281 Tag คิด (ไม่) ถึง: ท่านพลเดช วรฉัตร นักการทูตที่น่าทึ่ง


ผมเป็นทึ่งกับ web ของท่านที่เขียนบทความไว้มากมาย รวมทั้งเรื่องราวอันสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ไทยที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศในฐานะที่ท่านเป็นนักการทูต จึงใช้โอกาสนั้นสร้างคุณประโยชน์ให้กับวงการประวัติศาสตร์ไทย

ช่วงที่ผมเริ่มทำงานที่ดงหลวง มุกดาหาร มีชมรมนักศึกษาเก่า มช.ที่นั่น ก็ไปกินข้าวประชุมกันตามโอกาส ทำให้ได้รู้จักรุ่นน้องคนหนึ่งเป็นนักการทูตอยู่ที่แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว เนื่องจากอยู่ตรงข้ามกับมุกดาการนักการทูตท่านนี้ก็ข้ามมาราชการในเมืองไทยบ่อยและถือโอกาสพบปะพี่น้อง มช.ที่นั่น นักการทูตท่านนี้ พูดเก่ง ร้องเพลงเก่ง และ เขียนหนังสือเก่ง ท่านชื่อพิษณุ จันทร์วิทัน หลังจากนั้นก็ย้ายไปเป็นกงสุลใหญ่ที่นิวยอร์ก และดูเหมือนจะมาเป็นเอกอัคราชทูตที่บลังกาเทศ และปัจจุบันเข้ามาเป็นอธิบดีอะไรสักอย่างที่กระทรวงการต่างประเทศ  ผมมีหนังสือของท่านอยู่หลายเล่ม และหยิบเอามาอ่านอยู่บ่อยๆ ในเล่มที่ชื่อ เสน่ห์ภาษาลาว เพราะต้องทำงานเกี่ยวข้องกับประเทศลาวจึงอยากจะเข้าใจลาว และความสัมพันธ์ไทยลาวให้มากที่สุดทั้งปัจจุบันและอดีต  

จากการที่ได้ไปหลวงพระบาง ไชยบุรี และเมืองนาน มาสองครั้ง เก็บข้อมูลและประเด็นมาเขียนหลายตอน ก็ยังมีการค้นคว้าหาความรู้ใส่ตัวอยู่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ ไทย-ลาว เป็นการรื้อฟื้นความรู้เรื่องนี้กันอีกครั้งหลังจากที่ แช่แข็ง มานาน (สำนวนท่าน..ศน.ศิลป์ชัย..) ประเด็นที่ผมติดใจคือเรื่องการเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และอิทธิพลของฝรั่งเศสในภูมิภาคนี้ในสมัยโบราณรวมทั้งตัวบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น นาย James McCarthy หรือพระวิภาคภูวดล ผู้ที่รัชกาลที่ 5 จ้างมาทำแผนที่ประเทศสยามและรัฐที่อยู่ในการปกครอง นาย Henri Mouhot ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาสำรวจดินแดนลุ่มน้ำโขงและเขียนหนังสือจนนครวัด นครธมโด่งดังไปทั่วโลกตั้งแต่โบราณกาลแต่ตัวเองก็จบชีวิตที่หลวงพระบาง นาย Dudart de Lagree นายทหารเรือผู้มีบทบาททำให้กษัตริย์เขมร ณ เมืองอุดงลงนามให้เขมรอยู่ในอารักขา แต่มาเสียชีวิตที่เขตติดต่อเมืองจีน นาย Francis Garnier นายทหารหนุ่มผู้คลั่งแม่โขงตัวจริง นายคนนี้มาเสียชีวิตที่ฮานอยด้วยฝีมือผู้รักชาติชาวเวียตนาม นาย Auguste Pavie ผู้เป็น Viee Consul ฝรั่งเศสประจำหลวงพระบาง และเข้ามาเป็นViee Consul ฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ และเริ่มกระบวนการต่างๆเพี่อหาทางให้ฝรั่งเศสเข้ามายึดประเทศไทยเป็นอาณานิคม แต่พระอัจฉริยภาพและพระบารมีของกษัตริย์ไทยเราจึงรอดตัวไปเพียงเสียดินแดนบางส่วนไปเท่านั้น.. 

ห้องทำงานบ้านผมคือห้องสมุดเล็กๆส่วนตัว ผมตั้งชื่อว่า ละลิตาไลบรารี่ เมื่อปี 2538 เป็นคนชอบหนังสือ ทั้งได้จากการทำงานและซื้อหามา อ่านหมดบ้างไม่หมดบ้าง แต่ก็เข้าตู้เก็บ มีมากจนจ้างน้องๆนักศึกษามาจัดระบบ ดิวอี้ให้ แต่ก็มีเรื่องให้ย้ายจากมุมหน้าบ้านไปอยู่หลังบ้าน ระบบเลยมั่ว หนังสือเอกสารก็มากขึ้นเรื่อยๆจนล้นห้อง อิอิ..  สัปดาห์ที่ผ่านมามีเวลานั่งในห้องทำงานที่บ้านแบบสบายๆจึงขยับจัดห้องซะเลย 

ระหว่างจัดนั้นมีวารสาร ศิลปวัฒนธรรม ที่ผมเป็นแฟนประจำอยู่ แต่เล่มเก่าที่ผมหยิบขึ้นมานี่เป็นเดือนกรกฎาคม 2545 ก็ 6 ปีแล้ว  มีบทความเกี่ยวกับประเทศลาวที่ผมกำลังมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้างจึงหยิบมาพลิกดูสารบัญ ทำให้พบบทความของท่านพลเดช วรฉัตร Blogger g2k ของเราเข้าให้ ท่านเขียนเรื่อง ...ย้อนอดีตสยามกับทายาท นายยอดตรัง” (Emile Jottrand) ที่ปรึกษากฎหมายชาวเบลเยี่ยมในสมัยรัชกาลที่ 5 ….. ซึ่งต่อเนื่องจากที่ท่านเขียนเป็นปกติอยู่ใน http://www.polpage.com  ผมมีโอกาสติดตามงานของท่านเกือบทุกบทความ ในบทความนายยอดตรังนั้น ตอนหนึ่งเกี่ยวข้องกับสาระที่ผมติดตามก็คือ .....

----------------------------------

….คณะที่ปรึกษาต่างชาติที่โดดเด่นที่สุดคณะหนึ่งในประวัติศาสตร์สนามคือ คณะที่ปรึกษาชาวเบลเยี่ยมนำโดย นายกุสตาฟ โรแลง ยัคแมงส์ หรือเจ้าพระยาอภัยราชา ซึ่งเป็นบุคุลที่มีบทบาทและมีส่วนสำคัญคนหนึ่งที่ทำให้สยามรอดพ้นจากการคุกคามของฝรั่งเศสและอังกฤษ..... 

จากประโยคนี้ผมเก็บเอามาคิดมากมายว่า ฝรั่งต่างชาติที่เข้ามาทำงานในตำแหน่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากมายในอดีตนั้น มีทั้งมาช่วยพัฒนามาตรฐานบ้านเมืองเราให้ทัดเทียมต่างประเทศ อันเป็นความชาญฉลาดของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงจ้างชาวต่างชาติมาทำงานในราชสำนักในเรื่องต่างๆ แต่ก็มีฝรั่งต่างชาติอีกจำนวนหนึ่งที่จ้องจะฮุบประเทศเพื่อให้เป็นเมืองขึ้นของเขา...  

ผมคิดถึงปัจจุบันนี้มีฝรั่งเต็มบ้านเมือง เฉพาะมาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและธุรกิจการค้า ก็มีจำนวนไม่น้อยที่หวังจะเอาเราเป็นเมืองขึ้นเขาในรูปแบบใหม่ๆ..เพียงแต่เราจะรู้เท่าทันเขาหรือไม่เท่านั้น..หรือคนของเราเองยืนหมูให้เขาเองอย่างเช่น... หรือมันแนบเนียนจนเราแยกไม่ออกว่านั่นคือเราตกเป็นเบี้ยล่างเขา..ก็มีการวิภาควิจารณ์กันบ่อยๆ..

--------------------------------

ผมทึ่งกับการที่ท่านถูกกระตุ้นโดยทีมงานหนังสือศิลปวัฒนธรรมคราวที่ไปตามรอยพระบาท...ซึ่งเป็นเรื่องราวทางประวัติสาสตร์ จนทำให้ท่านนักการทูตท่านนี้สนใจและชวนภรรยาท่านไปนั่งค้นหนังสือเก่าที่วางขายในเบลเยี่ยม วันแล้ววันเล่าจนพบเอกสารประวัติศาสตร์สำคัญเกี่ยวกับประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจพระมหากษัตริย์ไทยในต่างประเทศ จากกองหนังสือเก่านั้น...ท่านและภรรยาท่านดีใจแค่ไหนเราเดาได้ ผมเองและคนไทยเมื่อทราบข่าวนี้ก็ดีใจไม่แพ้ท่าน..นอกจากหนังสือเก่าแล้วยังมีเอกสารทางประวัติศาสตร์เก่าของประเทศไทยอีกมากมายที่ท่านพบในต่างประเทศ....(ติดตามได้ใน web ของท่าน)

เมื่อผมติดตามท่านพลเดช ก็ทราบว่าท่านเป็นศิษย์เก่า มช.ในระยะสั้นๆ(ไม่แน่ใจว่าท่านรุ่นก่อนผมหรือหลังผม..) และท่านรู้จักดีกับท่านพิษณุ จันทร์วิทัน เพราะเป็นนักการทูตเช่นเดียวกับท่าน  

บทความมากมาย รวมทั้งเรื่องราวอันสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ไทยที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ  ในฐานะที่ท่านเป็นนักการทูต จึงใช้โอกาสนั้นสร้างคุณประโยชน์ให้กับวงการประวัติศาสตร์ไทย และการเรียนรู้อดีตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับนานาชาติ  ผม Download บทความท่านและเข้าเล่มเอามาศึกษาและเก็บไว้เป็น collection ส่วนตัว  

ท่านเขียนถึงตัวท่านเองว่า .....เป็นคนธนบุรี เกิดที่ รพ.ศิริราชริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ไกลจากท่าน้ำวัดระฆัง ช่วงอยู่ชั้น ป.6 ไปเรียนที่ปีนัง 1 ปี (เซนต์เซเวียร์) เรียนจบมัธยมที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส เรียนเทอมแรกที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก่อนไปเรียนต่อที่ประเทศเบลเยียมและประเทศฝรั่งเศส ที่เมืองตูลูซ จบการศึกษาปริญญาเอก(รัฐศาสตร์)จากมหาวิทยาลัยเมืองตูลูซ ประเทศฝรั่งเศส  สนใจปฏิบัติธรรม(สมถะ/วิปัสสนา)มาตั้งแต่เด็ก เป็นลูกศิษย์หลวงปู่วัดระฆัง ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา(วัดพระบาทห้วยต้ม)คุณแม่สิริ กรินชัยและปฏิบัติตามแนวของหลวงพ่อจรัญแห่งวัดอัมพวัน เคยเป็นกรรมการยุวพุทธิกสมาคม/วิทยากรสอบอารมณ์ ฯลฯ 

ท่านจะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า โยคี  และให้สรรพนามคนที่ท่านกล่าวถึงว่า โยคี บ่อยๆ ผมไม่ทราบเหตผลที่ชัดเจนว่าเพราะอะไร แต่บ่งบอกถึงเป็นคนที่มีธรรมอยู่ในจิตใจอย่างสูง รวมทั้งบุคลที่ท่านกล่าวถึงนั้นด้วย 

ผมคิด(ไม่)ถึงว่านักการทูตท่านนี้จะสนใจธรรมและปฏิบัติขั้นสูง และสนใจการล่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศชาติของเราจนท่านค้นพบ และอื่นๆ... ซึ่งผมยืนยันว่าท่านมีคุณค่ามากมายนัก 

นี่คือเหตผลที่ผมต้อง Tag คิด(ไม่)ถึงท่านนักการทูต พลเดช วรฉัตร ผู้น่าทึ่งท่านนี้ครับ  สนใจท่านติดตามท่านได้ที่  http://www.polpage.com ครับ 

หมายเลขบันทึก: 162473เขียนเมื่อ 31 มกราคม 2008 12:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:45 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (27)

สวัสดีค่ะพี่บางทราย

เข้ามายกมือเห็นด้วยค่ะ ว่าท่านพลเดชนั้นท่านน่าทึ่งจริงๆ ท่านเคยกล่าวถึงตัวท่านเองว่าดูจะเป็นนักการทูตท่านเดียวที่ศึกษาธรรมแบบจริงจัง..และที่น่าเคารพและน่าทึ่งที่สุดในความคิดเบิร์ดคือท่านสอนคุณพ่อของท่าน ( คุณพ่อสกล วรฉัตร ) ให้เป็นบล็อกเกอร์ในวัย 80 ปี !

นักการทูตเขียนบล็อก !  นักการทูตผู้ศึกษาธรรมอย่างจริงจัง ! นักการทูตผู้สมกับความภาคภูมิใจในฐานะตัวแทนชาติ ! ท่านน่ารักนักเนาะคะพี่บางทราย ^ ^

ขอบพระคุณสำหรับการรับไม้ต่ออย่างทันท่วงที ( ทั้งของเบิร์ดและของน้องซูซาน ) และความตั้งใจ Tag ที่หนักแน่น แม่นยำ อบอุ่น จริงจังนะคะ..ขอบพระคุณมากๆค่ะ 

 

 

สวัสดีครับคุณบางทราย

เมื่อเข้า ระหว่างที่คุณหมอบุญรุ่งหรือโยคีน้อยแวะไปสนทนาทาง msn ก็บอกว่ามีคน tag (คิด)ไม่ถึง เปิดอ่านแล้วครับแต่มีงานเข้ามาเลยยังไม่ได้ตอบครับ

ขอบคุณครับที่ tag (คิด)ไม่ถึงและใช้คำว่า นักการทูตที่น่าทึ่ง

ผมคิดว่าคำว่าน่าทึ่งนั้น ความจริงแล้วใช้ได้กับชีวิตมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าอาชีพอะไร ก็น่าทึ่งไปหมด ผมเองเคยสนใจคนตั้งแต่ภารโรง คนกวาดถนน กรรมกร หากมีโอกาสก็มักจะคุยเรื่องราวชีวิตของเขาเหล่านั้น แล้วก็พบว่าชีวิตของคนเหล่านั้นที่คนในระเดียวกับผมไม่สนใจนั้น น่าทึ่งมาก มากกว่าชีวิตของผมซะอีก

ผมเป็นรุ่นก่อนพิษณุครับ

ผมไปอยู่ มช.ได้เทอมเดียว รุ่นที่กระดูกสังคีตเข้าไปน่ะครับ ผมอยู่คณะมนุษย์(เอกภาษาอังกฤษ)และอยู่หอ 2

อยู่เทอมเดียวก็ไปเรียนต่อที่เบลเยียมและฝรั่งเศสและจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปเชียงใหม่อีกเลย

เรื่องปฏิบัติธรรมนั้นผมทำมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ (เป็นเรื่องที่เล่าได้ยาว) ทำเองโดยไม่มีใครแนะนำ (ทำตามหนังสือ) จากนั้นก็โลดแล่นไปอย่างสนุกสนานทางจิต ติดฤทธิ์เดช จนมาพบวิปัสสนาสอนโดยคุณแม่สิริ กรินชัย จึงหยุดไปทางสมถะมาเรียนรู้ทางฝึกสติอย่างเดียว จนอยู่ในทีมวิทยากรคุณแม่สิริช่วงหนึ่ง

เรื่องคำโยคีนั้น มาจากคุณแม่สิริครับ โยคีท่านแปลว่าผู้เพ่งเพียรเผากิเลส ใครที่เพ่งเพียรเผากิเลส ก็อยู่ในฐานะโยคีได้

เรื่องความสนใจในประวัติศาสตร์ เพราะคนเบลเยียมมีบทบาทจริงๆ ในสมัยนั้น และตลาดหนังสือเก่าในเบลเยียมหรือในยุโรปก็เปิดโอกาสให้ค้นหาจริงๆ

ยิ่งค้นพบก็ยิ่งภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของสยามในสมัยนั้น

จึงเป็นที่มาของข้อเขียนต่างๆ ที่ยังมีข้อมูลดิบที่ต้องหาเวลาเขียนขึ้นมาอีก

ผมเองก็พยายามทำวัน เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดครับ

แค่นี้ก่อนนะครับ

ขอบคุณครับ

 

 

 

มาต่อครับ......

คุณบางทรายและคุณเบิร์ด

ขอบคุณที่แสดงไมตรีจิตคิด(ไม่)ถึง

ผมตระหนักว่าคนเรา ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพใด ไม่ว่าจะมีความสัมพันธ์ใดกับเรา ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู ล้วนต่างมีธรรมะในใจทั้งนั้นและก็มีชีวิตที่น่าทึ่งทั้งนั้น

ว่าไปแล้ว ไม่ว่าคนฝ่ายใด ก็เป็นส่วนประกอบหนึ่งของธรรมะด้วยกัน

รวมทั้งดี เลว แพ้ ชนะ ฯลฯ

การต่อสู้ในจิต ของตนจึงมีความสำคัญที่สุดที่จะกำหนดเส้นทางข้างหน้าในอนาคตกาล

การเรียนรู้จากชีวิตจริงเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ไม่ว่าดีหรือเลว ต้องเรียนรู้จากสิ่งนั้นให้ได้ เพื่อที่จะก้าวผ่านไป ยังที่สูงขึ้นเรื่อยๆ

ขอบคุณสำหรับคำที่ว่า มีคุณค่ามากมาย ซึ่งก็เช่นเดียวกับคุณค่าของทุกคนที่อยู่ใน G2K นี้ และทุกคนบนโลกนี้

"ถ้าพรุ่งนี้ต้องตาย" ทำให้ต้องรีบทำความดีในวันนี้ที่ยังมีชีวิตอยู่ครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

ตามมาอ่านและยกมือสนับสนุนคุณเบิร์ดด้วยล่ะค่ะ

 

มายกมือเห็นด้วยอีกคนค่ะ ^ ^

ยิ่งค้นพบก็ยิ่งภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของสยามในสมัยนั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่น่าอ่าน น่าชม อย่างที่เล่าไว้ในบันทึกค่ะ แต่คนไทย เราเองไม่ค่อยสนใจ เรื่องของเราเอง

ได้มีโอกาสสนทนาทางบันทึกกับท่านพลเดช ก็นิยมและนับถือท่านมากด้วยเช่นกันค่ะ

สวัสดีครับ P  1. เบิร์ด

เข้ามายกมือเห็นด้วยค่ะ ว่าท่านพลเดชนั้นท่านน่าทึ่งจริงๆ ท่านเคยกล่าวถึงตัวท่านเองว่าดูจะเป็นนักการทูตท่านเดียวที่ศึกษาธรรมแบบจริงจัง..และที่น่าเคารพและน่าทึ่งที่สุดในความคิดเบิร์ดคือท่านสอนคุณพ่อของท่าน ( คุณพ่อสกล วรฉัตร ) ให้เป็นบล็อกเกอร์ในวัย 80 ปี !

น้องเบิร์ดครับ พี่ยืนยันว่าความทึ่งของท่านนั้นเด่นมากๆก็เรื่องการปฏิบัติธรรม  หายากจริงๆที่ท่านผู้มีหน้าที่การงานสูงจะมีกิจวัตรในทางธรรม  หายากจริงๆ ส่วนใหญ่จะเพลินกับตำแหน่งหน้าที่การงาน และเพลินไปกับผู้คนรอบข้างที่ใกล้และไกลมาแวดล้อมท่าน  แต่นักการทูตท่านนี้มีธรรมในหัวใจอย่างเป็นวิถี ผมจึงเชื่อว่าท่าน low profile (ผมเห็นรูปท่านที่อำนาจเจริญ) แบบปกติเพราะธรรมเป็นแนวทาง ซึ่งยากนักที่จะมีผู้มีตำแหน่งหน้าที่การงานชั้นสูงจะเป็นอย่างท่าน

ยิ่งท่านสนับสนุนให้คุณพ่อที่มีอายุมากแล้วมาเขียน blog ผมว่าน่ารักอีกต่างหาก ผู้หลักผู้ใหญ่ ผู้มีประสบการณ์อายุมากขนาดนั้นจะได้ใช้ประสบการณ์ชีวิตท่านบอกกล่าวกับสาธารณชนทั่วไปให้เห็น ให้เข้าใจในสิ่งที่เหมาะที่ควร  

นักการทูตเขียนบล็อก !  นักการทูตผู้ศึกษาธรรมอย่างจริงจัง ! นักการทูตผู้สมกับความภาคภูมิใจในฐานะตัวแทนชาติ ! ท่านน่ารักนักเนาะคะพี่บางทราย ^ ^

ความจริงเราอยากเห็นนักการทหาร นักการเมือง นักฯลฯ...ทั้งหลายมาเขียน blog เพื่อแชร์ทัศนคติท่านเหล่านั้นต่อสาธารณะมรเรื่องราวต่างๆ  เวทีนี้ก็จะเป็นการบูรณาการความคิด ทัศนคติ อีกรูปแบบหนึ่ง  ยิ่งนักการทูตเขียน blog ก็ยิ่งน่าสนใจเพราะมุมมองของท่านจะเป็นมุมมองที่กว้างและรักษาผลประโยชน์ชาติเป็นหลัก เราจึงควรน้อมนำความคิดของท่านมาพิจารณาครับ น้องเบิร์ด

สวัสดีครับ ท่านนักการทูต P 2. พลเดช วรฉัตร


ผมคิดว่าคำว่าน่าทึ่งนั้น ความจริงแล้วใช้ได้กับชีวิตมนุษย์ทุกคน ไม่ว่าอาชีพอะไร ก็น่าทึ่งไปหมด ผมเองเคยสนใจคนตั้งแต่ภารโรง คนกวาดถนน กรรมกร หากมีโอกาสก็มักจะคุยเรื่องราวชีวิตของเขาเหล่านั้น แล้วก็พบว่าชีวิตของคนเหล่านั้นที่คนในระเดียวกับผมไม่สนใจนั้น น่าทึ่งมาก มากกว่าชีวิตของผมซะอีก

อดีตครั้งหนึ่งผมทึ่งกับท่านอธิบดีกรมการพัฒนาชุมชนท่านหนึ่ง ท่านวางตัวเหมือนพี่ชาย นั่งกินก๊วยเตี๋ยวกับผมและพนักงานขับรถ ท่านให้ความกรุณาไปส่งผมที่บ้านญาติในหมู่บ้านเสนานิคม บางเขน ท่านเอาหัวใจผมไปหมดเลย เพราะท่านทำตัวเช่นนั้นในฐานะที่ท่านเป็นผู้ใหญ่อธิบดีฯ.... 

เช่นเดียวกันครับหากท่านพลเดชประพฤติวิถีปฏิบัติเช่นที่กล่าว ท่านก็เอาหัวใจของทุกคนไปหมดแล้ว... เลื่อมใส เลื่อมใสครับ

ผมเป็นรุ่นก่อนพิษณุครับ

ผมไปอยู่ มช.ได้เทอมเดียว รุ่นที่กระดูกสังคีตเข้าไปน่ะครับ ผมอยู่คณะมนุษย์(เอกภาษาอังกฤษ)และอยู่หอ 2

อยู่เทอมเดียวก็ไปเรียนต่อที่เบลเยียมและฝรั่งเศสและจนบัดนี้ก็ยังไม่ได้กลับไปเชียงใหม่อีกเลย

หากท่านพลเดชเป็นรุ่นเดียวกับกระดูกสังคีต (นายชีรชัย มฤคพิทักษ์) ผมเป็นรุ่นพี่สัก ปีสองปีครับ ผมระหัส 12... ครับ คุณชีรชัย ทำงานกับผม ในสมัยนั้น เขาอยู่หน้าเวที ผมอยู่หลังเวทีครับ อิอิ.. ตระกูลนี้เป็นนักพูด คุณชีรชัยก็พูดเก่งมาก ยินดีที่รู้จักลูกช้างครับ 

เรื่องปฏิบัติธรรมนั้นผมทำมาตั้งแต่เด็กแล้วครับ (เป็นเรื่องที่เล่าได้ยาว) ทำเองโดยไม่มีใครแนะนำ (ทำตามหนังสือ) จากนั้นก็โลดแล่นไปอย่างสนุกสนานทางจิต ติดฤทธิ์เดช จนมาพบวิปัสสนาสอนโดยคุณแม่สิริ กรินชัย จึงหยุดไปทางสมถะมาเรียนรู้ทางฝึกสติอย่างเดียว จนอยู่ในทีมวิทยากรคุณแม่สิริช่วงหนึ่ง

ผมก็คือคนธรรมดาทั่วไปที่กินเหล้า สูบบุหรี่ เที่ยวฟังเพลงกลางคืนจนตีหนึ่งตีสอง แม้ยันสว่าง  วันหนึ่ง สมัยผมทำงานโครงการกับ EU ตกเย็นก็ชวนกินเบียร์กับน้องๆ เมื่อกินก็เพลิน...ลืมขับรถไปรับศรีภรรยา.. เมื่อนึกขึ้นได้ก็รีบขับรถไปรับ.. เท่านั้นเองผมก็รู้สึกมีสติขึ้นมา วันรุ่งขึ้นผมประกาศเลิกทุกอย่างทันทีและสวิงกลับมาทางธรรม ผมเข้าปฏิบัติธรรมกับท่านอาจารย์ Supreme Master  Ching Hai ทานเจมาตลอด นั่งสมาธิกลุ่มทุกวันอาทิตย์ ออกไปช่วยเหลือสังคมกับกลุ่ม ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน แต่เงื่อนไขชีวิตปรับเปลี่ยนไป จึงลดความเข้มลงมาบ้างครับ  

จากการติดตามท่านพลเดชในด้านธรรม ผมเข้าใจว่าท่านคือพระที่ไม่ได้ห่มผ้าเหลืองเท่านั้นเองครับ สาธุ..

เรื่องคำโยคีนั้น มาจากคุณแม่สิริครับ โยคีท่านแปลว่าผู้เพ่งเพียรเผากิเลส ใครที่เพ่งเพียรเผากิเลส ก็อยู่ในฐานะโยคีได้

ผมเข้าใจเรื่องโยคีแล้วครับ  ขอบคุณครับ

เรื่องความสนใจในประวัติศาสตร์ เพราะคนเบลเยียมมีบทบาทจริงๆ ในสมัยนั้น และตลาดหนังสือเก่าในเบลเยียมหรือในยุโรปก็เปิดโอกาสให้ค้นหาจริงๆ

ยิ่งค้นพบก็ยิ่งภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของสยามในสมัยนั้น

จึงเป็นที่มาของข้อเขียนต่างๆ ที่ยังมีข้อมูลดิบที่ต้องหาเวลาเขียนขึ้นมาอีก

ดีมากๆเลยครับ  ผมคิดในใจว่าหากท่านพลเดชไม่ทำตรงนั้นคงยากที่คนอื่นจะทำ และหากมีใครทำก็คงไม่ดีเท่าท่านพลเดชทำ  นับได้ว่าท่านได้ช่วยให้คนไทยมีข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์มากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องวิเศษสุดที่ท่านสร้างประโยชน์ตนและประโยชน์ท่าน ประโยชน์สังคม ประเทศชาติ..

ผมเองก็พยายามทำวัน เวลาที่เหลืออยู่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุดครับ

สาธุ..ครับท่านพลเดช..

สวัสดีครับน้อง P  5. คุณนายดอกเตอร์

ตามมาอ่านและยกมือสนับสนุนคุณเบิร์ดด้วยล่ะค่ะ

 

ท่านพลเดชคงเป็นรุ่นพี่ มช. ของน้องนุช หลายรุ่นนะครับ

สวัสดีครับ อาจารย์ P  6. กมลวัลย์

 

มายกมือเห็นด้วยอีกคนค่ะ ^ ^
ท่านพลเดช ถือว่าเป็นเพื่อนปฏิบัติธรรมกับอาจารย์กมลวัลย์อีกท่านหนึ่งนะครับ  เป็นตัวจริงเลยหละ ผมยังห่างไกลมากนัก...
แต่ยังดีที่อยู่ในกระแสอยู่ ต้องเร่งปฏิบัติมากขึ้นแล้วหละครับ 
ขอบคุณครับอาจารย์
สวัสดีครับท่านพี่ใหญ่ P 7. Sasinanda


ยิ่งค้นพบก็ยิ่งภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของสยามในสมัยนั้น

เรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ที่น่าอ่าน น่าชม อย่างที่เล่าไว้ในบันทึกค่ะ แต่คนไทย เราเองไม่ค่อยสนใจ เรื่องของเราเอง

ได้มีโอกาสสนทนาทางบันทึกกับท่านพลเดช ก็นิยมและนับถือท่านมากด้วยเช่นกันค่ะ

ขอบคุณครับท่านพี่ใหญ่ที่มาสนับสนุนความน่านับถือของท่านพลเดช วรฉัตร หายากนะครับสำหรับนักการทูตจะเดินเส้นทางเช่นนี้  ถือว่าเป็นแบบอย่างที่ดีของคนคนหนึ่งที่มีหน้าที่การงานสูงสามารถทำวิถีปฏิบัติที่งดงามยิ่งนัก

ขอบคุณท่านพี่ใหญ่ครับ

มายกมือเหมือนท่านข้างบนค่ะ

หนิงเองก็ทึ่งและประทับใจท่านฑูตพลเดชมากค่ะ  ในทุกข้อที่เหมือนกับน้องเบิร์ดและขอเพิ่มอีกคือ  อารมณ์ศิลป์ในตัวท่านค่ะ  จนมีหนังสือหนึ่งคนวาด-หนึ่งคนแต่งไงคะ

ประทับใจจริงๆ

สวัสดีครับน้องหนิง  P  13. DSS "work with disability" ( หนิง )


มายกมือเหมือนท่านข้างบนค่ะ หนิงเองก็ทึ่งและประทับใจท่านฑูตพลเดชมากค่ะ  ในทุกข้อที่เหมือนกับน้องเบิร์ดและขอเพิ่มอีกคือ  อารมณ์ศิลป์ในตัวท่านค่ะ  จนมีหนังสือหนึ่งคนวาด-หนึ่งคนแต่งไงคะ  ประทับใจจริงๆ

เรื่องนี้พี่ทิ้งไว้ให้ใครออกมากล่าว  ในที่สุดน้องหนิงก็เข้ามา  อิอิ  เรื่องทักษะทางศิลป์นี่ก็เป็นเรื่องทึ่งมากๆอย่างน้องหนิงกล่าว พี่เคยเห็นภาพวาดของท่านอดีตนายกชวนหลีกภัย ท่านอาจารย์ ม.ร.ว. อคิน รพีพัฒน์ อดีต ผอ.สถาบันวิจัยและพัฒนา มข. ท่านวาดรูปด้วยดินสอ  สวยมากๆ 

และท่านพลเดชก็เป็นหนึ่งในจำนวนคนที่น้อยมากๆจะมีทักษะ อารมณ์ศิลป์แบบนี้   เรารู้ว่าศิลปินนั้นต้องเป็นผู้ที่มีสมาธิมากๆ  และมีจินตนาการสูง และมีทักษะในการสื่อ  เป็นผู้ที่มีทุนทางข้างในสูงมาก  แสดงออกมาทางรูปที่ท่าน

พี่ให้น้ำหนักพอกับท่านที่มีศิลป์ทางบทกลอน  ที่น้องรุ่งมีอยู่ ที่น้องเบิร์ดมีอยู่ และอีกหลายๆท่านใน g2k นี้มีอยู่ เห็นไหมว่าท่านทูตวาดรูป แต่น้องรุ่งรัลลูกมาใส่บทกลอนได้อย่างเหมาะเจาะจริงๆ..

เห็นมีหลายคนยกมือสนับสนุนในทางเดียวกัน ขอบคุณในไมตรีจิตนะครับ

ถ้าผมเป็นที่อยู่ในกลุ่มที่ไม่เห็นด้วย คงไม่ยกมือตามและคงมีอีกอารมณ์หนึ่ง

ซึ่งเป็นเรื่องปรกติครับ

และผมก็จะเป็นคนหนึ่งที่จะบอกว่า ยิ่งดูน่าทึ่งมากเพียงใด ก็ต้องระวังมากเพียงนั้น

อันตราชั่งนั้น มีเพียง 2 ข้างเท่านั้น

ข้างหนึ่งนั้นคือตรงข้ามกับอีกข้างหนึ่ง

ถ้าข้างหนึ่งเป็นบวก

ข้างหนึ่งก้ต้องเป็นลบ

ถ้าข้างหนึ่งเป็นขาว ข้างหนึ่งก็เป็นดำ

เป็นธรรมดา เป็นธรรมชาติของสิ่งในโลกนี้

ยิ่งเอียงไปข้างใด ก็ยิ่งจะมีแรงสะท้อนกลับในอีกด้านหนึ่งในแรงที่เท่ากัน

ผมเข้าใจดีครับ ว่าถ้าเรามองในด้านดี ก็จะเจอสิ่งดี

และถ้ามองในด้านไม่ดี ก็จะเจอสิ่งที่ไม่ดี

ก็ใช่อีกเช่นกัน เป็นธรรมดาของปุถุชน

การสร้างสมดุลย์ในใจเป็นเรื่องของธรรมชาติอีกเช่นกัน ถ้าเอียงไปทางหนึ่ง ก็จะต้องถูกแรงดีดกลับไปในทางตรงข้าง

บางครั้งจึงสงสารคนที่ทำบาป เพราะหลายครั้งเกิดจากการพยายามทำดีแต่ไม่ได้ดี จึงเสียศูนย์ เลยกลายเป็นทำบาป ตามแรงเหวี่ยงกลับ และตามแรงกรรมเก่า(ที่มักจะไม่รู้กัน)ทำให้ทำสิ่งที่เรียกว่าบาป

เพราะความไม่รู้ตัวเดียว

ทำให้ไม่รู้ว่า ตราชั่งนั้น ยังมีแกนตรงกลางเหลืออยู่ที่จะไม่เอียงไปเอียงมา เพราะอยู่ตรงกลางแกนทั้ง 2 ข้าง

ถ้าไม่รีบเขยิบเข้ามาให้ใกล้แกนกลาง ก็จะต้องเอียงไปเอียงมากับแรงต่างๆ ที่เข้ามากระทบ ......เราเห็นตัวอย่างของความเสื่อมโทรมทางศีลธรรมของคนในสังคม ที่มาจากเหตุนี้มากมาย ไม่เว้นแม้แต่ผู้เดินทางตรง

ผมจึงได้แต่บอกตัวเองว่า ถ้าผมเป็นคนอื่น ผมจะบอกว่ายิ่งน่าทึ่ง ยิ่งต้องระวัง :)

แม้พระพุทธองค์ยังทรงบอกว่า แม้ตถาคต ก็อย่าไปเชื่อ(กาลามสูตร)........

ดีใจที่ได้รู้จักลูกช้างนะครับ

แต่ถ้าสิ่งที่น่าทึ่งทั้งหลายนั้นไม่เกี่ยวกับผู้ใดเลย ผมก็รู้สึกทึ่งเหมือนกันครับ :)

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

 

สวัสดีค่ะพี่บางทราย

    น่าจะเป็นคนแรกนะที่ได้อ่านบันทึกพี่ พอดีกำลังสนทนากับพี่โยคีพลเดช เลยแจ้งให้ท่านทราบ จากนั้นก็แวะเวียนเข้ามาอ่านหลายรอบ เนื้อหาที่พีบางทรายเขียน และกัลยาณมิตรของท่าน อีกหลายคน ก็เข้ามาร่วมสนับสนุนสิ่งดีงามตามที่ปรากฎ ด้วยความนิยมชมชื่น พลอยปลื้มปิติไปกับท่าน และเบาใจที่ทุกถ้อยคำทั้งหลายได้ แทนใจและความรู้สึกของดิฉันไปมากแล้วด้วย

 จำได้ว่าวันแรกที่พบบันทึกของท่าน ที่อ่านสนุกโดยเฉพาะเรื่องแรกที่อ่านคือ เรื่องอินเดียวันละเรื่อง = ขับรถในเดลี ตื่นเต้นทุกวัน

ที่ต่อมา บันทึกนี้ ก็กลายเป็นที่สนทนาธรรม การสอนแนะนำการปฏิบัติธรรม ให้แก่โยคีน้อยมาจนถึงทุกวันนี้

 เป็นเหมือนวงโคจร ของแต่ละคน เข้ามาบรรจบ พบกันพอดีแก่เวลา ได้เรียนรู้ ได้สร้างบุญบารมีกับท่านหลายอย่าง รวมทั้งเรื่องที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต คือการตัดสินใจ เดินทางไป เป็นอาสาสมัครที่ประเทศอินเดีย ในเร็วนี้ด้วย

  ที่เป็นโยคีน้อยก็ถูกแล้ว เพราะอินทรีย์ยังไม่แก่กล้า ได้อาศัยท่านแนะนำให้อย่างสม่ำเสมอ ทำให้รู้ว่าหลายๆอย่างที่เราจะได้มา ต้องใช้ความอดทนกล้าหาญเสมอ

   มีสิ่งหนึ่งที่อยากจะบอกว่า คิด(ไม่)ถึง กับท่านพลเดช ก็คือ ทำไมท่านวาดภาพ เป็นเรื่องราว ชัดเจนได้อย่างไร ดิฉันไม่ใช่คนเก่งเลย แต่ภาพของท่าน เหมือนมีเสียงเล่าเรื่องอยู่ในนั้น ดิฉันก็เพียงแต่เขียนตามที่ได้รู้ ได้เห็น เท่านั้นเองค่ะ

  ทึ่งเสียยิ่งกว่าทึ่ง บุญบันดาล ให้มาต่อบุญกันในG2K ของพวกเรานี้ 

ขอบคุณพี่บางทราย ที่ช่วยกันนำเสนอบุคคลที่ควรแก่การยกย่อง เป็นแบบอย่าง ให้ได้รู้จักทั่วกัน ขอกราบอนุโทนาบุญค่ะ

 

 

ท่าน P 15. พลเดช วรฉัตร 


ดูเหมือนว่าทุกลมหายใจของนักการทูตท่านนี้จะอยู่ในอารมณ์ธรรมตลอด ซึ่งเป็นสิ่งประเสริฐโดยแท้

ผมนึกถึงการเข้าสมาธิและอารมณ์อยู่ในภวังค์แห่งการคุมจิตให้นิ่ง เสมือนน้ำที่นิ่ง นิ่ง แม้แต่แมลงเดินมาบนผิวน้ำก็ไม่สะเทือนแต่น้อย

การรักษาอารมณ์ให้อยู่แกนกลางย่อมเป็นสิ่งที่ยากยิ่งนัก แต่ไม่ยากสำหรับผู้แสวงหาความหลุดพ้น เพราะนั่นคือเป้าหมายแต่ไม่ยึดติด

โดยทั่วไปเมื่อแกนซีกขวาหรือซ้ายโดนลมกิเลสพัดมาเพียงวูบเดียวก็เอียงกะเท่เร่แล้ว  แกนซีกซ้ายเมื่อได้รับคำสรรเสริญก็อิ่มเอิบ ลิงโลด ยิ่งทยานอยากมากขึ้นไปอีกเพื่อต้องการเสพความอิ่มนั้นมากขึ้น

นี่เป็นปุถุชนที่มีจำนวนมากขึ้น และมากสุดๆในโลกบริโภคนิยม

ผมเป็นเพียงผู้เดินทางเช่นกัน แต่ยังดีที่เมื่อสติวูบวาบไปข้างใดๆแล้ว ก็ยังมีตัวเตือนอยู่เสมอ จิตยังไม่แก่กล้าดุจผาทิน แต่ก็ไม่ปลิวตะเลิดดังปุยนุ่น

หากคำกล่าวใดๆทำให้ท่านนักการทูตไม่สงบก็ขออภัยด้วย เพราะมิได้มีเจตนาอื่นใดนอกจากจะกล่าวอย่างปุถุชนคนเดินดินที่เห็นและรู้สึกนึกคิดอย่างนั้น

ชอบแกนกลางมากครับ..

น้องรุ่งครับ อ้อมิใช่..โยคีน้อย..ครับ

บ้านที่พี่พักนั้นเขาเรียกว่าบ้านมิตรสัมพันธ์ แต่สิ่งที่ผู้ปฏิบัติธรรมมาพบกันนั้น มันมิใช่มิตรสัมพันธ์ แต่เป็น "บุญสัมพันธ์"

มันมาลงตัวก็เมื่อต่างแสดงอารมณ์ธรรมออกไปให้แก่กันแล้ว มันต่อกันติดพอดี  และเวลาต่อมาเกิดธรรมขยายและกระชับแก่กันมากขึ้น ก็เป็นบุญสัมพันธ์แห่งกัลยานิมิตร

เมื่อท่านหนึ่งมั่นคงในธรรมและเผื่อแผ่ธรรมสัจจะออกไป สัตว์โลกทั้งน้อยใหญ่ก็รับส่วนผลนั้นด้วย ดุจเศรษฐีผู้ร่ำรวยบริวานย่านเครือย่อมอิ่มหมีพีมันไปด้วย..สาธุน้องรุ่งที่มีเจตนาอันยิ่งใหญ่ในบุญทั้งหลาย

สวัสดีครับพี่ระหัส 12...

อินเดียยังไม่เที่ยงคืนเลยครับ

เราเดินทางเดียวกันครับ เห็นกันในทางโลก G2K และทางธรรมนะครับ เดินดินด้วยกัน

เป็นการเตือนตัวเองมากกว่านะครับ ไม่มีอะไรต้องขออภัยเลย

เพราะมีเหตุ ก็ต้องเป็นไป เข้าใจดีครับและขอบคุณในไมตรีจิตนี้

หลวงปู่บุญญฤทธิ์บอกว่า สักแต่นี้สำคัญนักครับ

ดีก็สักแต่ดี ไม่ดีก็สักแต่ไม่ดี

ดังนั้นสติที่ว่องไวจึงช่วยให้รู้ตัวไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของตราชั่งครับ

เจริญสุขนะครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

 

 

 

ปลื้มจริงๆ ที่เลือก tag พี่บางทราย ส่งต่อไม้ได้อย่างคุ้มค่ามาก หนูก็ชอบอ่านบล็อกของท่านฑูต มีเรื่องราวน่าสนใจที่เราไม่รู้มาก่อนเยอะแยะ แต่ที่ชอบที่สุดคือภาพที่ท่านวาดค่ะ ใครไม่เคยเห็นต้องตามไปดู ชอบจริงๆ คนวาดรูปนี่ ยิ่งถ้าไม่ได้เรียนมาเฉพาะแล้วล่ะก็ ต้องมีใจรักอย่างแรง แอบเอามาให้ดูเป็นตัวอย่างรูปหนึ่ง รูปนี้ชอบที่สุด ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ http://www.polpage.com/digipaint.htm 



Caption: อุ้มทุกวัน เห็นทุกวัน เลยวาดออกมาจากใจ เป็นการวาดก่อนจากไปบวช 8 วันที่วัดไทยพุทธคยา ดูกันสบายๆ นะครับ
ด้วยความปรารถนาดี

สวัสดีครับพี่บางทราย

        เห็นด้วยมากๆ เลยครับผม น่าชื่นชม ศรัทธา น่านับถือยิ่งนักครับ ผมไปตามอ่านอยู่เหมือนกันครับ และมีการ์ตูนที่ท่านได้วาดไว้่่น่าประทับใจครับ เหมาะที่จะถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ได้เข้าใจในแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียงครับ

ขอบคุณพี่มากๆ นะครับ 

สวัสดีครับ ท่านพลเดช

เพราะมีเหตุ ก็ต้องเป็นไป เข้าใจดีครับและขอบคุณในไมตรีจิตนี้

หลวงปู่บุญญฤทธิ์บอกว่า สักแต่นี้สำคัญนักครับ

ดีก็สักแต่ดี ไม่ดีก็สักแต่ไม่ดี

ดังนั้นสติที่ว่องไวจึงช่วยให้รู้ตัวไม่ว่าจะอยู่ตรงไหนของตราชั่งครับ

เราเบื่อหน่ายกับสังคมที่ผู้คนมุ่งหน้าจะแสดงความเป็นที่หนึ่ง แสดงความมากกว่า เหนือกว่า รวยกว่า เก่งกว่า ฯลฯ 

แต่ท่านพลเดชแสดงการเตือนสติคนด้วยธรรม ที่สอดแทรกในบทบันทึก เหมือนกับการแสดงตนเป็นนายท้ายเรือที่คัดหางเสือให้แล่นไปในทางที่ควรที่เหมาะสม สังคมเราไม่ต้องการคนเก่งแต่โกง เราไม่ต้องการคนรวยที่เอาเปรียบสังคม และเราไม่ต้องการคนที่พูดเก่งแต่ไม่เคยปฏิบัติในสิ่งที่พูดเลย

สวัสดีครับ P  20. Little Jazz \(^o^)/

ปลื้มจริงๆ ที่เลือก tag พี่บางทราย ส่งต่อไม้ได้อย่างคุ้มค่ามาก หนูก็ชอบอ่านบล็อกของท่านฑูต มีเรื่องราวน่าสนใจที่เราไม่รู้มาก่อนเยอะแยะ แต่ที่ชอบที่สุดคือภาพที่ท่านวาดค่ะ ใครไม่เคยเห็นต้องตามไปดู ชอบจริงๆ คนวาดรูปนี่ ยิ่งถ้าไม่ได้เรียนมาเฉพาะแล้วล่ะก็ ต้องมีใจรักอย่างแรง แอบเอามาให้ดูเป็นตัวอย่างรูปหนึ่ง รูปนี้ชอบที่สุด ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่ค่ะ http://www.polpage.com/digipaint.htm 
การทำอะไร อย่างไรก็ตามที่ทำให้จิตนิ่งอยู่ในสิ่งหนึ่งสิ่งใด ไม่ฟุ้งซ่าน ไหลรื่นไปกับสิ่งรอบข้าง นั่นคือการฝึกสมาธิ การวาดรูปเป็นการปฏิบัติเช่นนั้น แถมการวาดรูปยังใส่จิตวิญญาณลงไปอีก สมาธิจึงสูงมากๆ เวลาวาดรูปจึงต้องการสภาวะเฉพาะ  คนอื่นๆที่วาดรูปไม่เป็นก็สามารถทำได้ ก็ทำงานที่ตนเองชอบที่สุดแหละ   ครับน้องซูซาน

น้องเม้ง

P

        เห็นด้วยมากๆ เลยครับผม น่าชื่นชม ศรัทธา น่านับถือยิ่งนักครับ ผมไปตามอ่านอยู่เหมือนกันครับ และมีการ์ตูนที่ท่านได้วาดไว้่่น่าประทับใจครับ เหมาะที่จะถ่ายทอดให้กับเด็กๆ ได้เข้าใจในแนวทาง เศรษฐกิจพอเพียงครับ

 

นี่คือคุณูปการของ g2k ที่ทำให้เราได้รู้จักบุคคลต่างๆมากมาย ล้วนมีคุณค่าต่อสังคมไทยเรา ยิ่งท่านนั้นๆมีบทบาทในสังคมก็ยิ่งทำให้เรามีตัวแบบที่ดี ที่สามารถบ่งชี้ให้เพื่อนฝูง และคนรู้จักได้ศึกษา สังคมที่ดำดิ่งสู่การแข่งขันนั้น หากเรามีตัวแบบที่มั่นคงทางจิตวิญญาณได้ ก็ย่อมอบอุ่นใจ ไม่สิ้นหวังครับ น้องเม้งครับ

คุณบางทรายครับ

เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ

ความจริงเราอยากเห็นนักการทหาร นักการเมือง นักฯลฯ...ทั้งหลายมาเขียน blog เพื่อแชร์ทัศนคติท่านเหล่านั้นต่อสาธารณะมรเรื่องราวต่างๆ  เวทีนี้ก็จะเป็นการบูรณาการความคิด ทัศนคติ อีกรูปแบบหนึ่ง 

และที่ว่า

นี่คือคุณูปการของ g2k ที่ทำให้เราได้รู้จักบุคคลต่างๆมากมาย ล้วนมีคุณค่าต่อสังคมไทยเรา

ขอยกมือให้ G2K สองมือเลยครับ

ได้บอกโยคีน้อยว่า ก่อนเดินทางไปอินเดีย ขอให้เชิญท่านเอกชัยทำพิธีมอบเงินจากหนังสือบุญให้ผู้แทน G2K ตามที่ตั้งใจเอาไว้ และนำภาพมาให้ชาว G2K ได้อนุโมทนาบุญด้วย

ผมเคยฝันอยากจะให้มีห้องสนทนาแบบนี้กับข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศ บางที G2K อาจจะเป้นต้นแบบได้ครับ

ด้วยความปรารถนาดี

 

สวัสดีค่ะพี่บางทราย

มีคนคิดถึงค่ะ   และรบกวนพี่บางทรายใส่คำว่า tag คิด(ไม่)ถึง เพิ่มอีกคำนะคะท่านพี่ เพราะบันทึกที่เยี่ยมบันทึกนี้ได้ไหลปรู๊ดไปรวมกับบันทึก tag คิด(ไม่)ถึง อื่นๆค่ะ


 ขอบคุณค่า    ^ ^

สวัสดีครับน้องสาว เบิร์ด

ขอบคุณครับ รับทราบครับ แก้ไขแล้วครับ อิอิ..

มาเคาะบ้านแต่เช้าเลย นะน้องสาว

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท