เรียนรู้ กับ การดูหนัง เรื่อง Lorenzos oil


คุณเป็นใคร คุณเกิดมาทำไม ความต้องการที่แท้จริงของคุณคืออะไร

เรียนรู้ กับ การดูหนัง เรื่อง Lorenzos oil  

                  นำแสดงโดยดาราดังอย่าง  Nick Nolte & Susan Sarandon  เป็นพ่อแม่ของเด็ก

หนังเก่า  แต่ก็ดีมาก   เหมาะสำหรับฝึกการ คว้าจับ (capture)” ความรู้  ทั้งที่เป็น   ค้นพบแบบ ตรงๆ ซื่อ  (finding)   และ ค้นพบภายในใจ ในกายของเรา  ( feeling) ไปจนถึง  การทำจิตให้เข้า สภาวะ Presencing  (มาจาก Present + sensing  อยู่กับปัจจุบันขณะ และ ตื่นรู้ มีสติ)  ก็จะ ปิ๊งแนวคิด ไอเดีย หรือ Intuition ดีๆ ออกมามากมาย

    เป็นเรื่องจริง ของ พ่อแม่ ที่ ลูกชายวัย ๕ ขวบ ต้องเจอกับโรคร้าย ALD (adrenoleukodystrophy)  ที่รักษายาก  เกิดขึ้น 1 : 45000  ถ่ายทอดทางพันธุ์กรรม  มีแม่เป็นพาหะ   เป็นในเด็กชาย   ช่วง 5 – 10 ขวบ  และ จะตายในระยะเวลา อีก 1 – 2 ปี หลังจากที่พบว่าเป็น    ตายด้วยอาการสมองเสื่อม  กล้ามเนื้อไม่ทำงาน ฯลฯ

หนังเริ่มเรื่อง ในฉากที่ หมู่เกาะ Comoros   ในมหาสมุทรอินเดีย  (อยู่ระหว่าง อัฟริกาตะวันออก กับ เกาะมาดากัสการ์)    ตอนที่  พ่อแม่ ของเขาไปทำงานใน Comoros นี้   เห็นความน่ารักของ Lorenzo และ ความร่าเริงสดใสของชุมชนประมงเล็กๆ ที่มีความสุข   รวมทั้ง โอมูรี  เด็กหนุ่มผิวดำ มุสลิม  ที่สนิทกับ Lorenzo

พอ Lorezo อายุ 5 ขวบ  ครอบครัวของ Odone ก็กลับมา Wahington DC

     ในหนังเรื่องนี้  จะเห็น ความเห็นแก่ตัวของคน   อัตตาของคนวงการแพทย์   กระบวนทัศน์ของนักวิทยาศาสตร์ที่คับแคบ   และ  จะได้เห็น    ความอดทน ต่อสู้ของคนที่เป็นพ่อแม่     ผมเชื่อว่าหนังเรื่องนี้ สร้างแรงบันดาลใจ (Open will) ให้หลายๆคนกล้าที่จะทำ  สู้ๆๆๆๆ

จะได้ยิน  คำพูดกระเทือนใจ เช่น

 เสียใจด้วยนะ  ลูกของคุณเป็นโรคที่ไม่ค่อยมีใครเป็น ไม่มีใครวิจัยโรคหรอก มันไม่คุ้ม..   แต่ถ้า เป็นปรมาณู  พวกเขา (นักวิทยาศาสตร์) สามารถคิดได้ภายใน 28  เดือน

คุณ (หมอ) ไม่มีวันเข้าใจหรอก  เพราะ  เขาไม่ใช่ลูกของคุณ

จะเห็นภาพ กระเทือนใจมากมาย     ฉากที่ พยาบาล ซังกะตายเฝ้าไข้เด็กอายุ ๗ ขวบ   รักษาคนเหมือนเครื่องจักร     ในขณะที่แม่เด็ก รู้จักการรักษาแบบองค์รวม (Holistic) แบบ Human side มากกว่าพยาบาล(สมัยนั้น)

คำพูดกระเทือนคนไข้ ที่เห็นได้บ่อยๆ  คือ คุณไม่ใช่หมอ คุณอย่ารู้เลย     แต่ พ่อของ Lorenzo ก็ศึกษาด้วยตนเอง  เข้าห้องสมุดแพทย์   ลงทุนจัดสัมนาให้หมอจากแดนไกลมาประชุมกัน  จนต้องจำนองบ้าน เพียงเพื่อให้หมอ  ได้มาอภิปรายกัน  1 วัน  ด้วยอาหารอร่อย โรงแรมดี 

หนังเรื่องนี้  ฝึกจิตได้ดีมาก   ถ้า อิน  เราสามารถหลั่งน้ำตาได้   ไม่ว่าชายหรือหญิง  

หนังใช้เพลง  มุมกล้องแบบกดๆ  ถ่ายจากมุมล่าง   แสงสีฟ้า    การเน้นแสงอบอุ่น (ส้ม) ในบางช่วง   กระตุ้นอารมณ์   โดยเฉพาะแววตาของแม่  

เห็น โอมูรี  เด็กหนุ่มจาก อัฟริกัน  ที่เป็นมุสลิม  แต่ น้ำใจเหลือล้น    พ่อเด็กเป็นคนลงทุน นำ โอมารี  ซึ่งเคยเป็นเพื่อนของ Lorenzo มาก่อน   บินข้ามทวีปมาหาที่ Washington DC     ก่อนจะพามา พ่อพูดว่า น่าสงสาร โอมารีนะ   เป็นคนดำ  มุสลิม   แต่ ต้องมาเมืองที่เหยียดผิว เหยียดศาสนา เช่นนี้

               แม้โอมารี  จะเป็นเด็ก  ผิวดำ  ต่างศาสนา  แต่  โอมารี รู้จัก การรักษาด้วย "ใจ" สู่ "ใจ"     เป็นความบริสุทธิ์ทางใจ    ที่  หมอ พยาบาล นักวิทย์  ฯลฯ สมัยนั้น  ขาดแคลน    

               โอมารี  พูดภาษาอังกฤษ ไม่ได้  แต่ ทันทีที่เห็นหน้า Lorenzo   เขา จับมือ Lorenzo และ ร้องเพลงเบาๆให้ฟัง

               คนดู  สะใจ ที่เห็น แม่เด็ก  ขับไล่  พยาบาลที่ "แข็งโป๊ง" ทำงานแบบไม่มี "หัวใจ"    ด้วยการโยน กระเป๋าพยาบาลออกไปนอกประตู  และ บอกว่า "ไปสะ" 

               จะเห็น พยาบาล แพทย์  สักกี่คนในโลก( สมัยนั้น) ที่ รักษาคนไข้แบบองค์รวม !!!  ในขณะที่  ความต้องการเป็นใหญ่ในอาชีพ   บ้านสวย รถแพง  เที่ยวเมืองนอก ตำแหน่ง  ชื่อเสียง  อัตตา  ฯลฯ  มันเป็น เสียงเรียกภายในของพวกเขา   

                 ระบบการศึกษาที่ห่างเหินการเข้าสู่ต้นตอของชีวิต (Connecting  to the source)    สืบค้นรากเหง้าของชีวิต    ก็จะผลิต "บัณฑิตหัวใจกระด้าง"  ออกมา   เสพนิยม บริโภคนิยม  กอบโกย   อยู่บนความกลัว   เห็นคนอื่นโง่กว่า   ไม่เคยได้ยินเสียงภายใน (inner voice) ของตนเอง   ไม่รับรู้   ไม่ sense  ไม่คิดเชื่อมโยงกับธรรมชาติ   ฯลฯ

                    เห็น คนนิสัย กระทิง (พ่อแม่)  ที่ต้องต่อสู้ กับ พวกนิสัย หมี  เช่น นักวิทยาศาสตร์  เจ้าหน้าที่มูลนิธิ  พ่อแม่ของเด็กที่เป็นโรคนี้   ฯลฯ ที่ ระมัดระวัง   ไม่กล้าเสี่ยง 

คนที่ชอบ ผู้หญิงนักสู้   และ ผู้ชายนักเรียนรู้  ไม่ควรพลาดหนังเรื่องนี้

มีหลายฉาก  ที่เป็น dialogue (สุนทรียสนทนา)   ซึ่งหากไม่มีการคุยกันดีๆแบบนี้   ทั้งผัวเมีย คยทะเลาะ ตบตี ปล่อยลูกชายตายไปนานแล้ว    

ผมคิดว่าหนังเรื่องนี้ ได้ทำให้  หมอในหลายๆประเทศ  ได้ ฉุกคิด  และ เริ่มมาสนใจเรื่องของจิตใจ  การรักษาคนไข้ไม่ใช่รักษาโรค  

ดูเรื่องนี้   จะเข้าใจ Theory U  ของ  Otto C Scharmer  มากขึ้น    การ ค้นพบ ที่สำคัญ อยู่ที่การสังเกต  การออกนอกกรอบ   กระบวนการการเรียนรู้   ฯลฯ   เรื่องนี้เหมาะสำหรับคนที่เป็น กระบวนกร

                   มีการแปลผิด อย่างแรง  คือ ในหนัง subtitle  แปลคำว่า rapeseed ว่า ละหุ่ง  แต่ จริงๆแล้ว ไม่ใช่ครับ    Rapeseed  คือ rapeseed หรือ Canola   เป็นพืชตระกูล rape    คนที่ไปเที่ยวฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์   อินเดีย ฯลฯ  คงจะเคยเห็น เป็นทุ่งสีเหลืองอร่าม  (ตอนไปอินเดีย หญิงไทย ลงไปเก็บดอกไม้ ในทุ่งนี่แหละ)   .....   บางที คนไทยเรียกทุ่งมัสตาด  แต่  ฝรั่งงง  

                  ตอนนี้  Lorenzo  อายุ 29 ปีแล้ว  นอนเป็นอัมพาต อยู่บนเตียง       พ่อของเขาสูบบุหรี่หนักมากๆ ได้ ปริญญากิติมาศักดิ์ทางแพทย์    แต่ น่าเศร้า  ปี 2000 แม่ของเขา ตายเพราะ มะเร็งในปอด   ไม่รู้ว่าเป็นเพราะ เครียดจัด  ดูแลลูกนาน ถึง 24 ปีเต็ม   และ ต้องสูดควันบุหรี่ของสามีมากไปหรือเปล่า 

                 พ่อของเขา Augusto  ยังไม่หยุดยั้งที่จะวิจัยต่อไป  

                ตอนที่  พ่อแม่  รู้ว่า  แม้นจะได้ทาน Lorenzos oil ลูกของเขาก็ไม่หายขาด ต้องเป็นผัก (vegetable) ตลอดกาล แม่เสียขวัญมาก  แต่ พ่อบอกว่า  "อย่าคิดว่าเราทำเพื่อลูกของเราสิ   เราทำเพื่อลูกของคนอื่นๆด้วย"  ...  นี่แหละ จิตอาสา   นี่แหละ หัวใจของแพทย์   ที่ไม่ได้เรียนแพทย์  

                 แพทย์ทั้งหลายอ่านกระทู้นี้แล้ว  อย่าโกรธผมนะ  มีแพทย์ดีๆเยอะ   และ สมัยโน้น กับ สมัยนี้  อะไร อะไร ก็เปลี่ยนไปแล้ว       

                

หมายเลขบันทึก: 162860เขียนเมื่อ 2 กุมภาพันธ์ 2008 15:06 น. ()แก้ไขเมื่อ 7 มิถุนายน 2012 23:01 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

เป็นหนังที่ดูแล้วให้พลังมากค่ะ พลังแห่งรักสร้างให้เกิดนวัตกรรมได้เหมือนที่พ่อและแม่ของลอเรนโซคิดค้น Lorenzo's oil ให้โลกนี้

ถ้าไม่ได้ความรักของพ่อแม่คู่นี้ก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะมีใครสนใจศึกษาโรค ALD อย่างจริงจัง ได้ข่าวว่าตอนนี้มีเด็กชายที่มีโอกาสเป็น ALD ร่วม 2 ล้านคนทั่วโลกและ 80% ของเด็กกลุ่มนี้ได้ Lorenzo's oil ช่วยป้องกันไม่ให้ออกอาการ ALD ค่ะ

เรียนท่านไร้กรอบ "คิด ก่อนพูด" "สติ คุมปาก นิ"

ผมขออนุญาตนำบันทึกของอาจารย์ไปให้นักศึกษาได้อ่านนะครับ

สวัสดีครับ

ผมเคยดูหนังเรื่องนี้สองสามรอบ ในคราวที่เคเบิ้ลทีวี นำมาแพร่ภาพ ตอนแรกไม่อยากดูต่อเลยครับ เกรงว่าเด็กที่ป่วยจะไม่รอด แต่เมื่อทนดูจนจบกลับพบความปิติ ที่จบลงด้วยความสุข

rapeseed ที่เมืองจีนแถบเสฉวนก็มีเยอะครับ

ตอนนี้ผมสนใจอยากให้องค์กรสาธารณสุขที่ใดสักแห่ง ช่วยไปวิจัยผลกระทบต่อสุขภาพของพี่น้องคนร่อนทองในแม่น้ำโขงในลาวครับ พี่น้องใช้มือเปล่าๆสัมผัสปรอทกัน ในกระบวนการแยกทองครับ ทำให้ห่วงว่าจะเป็นอะไรหรือเปล่า ฝากประชาสัมพันธ์ผ่านบันทึกนี้ครับ ขอบคุณครับผม

ขอบคุณครับ

เรื่องนี้ดีมากครับ และประทับใจครับ

เป็นเกร็ดจากชีวิตจริง ตอนท้ายถ้าจำไม่ผิด สมาคมแพทย์ต่างชื่นชมยกย่องในความมานะ อุตสาหะ ค้นคว้าและอ่านอย่างเอาเป็นเอาตาย เรียกว่ายอมสละทุกอย่างทั้งพลังกายและใจ

จำนวนชั่วโมงที่อยู่ในห้องสมุด ค้นรายงานการศึกษาทั้งหมด

จนในที่สุดหาคำตอบในการรักษาได้

ดังนั้นจึงได้มอบปริญญาแพทยศาสตร์ให้ด้วย

ผมว่านี่เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับนิสิต นักศึกษาแพทย์มาก

และเป็นตัวอย่างของพลังแห่งความรักต่อลูกด้วย (เหมือนกับพ่อและแม่คู่นี้จะยอมตายแทนได้) 

 

สวัสดีค่ะ

แกะรอยมาจาก blog หนึ่งใน ผู้จัดการ M blog ค่ะ

ประทับใจมาก น้ำตาซึมเลยค่ะ โดยเฉพาะ "อย่าคิดว่าเราทำเพื่อลูกของเราสิ   เราทำเพื่อลูกของคนอื่นๆด้วย" 

นึกถึงคำกล่าวของท่าน ศานติเทวะ

" ปีติใดก็ตามในโลกนี้

ล้วนบังเกิดจากความปรารถนาให้ผู้อื่นเป็นสุข

ทุกข์ใดๆ ในโลกนี้

ล้วนเกิดจากความปรารถนาให้ตนเองเป็นสุข "

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท