เป็นความตั้งใจที่ปรารถนาจะเป็นประเทศชาติ เจริญบนฐานของภูมิปัญญาไทย วิญญาณไทย หัวใจสากล โดยที่ทุกคนต้องเท่าเทียม
ประชาชน : ผู้เขียนต้องการเป็นประชาชนคุณภาพ ต้องการทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ในฐานะของ นักการเมือง ภาคประชาชน ทำกระบวนการการเมืองภาคประชาชน เมื่อมีโอกาส
ประชาคม : งานหลักที่ผู้เขียนถนัดและต้องการให้เกิดขึ้น ในชุมชนต่างๆ คือ ประชาคม เช่น ประชาคม ผู้รักสุขภาพ ประชาคม คนออกกำลังกาย
ประกันชีวิต : อาชีพที่สร้างความมั่นคงให้กับครอบครัวไทย คืออาชีพ ตัวแทนประกันชีวิต
แล้วท่านผู้อ่านหละ วิสัยทัศน์ท่านว่าอย่างไร จงเขียนมันออกมาในกระดาษ ติดไว้ที่โต๊ะทำงาน แล้วลงมือทำ ตามพันธกิจท่มีอยู่เพื่อการบรรลุวิสัยทัศน์ เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี สังคมที่น่าอยู่
หมายเหตุ : บทความฉบับนี้ยินดีให้นำไปเผยแพร่ หากเห็นว่าจะเป็นประโยชน์ กับมวลมนุษยชาติ
power by [email protected]
เสนออาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิด บริษัท เซิร์ฟเวอร์ทูเดย์ (ประเทศไทย) จำกัด ด้วยความมุ่งมั่นที่จะสร้างสรรค์บริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงไม่เพียงรักษาคุณภาพสินค้าและ บริการให้เป็นที่พึงพอใจแก่ลูกค้าทุกกลุ่ม แต่ยังผสมผสานความแข็งแกร่งของเทคโนโลยีล้ำสมัย เพื่อพัฒนาธุรกิจให้เติบโตควบคู่กันไป พร้อมก้าวไปสู่เป้าหมายร่วมกันกับลูกค้าในอนาคต พร้อมที่จะเป็นผู้นำในการให้บริการโฮสติ้งและอินเตอร์เน็ตโซลูชั่นอย่างแท้จริง มุ่งให้บริการลูกค้าด้วยสินค้า บริการทางด้านเวปโฮสติ้ง และอินเตอร์เน็ตโซลูชั่นให้ดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้รับความพึงพอใจ และเป็นไปตามความประสงค์สูงสุด เกียรติประวัติองค์กร - หนึ่งในสิบสุดยอดเวปไซด์ "SME ยอดเยี่ยม ด้านการพัฒนาธุรกิจ" Web Award 2005 จากสมาคมผู้ดูแลเวปไทย - DirectI Thailand Top#1 Reseller ผู้แทนจำหน่ายโดเมนยอดจำหน่ายสูงสุดในประเทศไทย ในปี 2006 ภายใต้ระบบ DirectI จาก Directi Group. แนวโน้มการเติบโตและสภาวะการแข่งขันธุรกิจเวปโฮสติ้ง สภาวะการแข่งขันของธุรกิจเวปโฮสติ้งในปี 2549 มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยผู้ประกอบการรายใหม่จำนวนมากเข้ามาแข่งขันในธุรกิจนี้ โดยเฉพาะผู้ให้บริการประเภทบุคคล ส่งผลให้รายได้รวมของธุรกิจบริการเวปโฮสติ้งของบริษัทเติบโตไม่มาก ด้วยเหตุที่คู่แข่งขันของบริษัทฯ เป็นผู้ประกอบการบุคคลทำให้ไม่ต้องแบกต้นทุนสูงมากนัก ทำให้มีศักยภาพในการกำหนดราคาได้ดีกว่า ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคากับผู้ประกอบการรายใหม่ๆ บริษัทฯ จึงมุ่งเน้นรักษา "คุณภาพการให้บริการ" ให้เป็นที่พึงพอใจแก่ผู้ใช้บริการ โดยเจาะกลุ่มลูกค้าภาคธุรกิจและลูกค้าองค์กรเป็นหลัก ซึ่งกลุ่มดังกล่าวจะให้ความสำคัญกับคุณภาพการให้บริการ ประสิทธิภาพของเครือข่ายและความต่อเนื่องในการใช้งานมากกว่าปัจจัยทางด้านราคา สำหรับปี 2550 บริษัทฯ จะเน้นทำการตลาดในกลุ่มผู้ใช้ภาคธุรกิจมากขึ้น โดยรักษาจุดยืนของการบริการที่มีคุณภาพ อันเนื่องจากบริษัทฯ เป็นองค์กรที่มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไปทำให้มีความคล่องตัวในการให้บริการแก่ลูกค้าได้อย่างทั่วถึง นอกจากนี้ในฐานะที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจอินเตอร์เน็ตในหลากหลายรูปแบบ ประกอบด้วยทีมบุคคลากรที่มีประสบการณ์ มีความรู้ความเข้าใจในความต้องการใช้งาน และปัญหาของผู้ใช้งานเป็นอย่างดี ด้วยแนวทางการตลาดดังกล่าวจะช่วยผลักดันให้บริษัทฯ มีความพร้อมที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องในธุรกิจอินเตอร์เน็ตได้อย่างมั่นคง ข้อมูลทั่วไปของบริษัท เซิร์ฟเวอร์ทูเดย์ (ประเทศไทย) จำกัด ลักษณะการประกอบธุรกิจ โทรสาร 0-2875-7170 โฮมเพจ www.servertoday.com อีเมล์ [email protected] ทุนจดทะเบียน 1,000,000 บาท (อยู่ในระหว่างดำเนินการเพิ่มทุนเป็น 5 ล้านบาท) ทุนชำระแล้ว 1,000,000 บาท
|
|
ส่ง ศ.ดร. พจนารถ ซีบังเกิด
ข้อ1 การทำงานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันตามวิสัยทัศน์องค์กรองค์กรที่บริหารงานอยู่คือ องค์กรมัสยิด ซึ่งตามกฎหมายจะขึ้นทะเบียนเป็นนิติบุคคลปัจจุบันดำรงตำแหน่งเป็น “อิหม่ามมัสยิดต้นสน” ซึ่งหมายถึงผู้นำสูงสุดทางด้านจิตวิญญาณของชาวมุสลิมในตำบลหรือหมู่บ้านนั้นๆตามบัญญัติแห่งศาสนาอิสลาม และ พ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลามปีพ.ศ.2540 มาตรา 4 โดยทั่วไปมัสยิดหมายถึงสถานที่ซึ่งชาวมุสลิมใช้ประกอบศาสนกิจ และเป็นสถานที่สอนอบรมคุณธรรมจริยธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการทำพิธีกรรมในทุกๆวันศุกร์ซึ่งเป็นข้อบัญญัติให้อิสลามมิกชนทุกคนจะต้องไปมัสยิดอย่างสม่ำเสมอหากขาดการไปทำพิธีกรรมและฟังคำเทศนาสั่งสอน 3 ศุกร์ติดๆกันก็จะมีบทลงโทษอย่างรุนแรงในหลักการของศาสนาอิสลาม ดังนั้นสถานะภาพของมัสยิดก็คือศูนย์รวมแห่งจิตวิญญาณของชาวมุสลิมนั่นเอง ดังนั้นด้วยภารกิจหน้าที่ตลอดจนวัตถุประสงค์ดังกล่าวในฐานะอิหม่ามผู้นำทางด้านจิตวิญญาณ จึงต้องทำทุกวิถีทางให้ชาวมุสลิมในสังกัดซึ่งเรียกว่าสัปบุรุษมามัสยิดให้มากที่สุด โดยคาดหวังว่าผลลัพท์ของการมาประกอบพิธีกรรมทางศาสนาก็จะส่งผลทั้งทางตรงและทางอ้อมในการดำเนินชีวิตให้เป็นผู้ที่มีคุณธรรมจริยธรรมและประชาชนที่ดีของประเทศชาติบ้านเมือง หน้าที่ของ “อิหม่าม” หรือเปรียบเสมือนเจ้าอาวาสก็คือจะต้องไม่คำนึงว่าทำไมผู้คนจึงมามัสยิดน้อย แต่จะต้องแก้ปัญหาโดยถามตัวเองว่าทำอย่างไรจะให้ผู้คนมามัสยิดมากขึ้นซึ่งปัจจุบันก็นับว่าได้รับความสำเร็จอย่างมากมาย ในการบริหารงานตามพ.ร.บ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม มาตรา4 มัสยิดในฐานะศูนย์รวมทางด้านจิตวิญญาณประกอบด้วยการเป็นสถานที่สอนอบรมคุณธรรม จริยธรรม มัสยิดที่บริหารงานอยู่จึงจัดตั้งศูนย์อบรมจริยธรรมสอนศาสนาอิสลามขึ้น ซึ่งมีการเรียนการสอนเป็นประจำ นอกจากในวันศุกร์ที่ทุกคนต้องมายังมัสยิดแล้วยังเปิดให้มีการเรียนการสอนขึ้นที่ศูนย์อบรมจริยธรรมศาสนาอิสลามของมัสยิดต้นสนอีกด้วย โดยผู้เข้าอบรมเป็นประจำในแต่ละวันไม่น้อยกว่า 300-400 คน โดยแบ่งชั้นเรียนตามเกณฑ์อายุและความรู้ความเข้าใจขั้นพื้นฐานโดยมีผู้เข้าอบรมตั้งแต่ 6 ขวบ ถึง 75 ปีขึ้นไปโดยได้ยึดมั่นในแนวทางปฏิบัติเอาไว้โดยรวมๆด้วยการบริหารงานดังกล่าว ปัจจุบันมัสยิดต้นสนจึงถือเป็นมัสยิดตัวอย่างมัสยิดหนึ่ง โดยที่ในแต่ละปีนอกจากจะวัดผลจากการเผยแพร่คุณธรรม จริยธรรมจากคนในละแวกหมู่บ้านตำบล ซึ่งมัสยิดนี้มีสัปบุรุษในสังกัดเกือบ 2000 คนแล้วยังมีองค์กรต่างๆมาเยี่ยมเยียนดูงานศึกษางานรับฟังบรรยายในแต่ละปีมากมาย อาทิ มูลนิธิสานใจไทยสู่ใจใต้ หน่วยงานของรัฐ คณะแพทย์พยาบาล คณะนายทหาร หน่วยบัญชาการรบพิเศษ ทั้งกองทัพเรือ และกองทัพบก โรงเรียน และหน่วยงานองค์กรมากมาย โดยในปีพ.ศ.2550 ที่ผ่านมามีจำนวนถึง 60 องค์กรด้วยกัน ซึ่งนับเป็นความสำเร็จเกินความคาดหมายระดับหนึ่งทีเดียว นอกจากนี้มัสยิดยังเป็นสถานที่ ที่ช่วยปรับเปลี่ยนและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมกลุ่มเสี่ยงอันจะเป็นภัยต่อสังคมให้กับประเทศชาติบ้านเมืองได้อีกด้วย ข้อ 2 การผูกพันของพนักงานกับองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สำหรับในฐานะอิหม่ามผู้นำองค์กรมัสยิดซึ่งเป็นมัสยิดเก่าแก่ที่สุดคืออายุประมาณ 400 ปี จะเป็นมัสยิดตัวอย่างแห่งหนึ่งซึ่งมีผู้เข้ามาศึกษาดูงานมากมาย จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีเจ้าหน้าที่และผู้บริหารที่เข้มแข็งมีความรู้ความสามารถ ผู้ที่อยู่ในสังกัดของมัสยิดนอกจากจะมีมากมายและเป็นที่ภูมิใจของมวลสัปบุรุษในสังกัดของมัสยิดต้นสนแล้ว ปัจจุบันจะเห็นว่ามีประชาชนในละแวกใกล้เคียงต้องการที่จะมาสมัครเป็นสัปบุรุษในสังกัดอีกมากมายแต่ทางมัสยิดก็มิอาจจะรับได้ ทางมัสยิดได้ให้การช่วยเหลือพนักงานตลอดจนทุกคนในสังกัดทั้งด้านความมั่นคง ความศรัทธา ซื่อสัตย์ และเปิดโอกาสในการเติบโตในหน้าที่การงานและความภูมิใจในองค์กรมัสยิดที่ตนเองสังกัดอยู่ กล่าวคือทั้งเจ้าหน้าที่และพนักงานตลอดจนผู้ที่มาปฏิบัติศาสนกิจเป็นประจำ นอกจากจะมีความสบายอกสบายใจกลับไปพร้อมด้วยคุณธรรม จริยธรรมแล้ว เรียกได้ว่ามัสยิดต้นสนยังเป็นที่พักพิงทั้งในยามสุขสบาย เจ็บไข้ได้ป่วย ดีใจ ไม่สบายใจ ทุกข์ใจ ทุกคนจะหันกลับมาที่มัสยิด เนื่องจากผู้ที่มามัสยิดเป็นประจำจะจัดให้มีการดูแลตรวจสุขภาพ ดูแลความเป็นอยู่ตัวของเขาเอง และครอบครัว ในทุกวันเสาร์ อาทิตย์จัดให้มีการอบรมสอนภาษาต่างประเทศ โดยมิต้องเสียค่าเล่าเรียนหรือบริจาคให้แก่มัสยิดแต่ประการใด ในด้านการศึกษาสายสามัญในแต่ละเทอม บิดามารดาสามารถเบิกค่าเล่าเรียนบุตรในภาคสามัญได้ไม่เกิน 3 คน คนละไม่เกิน 1,500 บาทเป็นต้น ในยามเจ็บไข้ได้ป่วยเมื่อมีคำร้องขอเงินช่วยเหลือมัสยิดจะพิจารณาเป็นรายๆไปตามใบเสร็จของโรงพยาบาลที่ไปรักษา บุตรหลานที่สามารถสอบชิงทุนไปศึกษาต่อยังต่างประเทศ นอกจากจะได้รับทุนแล้วมัสยิดจะช่วยเหลืออีกทุกปีๆละ 30,000 บาททุกคนจนกว่าจะสำเร็จการศึกษา มีคณะกรรมการคอยตรวจเยี่ยมเยียนสัปบุรุษในสังกัดให้คำแนะนำพร้อมทั้งรับฟังข้อเสนอแนะ และแม้กระทั้งวาระสุดท้ายเมื่อสิ้นชีวิตทายาทต้องนำศพมาทำพิธีทางศาสนา มัสยิดก็มีหน้าที่ดูแลให้ความช่วยเหลือทุกด้านโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นหรือในทุกปี ปีละ 2 ครั้งมัสยิดจะเปิดรับเงินบริจาคพร้อมทั้งมอบเงินช่วยเหลือก้อนหนึ่งจากมัสยิดเองเพื่อช่วยเหลือเด็กกำพร้าที่บิดาหรือมารดาสิ้นชีวิต โดยมอบเป็นทุนการศึกษาให้แก่พวกเขาตลอดมาด้วยการบริหารงานดังกล่าวแต่เดิมเป็นเพียงความฝันที่หลายๆคนคาดว่าจะเป็นไปได้ยาก เพราะมัสยิดเป็นเพียงองค์กรนิติบุคคลเล็กๆที่ไม่ได้รับเงินช่วยเหลือจากหน่วยราชการใดๆ แต่สามารถทำงานสาธารณะกุศลอันเป็นประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติบ้านเมืองได้อย่างมากมาย ซึ่งดังกล่าวได้สร้างศรัทธาและความภูมิใจให้กับเจ้าหน้าที่และผู้ที่อยู่ร่วมในสังกัดตลอดมา โดยอิหม่ามในฐานะผู้นำองค์กร และคณะกรรมการวบริหารตลอดจนพนักงานทุกคนได้ยึดมั่นในอุดมการณ์ที่ว่า มือบนแห่งการเป็นผู้ให้ย่อมประเสริฐกว่ามือล่าง มือแห่งการเป็นผู้รับ
เสนออาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิด
เลือกข้อที่ 1 คือ การสร้างความศรัทธาและความซื่อสัตย์
การสร้างความศรัทธาและความซื่อสัตย์ให้เกิดกับพนักงานหรือผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาในองค์กรซึ่งสิ่งเหล่านี้จำเป็น และสำคัญมาก ที่จะทำให้ลูกน้องอยู่กับองค์กรได้นานและทำงานให้กับองค์กรด้วยความเต็มใจและทำด้วยความสามารถ ดังนั้นการที่เป็นผู้นำที่ดีได้นั้นเราต้องทำให้ลูกน้องเห็นความเป็นตัวตนของเราก่อนและสร้างความเป็นกันเองต่อพนักงาน เป็นมิตรกับคนในองค์กร ต้องทำให้พวกเขาอยากอยู่กับองค์กรอยากที่จะร่วมงานกับเรา เราต้องมีความรักและความปรารถณาดีต่อลูกน้อง อยากให้ลูกน้องได้รับประโยชน์และอยากให้ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง ต้องประพฤติแต่สิ่งดีงานอยู่ในศิลธรรม มีความประพฤติที่ดีเพื่อให้ลูกน้องเอาเป็นแบบอย่าง ทำให้ลูกน้องเกิดความเกรงใจต่อผู้บังคับบัญชาและมีความซื่อตรง ซื่อสัตย์ จริงใจ มีใจเป็นกลาง ไม่ลำเอียงต่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งภายในองค์กร มีความเป็นกันเองต่อพนักงาน มีความอ่อนโยน ไม่ทำให้พนักงานรู้สึกกดดัน อึดอัด ไม่อยากที่จะมาทำงาน ดังนั้นการที่ผู้บังคับบัญชาสามารถเป็นมิตรกับพนักงานจึงทำให้พนักงานอยากทำงานกับองค์กรด้วยความเต็มใจ ด้วยความสามารถ ต้องทำให้พนักงานรู้สึกว่าการที่พวกเขาทำงานได้ดีเขาก็จะมีโอกาสเจริญเติบโตในหน้าที่การงาน ตำแหน่งที่ดีตามความสามารถจึงทำให้พนักงานตั้งใจในการทำงานให้งานออกมาได้ดีอย่างมีคุณภาพมากขึ้น เพื่อที่พนักงานจะได้ค่าตอบแทนที่สูงขึ้นด้วย ดังนั้นทุกคนในองค์กรจึงต้องรู้จักพัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่องและมีความรู้ มีศีลธรรม จริยธรรม ทำแต่สิ่งที่ดีงามและผู้นำจะต้องทำให้องค์กรเป็นที่ยอมรับต่อสังคม และจะทำให้พนักงานมีความศรัทธาต่อองค์กรมากขึ้น เกิดความรักและความผูกพันธ์ต่อองค์กร
การหา Vision และ Mission
ของบริษัท MSIG
VISION เบี้ยถูก คุ้มครองดี บริการเยี่ยม โอนประวัติได้ ลดได้ ผ่อนได้ คุ้มครองก่อนจ่ายที่หลัง ส่วนลดสูงสุด เป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงทั่วโลก
MISSION
- สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อบริษัท
- ทำให้ลูกค้ามีความไว้วางใจ เชื่อใจ และศรัทธาต่อบริษัท MSIG
- บริการให้เป็นที่ยอมรับต่อลูกค้าทั่วโลก
- สร้งความมั่นใจให้กับลูกค้าเรื่องการบริการหลังการขายประกันทุกชนิด
- สร้างความมั่นคงต่อบริษัท MSIG ความน่าเชื่อถือ และการบริการ
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
|
การที่เราเชื่อว่า ถ้าเราปฏิบัติกับพนักงานด้วยความจริงใจ เชื่อมั่นในตัวพนักงาน ไม่ได้ใช้แต่อำนาจในฐานะนายจ้าง แต่ใช้ทั้งพระเดชและพระคุณ จะทำให้พนักงานตอบกลับมาด้วยใจจริงเหมือนกัน
เสนออาจารย์ พจนารถ ชีบังเกิด
วิสัยทัศน์ พันธกิจของหน่วยงาน
หน่วยงานของข้าพเจ้าที่สังกัดและทำงานอยู่ในปัจจุบันนี้คือ กองกำกับการ ๓ กองบังคับตำรวจปฏิบัติการพิเศษ กองบัญชาการตำรวจนครบาล ซึงเป็นหน่วยงานหนึ่งของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งอยู่ในกลุ่มงานด้านกิจการพิเศษ ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ซึ่งมีหน้าที่ในการถวายอารักขาและรักษาความปลอดภัยแด่องค์พระมหากษัตริย์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ พระราชอาคันตุกะ แขกของรัฐบาล ตลอดจนรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญซึ่งผู้บังคับบัญชามอบหมาย
วิสัยทัศน์ของหน่วยงาน
กองกำกับการ ๓ กองบังคับการตำรวจปฏิบัติการพิเศษได้กำหนดวิสัยทัศน์ของหน่วยงานไว้คือ จะธำรงไว้ซึ่งสถาบันหลักของประเทศ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
พันธกิจของหน่วยงาน
สำนักงานตำรวจแห่งชาติ มีความมุ่งหวังที่จะให้หน่วยงานทุกหน่วยงานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติหน้าที่ตามพันธกิจหลักที่สำคัญอย่างยิ่ง คือ
ความมั่นคงของชาติ ศาสนา และพระมหาษัตริย์
ความสงบสุขของสังคมและชุมชน
ประสิทธิภาพสูงสุดในการรักษาความสงบเรียบร้อยและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
ความสัมพันธ์และพันธกิจที่เกี่ยวข้องกับหน่วยงาน
เนื่องจากหน่วยงานที่ ข้าพเจ้าที่ทำงานอยู่ เป็นหน่วยงานราชการตำรวจที่เป็นหน่วยกำลังพล ซึ่งไม่มีหน้าที่โดยตรงในการทำหน้าที่สืบสวนปราบปรามหรืองานสืบสวนสอบสวน อาชญากรรมหรืองานจราจร ซึ่งสังคมส่วนใหญ่จะมองว่าข้าราชการตำรวจจะเข้าไปเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ต่างๆ หรือใช้อำนาจหน้าที่ไปในทางที่ผิด ซึ่งนำมาทำให้ภาพพจน์ของตำรวจโดยรวมเสียหาย ตามที่เป็นข่าวในปัจจุบันนี้ แต่หน่วยงานที่ข้าพเจ้าทำงานอยู่ในปัจจุบันนี้ไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือเกี่ยวข้องตามที่กล่าวมาข้างต้น แต่จะมีหน้าที่มีหน้าที่ในการถวายอารักขาและรักษาความปลอดภัยแด่องค์พระมหากษัตริย์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมวงศานุวงศ์ทุกพระองค์ พระราชอาคันตุกะ แขกของรัฐบาล ตลอดจนรักษาความปลอดภัยสถานที่สำคัญซึ่งผู้บังคับบัญชามอบหมาย ในการปฏิบัติหน้าที่ ซึ่งมีข้าราชการตำรวจจำนวนมากในการปฏิบัติหน้าที่งานทุกอย่าง จะเป็นไปตามขั้นตอน ระบบ ของราชการทุกอย่าง ในการสั่งการ ต่างๆจะถูกสั่งจากข้างบนลงมาข้างล่าง ข้าพเจ้าเองซึ่งเป็นผู้ปฏิบัติจะต้องรอฟังคำสั่งในการปฏิบัติตามแผนและยุทธศาสตร์ของหน่วยงานที่วางหรือกำหนดไว้ พันธกิจหรือวิสัยทัศน์ต่างๆผู้บังคับบัญชาจะเป็นผู้กำหนด ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่นี้ถ้าผู้ปฏิบัติเองต้องมีความสำนึกรับผิดชอบ ในหน้าที่ของตนเองแล้ว หน้าที่หรืองานผู้บังคับบัญชามอบหมายให้ทำ หรือวางใจให้ปฏิบัติหน้าที่แล้ว ผลการปฏิบัติก็จะเกิดผลดี หรือความสงบเรียบร้อยเกิดขึ้น ไม่มีปัญหาอุปสรรคใดๆในหน่วยงาน หน่วยงานก็สามารถที่จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ความผูกพันหรือความรู้สึกดีต่อหน่วยงานหรือองค์กร อาชีพตำรวจก็เป็นอีกอาชีพหนึ่งของงานในระบบราชการซึ่งมีเกียรติ มีศักดิ์ศรี ถึงแม้จะภาพจน์ของอาชีพนี้จะถูกมองไปในทางที่ไม่ดีหรือแต่ในความเป็นจริงแล้วตำรวจก็คือบุคคลธรรมดาสามัญทั่วไป แต่ได้ถูกกำหนดไว้ให้ทำหน้าที่ต้องรักษากฎหมายเพื่อให้สังคมอยู่รวมกันด้วยความสงบสุข และเรียบร้อย แต่ในการปฏิบัติหน้าที่นั้นในบางครั้งต้องเสี่ยงกับการเอาชีวิตเป็นเดิมพัน หรือเสี่ยงอันตราย แต่ตำรวจก็จะต้องปฏิบัติหน้าที่ หรือต้องทำจะหลีกเลี่ยงมิได้ ดังที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานพระบรมราโชวาท สำหรับข้าราชการตำรวจไว้ความตอนหนึ่งว่า “....การจับผู้ร้ายนั้นไม่ถือเป็นความชอบธรรม เป็นแต่นับว่าผู้นั้นได้กระทำการครบถ้วนแก่หน้าที่เท่านั้น แต่จะถือเป็นความชอบธรรมต่อเมื่อได้ปกป้องกันเหตุร้ายให้ชีวิตและทรัพย์สินของข้าแผ่นดินในท้องที่นั้น อยู่เย็นเป็นสุขพอสมควร.....” ในความคิดของข้าพเจ้าในการปฏิบัติหน้าที่และการดำรงชีวิตของตำรวจนั้น การที่ข้าราชการตำรวจทุกนายมีจิตสำนึกรับผิดชอบต่อตนเอง ครอบครัว หน้าที่การงาน มีคุณธรรม จริยธรรม และร่วมมือร่วมใจช่วยเหลือซึ่งกันและกันแล้ว เพียงแค่นี้หน่วยงานหรือองค์ก็จะสามารถทำหน้าที่ของตนเองไปได้อย่างสมบูรณ์ที่สุด ส่วนความผูกพันต่อหน่วยงานนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าสถานที่ทำงานนั้นเป็นบ้านหลังที่สองของชีวิตเรา ทำอย่างไรที่จะให้สถานที่ทำงานและหน่วยงานของเราให้ดีที่สุด เราก็จะทำ
สุภานุช นุพงค์ รหัส 5003810022 เลขที่ 22 รปม. ๔ สวนสุนันทาฯ
สวัสดีค่ะ อ. พจนารถ ซีบังเกิด (สุดสวย สดใส ไร้ที่ติ)
1. การทำงานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันตามวิสัยทัศน์องค์กร
บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) เริ่มก่อตั้งขึ้นเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2497 โดยแปลงสภาพมาจาก องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2545 ทีโอที นับเป็นองค์กรที่วางรากฐานระบบสื่อสารโทรคมนาคมไทยมาเป็นระยะเวลากว่า 53 ปี ด้วยประสบการณ์อันยาวนาน ทีโอทีพร้อมให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมแบบครบวงจรตอบสนองความต้องการครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายให้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด วิสัยทัศน์ มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการสื่อสารโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่สนองตอบต่อความต้องการของลูกค้าและสาธารณชนอย่างใกล้ชิดทั้งด้านเศรษฐกิจและสังคม พันธกิจ ให้บริการโทรคมนาคมด้วยนวัตกรรมที่ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ให้ความมั่นใจด้านข้อมูลข่าวสารเพื่อความมั่นคงของชาติ ให้ประชาชนเข้าถึงข้อมูลข่าวสารรวมถึงบริการสาธารณะต่าง ๆ อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคม จุดเด่นการดำ เนินงาน มีกำไรติดต่อกันเป็นปีที่ 49 เป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนหลักในด้านระบบโทรศัพท์และเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการประชุม APEC 2003 จัดตั้งร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ (Internet Cafe) เพื่อเป็นมาตรฐานของธุรกิจบริการร้านอินเทอร์เน็ตที่เหมาะสมสำ หรับเยาวชน เป็นผู้ให้บริการ Clean Net ราคาประหยัด เป็นผู้เริ่มให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงราคาประหยัดสำ หรับผู้ประกอบการร้านอินเทอร์เน็ต ส่งมอบความสะดวกสบายแก่ลูกค้าด้วยบริการใหม่ๆ หลากหลายรูปแบบ รวม 6 บริการ คือบริการเลขหมายเดียวทั่วไทย (One Number 1800) บริการทายผลกีฬาหรือเกมส์ต่างๆ (Vote Now) บริการเลขหมายพิเศษ (Follow Me) บริการรับฝากข้อความ (I-Box 1278)บริการแสดงเลขหมายเรียกเข้า (Caller ID) และบริการอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง (Wi-FiFlexinet) นอกจากนี้ยังดำ เนินการเพิ่มบริการเพื่อให้บริการช่วงต้นปี 2547 อีก 3 บริการ คือบริการสอบถามข้อมูลภาครัฐเพื่อประชาชน (1111) บริการออกใบรับรองอิเล็กทรอนิกส์(Certificate Authority) และบริการส่งข้อความสั้น (SMS) บนโครงข่ายโทรศัพท์ประจำที่ ใช้วิธีการประมูลราคาทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Auction) เพื่อความโปร่งใส รวดเร็ว และประหยัดงบประมาณ ปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรใหม่ โดยเน้นการแบ่งเป็นกลุ่มธุรกิจและการบริการแบบครบวงจรเพื่อประโยชน์ของลูกค้า (Customer Solution) กำหนดอุดมการณ์หลัก (Core Ideology) และวิถีปฏิบัติเพื่อความเป็นเลิศของบริษัท (TOT Way)รวมทั้งทำ ความเข้าใจกับพนักงานทุกคน เพื่อปรับแนวคิดและพฤติกรรมให้สอดคล้องกับการดำเนินธุรกิจที่มีการแข่งขันสูง ทำความเข้าใจและเผยแพร่ จริยธรรมและจรรยาบรรณ แก่ผู้บริหารและพนักงานทุกคน เพื่อเป็นกรอบในการบริหารงานองค์กรให้เป็นไปอย่างถูกต้อง และเป็นธรรม ได้รับรางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้นจากสภาวิจัยแห่งชาติ ติดต่อกันเป็นปีที่ 4 โดยในปีนี้ได้รางวัลชมเชยในเรื่องอุปกรณ์ป้องกันโทรศัพท์และเครื่องปลายทางอื่นๆจากฟ้าผ่า ไฟฟ้าแรงสูงเหนี่ยวนำ/กระโชกเข้ามาทางคู่สายโทรศัพท์ กิจกรรมเพื่อสังคม สนับสนุนโครงการปลูกป่าถาวรเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 5 รอบ และได้รับรางวัลชนะเลิศแปลงปลูกป่าขนาด 3,000 ไร่ติดต่อกันเป็นปีที่ 2 สนับสนุนทุนการศึกษาและการวิจัยของนักเรียน นักศึกษา และประชาชน สนับสนุนการจัดงานวันเด็กแห่งชาติ สนับสนุนการก่อสร้างอาคารเรียนในถิ่นทุรกันดาร ส่งเสริมสนับสนุนการให้บริการอินเทอร์เน็ตเพื่อการศึกษา โดยติดตั้งโทรศัพท์พร้อมอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้โรงเรียนระดับมัธยมศึกษา จำนวน 455 แห่งทั่วประเทศ ฝึกอบรมการใช้อินเทอร์เน็ตแก่นักเรียน ครู และสมาชิก อบต. สนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้โรงเรียนทั่วประเทศ พัฒนาและเปิดใช้งานโทรศัพท์สาธารณะแบบใช้บัตรสำ หรับคนตาบอด สนับสนุนการกีฬาของเยาวชน คนพิการ และประชาชนทั่วไป สนับสนุนการรณรงค์ต้านความพิการในชนบท สนับสนุนการต้านภัยยาเสพติด สนับสนุนกิจการของสภากาชาดไทย สนับสนุนการจัดหาอุปกรณ์แก่โรงพยาบาลของรัฐ สนับสนุนการศาสนา สนับสนุนกิจกรรมของหน่วยราชการ สนับสนุนการดูแลและคุ้มครองสัตว์ 2. การผูกพันของพนักงานกับองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนการพัฒนาศักยภาพของพนักงาน เมื่อใดที่ งาน ทำให้พนักงานได้ใช้จิตใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาต้องขวนขวายหาทักษะความรู้ใหม่ ๆ และต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ทำให้พวกเขาได้เติบโตก้าวหน้า เหล่านี้จะทำให้พนักงานกระตือรือร้น องค์กรที่น่าอยู่จะมีการเตรียมความต้องการขั้นพื้นฐานของพนักงานไว้ด้วยการให้โอกาสในการเรียนรู้ แม้ว่าในส่วนการทำงานที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตซึ่งอาจจะไม่ได้ถือกันว่าเป็นงานใช้ความรู้ แต่องค์กรที่มีความสร้างสรรค์ก็จะออกแบบงานให้มีความสำคัญเพื่อให้พนักงานที่มีประสิทธิภาพได้ดึงเอากำลังสมองออกมาใช้พอ ๆ กับกำลังกาย ซึ่งองค์กรบางแห่งสามารถทำให้พนักงานในสายงานลักษณะนี้ได้มีส่วนร่วมในการตัดสินใจและร่วมในกระบวนการพัฒนาได้ แต่สำหรับฝ่ายบริหารขององค์กรที่ดึงดูดพนักงานเอาไว้ไม่ได้มักจะเห็นว่า การฝึกอบรมพนักงานเป็นเรื่องที่ทำให้เสียค่าใช้จ่ายมาก และพวกเขาก็ไม่มีเงินและเวลาสำหรับสิ่งเหล่านั้น ขณะที่ฝ่ายบริหารขององค์กรที่น่าอยู่จะเห็นว่า การให้โอกาสในการเรียนรู้แก่พนักงานนั้นเป็นเรื่องของการลงทุนเพื่อดึงดูด รักษา และขยายกำลังการทำงานในองค์กรให้อยู่ในระดับสูงได้เป็นอย่างดีองค์กรไม่เพียงจะจัดเตรียมการฝึกอบรมพนักงานอย่างเป็นทางการไว้เท่านั้น แต่ยังมีการฝึกอบรมที่อยู่นอกเหนือนั้นอีก รวมไปถึงจะมอบหมายโปรเจ็กต์งานและหน้าที่รับผิดชอบที่จะช่วยสร้างความรู้ให้พนักงานมากขึ้น
1. Mission Vision ของหน่วยงานคืออะไร
ชื่อหน่วยงาน : สำนักยุทธศาสตร์และประเมินผล ศาลาว่าการกรุงเทพมหานครVision วิสัยทัศน์ : เป็นองค์กรหลักด้านแผนและเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อชี้นำและผลักดันนโยบายและแผนไปสู่การปฏิบัติหน้าที่หลักของสำนัก : กำหนดนโยบาย เป้าหมายการจัดทำและพัฒนาแผนยุทธศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร แปลงแผนยุทธศาสตร์ไปสู่การปฏิบัติ การประสานแผนปฏิบัติการ การติดตามและประเมินผล การดำเนินการตามแผนและเป็นศูนย์กลางในการบริหารจัดการ พัฒนาและให้บริการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของกรุงเทพมหานคร
งานที่เกี่ยวข้องกับ Vision : การเสนอแนะนโยบายและกำหนดแผนการพัฒนาด้านระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์และระบบเครือข่าย การวิเคราะห์และจัดลำดับความสำคัญของแผนงาน ตลอดจนติดตามและประเมินผลแผนการบริหารระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ เป็นศูนย์ข้อมูลในการจัดทำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการพัฒนาเมืองของกรุงเทพมหานคร ประสานงานกับหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำข้อมูลมาใช้พัฒนาระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์เพื่อการบริหารและเชื่อมโยงข้อมูลข่าวสารในระบบเครือข่ายและเป็นศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศภูมิศาสตร์กรุงเทพมหานคร เพื่อให้การสนับสนุนทางด้านวิชาการและนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มาประยุกต์ใช้ในกรุงเทพมหานคร 2. ให้เลือก The 8 Key Driver of Engagement ข้อ 7 Employee development : การพัฒนาศักยภาพของพนักงานคือ การจัดให้มีการพัฒนาบุคลากรทั้งแบบป้องกันและแก้ไข มุ่งเน้นการฝึกอบรม พัฒนาทักษะที่สำคัญสำหรับงานในปัจจุบัน และอนาคต เน้นการเพิ่มพูน ความรู้ ความสามารถ ความชำนาญ ปรับปรุงทักษะการเรียนรู้ การฝึกอบรม พัฒนา ต้องสอดคล้องกับกลยุทธ์ขององค์กร เพื่อเพิ่มขีดความสามารถ เช่น ต้องให้ความรู้ที่เกี่ยวข้องกับเทคนิค เครื่องมือการจัดการสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นในการลดต้นทุน และเพิ่ม Productivities เป็นต้นจุดเด่นของการพัฒนาศักยภาพ คือ
(1) มีความสัมพันธ์โดยตรงกับการวางแผนเชิงกลยุทธ์หรือยุทธศาสตร์ขององค์กรและการวางแผนการบริหารงานบุคคล เนื่องจากการพัฒนาศักยภาพเป็นเครื่องมือหนึ่งในการปฏิบัติตามแผนขององค์กรที่วางไว้ให้บรรลุผล
(2) การมุ่งไปสู่อนาคต โดยการพัฒนาศักยภาพเป็นเครื่องมือหรือแผนการพัฒนาสมรรถนะที่จำเป็นต่อความสำเร็จในการปฏิบัติงานในอนาคต
(3) เป็นการเปลี่ยนแปลงองค์กรจากการพัฒนาในเชิงรับมาเป็นเชิงรุก ซึ่งจะส่งผลให้องค์กรทุ่มเทอย่างจริงจังให้กับการพัฒนาและสามารถเก็บรักษาคนที่มีคุณภาพไว้ได้
การพัฒนาศักยภาพมีความสำคัญและประโยชน์หลายประการ เพราะบุคลากรในองค์กรจะมีระบบความคิดมากขึ้น เพื่อที่จะพัฒนาให้ตนเองประสบความสำเร็จในระยะยาว องค์กรสามารถสร้างสมรรถนะที่ต้องการเพื่อมุ่งไปสู่ความสำเร็จในอนาคตและสามารถตอบรับกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของสภาพแวดล้อมทั้งภายในและภายนอกได้อย่างมีประสิทธิผลมากขึ้น
เรียนอาจารย์ พจนารถ ซีบังเกิด
1. การทำงานให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันตามวิสัยทัศน์องค์กรวิสัยทัศน์ เป็นองค์กรที่มองการณ์ไกล พนักงานมีความสามารถสูงและอุทิศตนเพื่อดูแลเศรษฐกิจให้ผ่านพ้นความผันผวนได้อย่างราบรื่น พันธกิจ มุ่งเสริมสร้างสภาพแวดล้อมทางการเงินที่มั่นคง มีเสถียรภาพเพื่อการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยั่งยืน การพัฒนาตลาดการเงิน ธปท. มีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนให้ตลาดการเงินมีมาตรฐานการดำเนินงานที่น่าเชื่อถือและเป็นที่ยอมรับของผู้ร่วมตลาด ทั้งนี้ เพื่อช่วยกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาในตลาดการเงินโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาดเงินและตลาดตราสารหนี้ ซึ่งจะเป็นการเพิ่มประสิทธิภาพและการแข่งขันในตลาด ดังกล่าว ตลาดการเงินที่มีการพัฒนาเป็นอย่างดีมีส่วนช่วยให้การดำเนินการในตลาดการเงินของ ธปท. มีประสิทธิผลยิ่งขึ้น โดยจะช่วยส่งเสริมการใช้เครื่องมือทางการเงินของ ธปท. เพื่อการดำเนินนโยบายการเงิน นอกจากนี้ ตลาดการเงินที่มีการพัฒนาและการแข่งขันสูงจะส่งผลให้กลไกการส่งผ่านนโยบายการเงินผ่านช่องทางอัตราดอกเบี้ยมีประสิทธิภาพมากขึ้น 2. การผูกพันของพนักงานกับองค์กรเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน สร้างความศรัทธาและความซื่อสัตย์ ผู้บริหารและหัวหน้างานจะรู้และตระหนักดีว่า การปฏิบัติตัว การตอบโต้ และการติดต่อสื่อสารในการบริหารงานนั้น เป็นสิ่งที่สื่อให้พนักงานเห็นว่า พวกเขามีความศรัทธาและความซื่อสัตย์ต่อพนักงานหรือไม่ และพวกเขาก็ยังทราบดีว่า สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่แสดงออกให้เห็นถึงความศรัทธาและความซื่อสัตย์ต่อกัน อย่างการให้อำนาจแก่พนักงานเพื่อตัดสินใจเรื่องเล็กน้อยโดยไม่จำเป็นต้องขออนุญาตก่อนทุกครั้ง หรือการใช้คำพูดว่า "คุณช่วย..." แทนที่จะพูดว่า "คุณควร/ต้อง..." กรณีที่คุณต้องการมอบหมายงานให้พวกเขาทำ ซึ่งสิ่งเหล่านี้สร้างความแตกต่างในความรู้สึกที่พนักงานจะมีต่อผู้บริหารหรือหัวหน้างาน องค์กรบางแห่ง หัวหน้างานจะขอความเห็นจากพนักงานเมื่อมีปัญหาหรืออยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากว่า "พวกคุณคิดว่าเราควรจะทำอย่างไรดีในสถานการณ์เช่นนี้" ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงการให้ความศรัทธาทั้งในแง่ส่วนตัวและการงาน และนี่ก็เป็นอีกทางหนึ่งที่จะสร้างชื่อเสียงให้กับบริษัทว่าเป็นองค์กรที่น่าทำงาน นอกจากนี้คุณควรมีการตรวจสอบว่าพนักงานรู้สึกอย่างไรต่อองค์กรและการบริหารงาน จากนั้นก็ตอบโต้ข้อมูลเหล่านั้นด้วยการแสดงความเคารพกัน
พันธกิจ (Mission Statements)
(1) ผลิตบัณฑิตทางด้านพระพุทธศาสนา ให้มีคุณสมบัติตามปรัชญาของมหาวิทยาลัย และกระจายโอกาสให้พระภิกษุสามเณร คฤหัสถ์ และผู้สนใจมีโอกาสศึกษามากขึ้น
(2) ให้บริการวิชาการตามแนวพระพุทธศาสนาแก่สังคม ชุมชน และท้องถิ่น โดยเฉพาะวิชาการทางพระพุทธศาสนา เพื่อมุ่งเน้นการเผยแผ่พุทธธรรม การแก้ปัญหาสังคม การนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดสันติสุข การชี้นำสังคมในทางสร้างสรรค์ และการยุติข้อขัดแย้งด้วยหลักวิชาการพระพุทธศาสนา
(3) วิจัยและพัฒนางานวิชาการเชิงลึกด้านพระพุทธศาสนา เพื่อสร้างองค์ความรู้ทางด้านวิชาการพระพุทธศาสนาใหม่ ๆ ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ และเผยแผ่องค์ความรู้ในระบบเครือข่ายการเรียนรู้ที่ทันสมัย
(4) รวบรวมและจัดเก็บข้อมูลด้านศาสนาและศิลปวัฒนธรรมเพื่อให้มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งค้นคว้า ทำนุบำรุงรักษาภูมิปัญญาไทยและท้องถิ่น รวมทั้งสร้างชุมชนที่เข้มแข็งเพื่อให้มีภูมิคุ้มกันวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะสม
วัตถุประสงค์หลัก (Objectives)
(1) ผลิตบัณฑิตพระภิกษุ สามเณร ให้มีความเป็นเลิศทางวิชาการตามแนวพระพุทธศาสนาเพื่อจรรโลงพระพุทธศาสนาในระดับชาติและนานาชาติ
(2) ผลิตบัณฑิตคฤหัสถ์ทุกคน ให้เป็นคนดี คือ คิดดี พูดดี และทำดี ตามแนวทางแห่งพระพุทธศาสนา
(3) บริการวิชาการตามแนวพระพุทธศาสนาแก่สังคมให้เกิดผลสัมฤทธิ์เป็นประจักษ์ชัดเจน ต่อสังคมไทยและสังคมโลก
(4) ผลิตบัณฑิตเป็นผู้นำ เพื่อสร้างสังคมไทยให้มีความเข้มแข็งทางสังคมศาสตร์ และมีคุณภาพทั้งด้านความรู้และความประพฤติ
(5) ผลิตบัณฑิตเป็นผู้นำ เพื่อสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งภูมิปัญญา การเรียนรู้ และเป็นศูนย์กลางทางวิชาการพระพุทธศาสนาเถรวาท
(6) ผลิตบัณฑิตเป็นผู้นำ เพื่อสร้างสังคมไทยให้เป็นสังคมแห่งสมานฉันท์ ความเอื้ออาทรต่อกันและความสามัคคี โดยใช้หลักสาราณียธรรมและพรหมวิหารธรรม
(7) สร้างระบบการบริหารองค์การให้เป็นองค์การที่มีลักษณะของความเป็นมหาวิทยาลัยเฉพาะทางพระพุทธศาสนาและมีมาตรฐานระดับสากล