ผมเป็นทึ่งกับ web ของท่านที่เขียนบทความไว้มากมาย รวมทั้งเรื่องราวอันสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ไทยที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศในฐานะที่ท่านเป็นนักการทูต จึงใช้โอกาสนั้นสร้างคุณประโยชน์ให้กับวงการประวัติศาสตร์ไทย
ช่วงที่ผมเริ่มทำงานที่ดงหลวง มุกดาหาร มีชมรมนักศึกษาเก่า มช.ที่นั่น ก็ไปกินข้าวประชุมกันตามโอกาส ทำให้ได้รู้จักรุ่นน้องคนหนึ่งเป็นนักการทูตอยู่ที่แขวงสะหวันนะเขต ประเทศลาว เนื่องจากอยู่ตรงข้ามกับมุกดาการนักการทูตท่านนี้ก็ข้ามมาราชการในเมืองไทยบ่อยและถือโอกาสพบปะพี่น้อง มช.ที่นั่น นักการทูตท่านนี้ พูดเก่ง ร้องเพลงเก่ง และ เขียนหนังสือเก่ง ท่านชื่อพิษณุ จันทร์วิทัน หลังจากนั้นก็ย้ายไปเป็นกงสุลใหญ่ที่นิวยอร์ก และดูเหมือนจะมาเป็นเอกอัคราชทูตที่บลังกาเทศ และปัจจุบันเข้ามาเป็นอธิบดีอะไรสักอย่างที่กระทรวงการต่างประเทศ ผมมีหนังสือของท่านอยู่หลายเล่ม และหยิบเอามาอ่านอยู่บ่อยๆ ในเล่มที่ชื่อ “เสน่ห์ภาษาลาว” เพราะต้องทำงานเกี่ยวข้องกับประเทศลาวจึงอยากจะเข้าใจลาว และความสัมพันธ์ไทยลาวให้มากที่สุดทั้งปัจจุบันและอดีต
จากการที่ได้ไปหลวงพระบาง ไชยบุรี และเมืองนาน มาสองครั้ง เก็บข้อมูลและประเด็นมาเขียนหลายตอน ก็ยังมีการค้นคว้าหาความรู้ใส่ตัวอยู่ต่อเนื่อง โดยเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ ไทย-ลาว เป็นการรื้อฟื้นความรู้เรื่องนี้กันอีกครั้งหลังจากที่ “แช่แข็ง” มานาน (สำนวนท่าน..ศน.ศิลป์ชัย..) ประเด็นที่ผมติดใจคือเรื่องการเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และอิทธิพลของฝรั่งเศสในภูมิภาคนี้ในสมัยโบราณรวมทั้งตัวบุคคลที่เข้ามาเกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็น นาย James McCarthy หรือพระวิภาคภูวดล ผู้ที่รัชกาลที่ 5 จ้างมาทำแผนที่ประเทศสยามและรัฐที่อยู่ในการปกครอง นาย Henri Mouhot ชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาสำรวจดินแดนลุ่มน้ำโขงและเขียนหนังสือจนนครวัด นครธมโด่งดังไปทั่วโลกตั้งแต่โบราณกาลแต่ตัวเองก็จบชีวิตที่หลวงพระบาง นาย Dudart de Lagree นายทหารเรือผู้มีบทบาททำให้กษัตริย์เขมร ณ เมืองอุดงลงนามให้เขมรอยู่ในอารักขา แต่มาเสียชีวิตที่เขตติดต่อเมืองจีน นาย Francis Garnier นายทหารหนุ่มผู้คลั่งแม่โขงตัวจริง นายคนนี้มาเสียชีวิตที่ฮานอยด้วยฝีมือผู้รักชาติชาวเวียตนาม นาย Auguste Pavie ผู้เป็น Viee Consul ฝรั่งเศสประจำหลวงพระบาง และเข้ามาเป็นViee Consul ฝรั่งเศสประจำกรุงเทพฯ และเริ่มกระบวนการต่างๆเพี่อหาทางให้ฝรั่งเศสเข้ามายึดประเทศไทยเป็นอาณานิคม แต่พระอัจฉริยภาพและพระบารมีของกษัตริย์ไทยเราจึงรอดตัวไปเพียงเสียดินแดนบางส่วนไปเท่านั้น..
ห้องทำงานบ้านผมคือห้องสมุดเล็กๆส่วนตัว ผมตั้งชื่อว่า “ละลิตาไลบรารี่” เมื่อปี 2538 เป็นคนชอบหนังสือ ทั้งได้จากการทำงานและซื้อหามา อ่านหมดบ้างไม่หมดบ้าง แต่ก็เข้าตู้เก็บ มีมากจนจ้างน้องๆนักศึกษามาจัดระบบ “ดิวอี้” ให้ แต่ก็มีเรื่องให้ย้ายจากมุมหน้าบ้านไปอยู่หลังบ้าน ระบบเลยมั่ว หนังสือเอกสารก็มากขึ้นเรื่อยๆจนล้นห้อง อิอิ.. สัปดาห์ที่ผ่านมามีเวลานั่งในห้องทำงานที่บ้านแบบสบายๆจึงขยับจัดห้องซะเลย
ระหว่างจัดนั้นมีวารสาร “ศิลปวัฒนธรรม” ที่ผมเป็นแฟนประจำอยู่ แต่เล่มเก่าที่ผมหยิบขึ้นมานี่เป็นเดือนกรกฎาคม 2545 ก็ 6 ปีแล้ว มีบทความเกี่ยวกับประเทศลาวที่ผมกำลังมีส่วนเกี่ยวข้องอยู่บ้างจึงหยิบมาพลิกดูสารบัญ ทำให้พบบทความของท่านพลเดช วรฉัตร Blogger g2k ของเราเข้าให้ ท่านเขียนเรื่อง ...ย้อนอดีตสยามกับทายาท “นายยอดตรัง” (Emile Jottrand) ที่ปรึกษากฎหมายชาวเบลเยี่ยมในสมัยรัชกาลที่ 5 ….. ซึ่งต่อเนื่องจากที่ท่านเขียนเป็นปกติอยู่ใน http://www.polpage.com ผมมีโอกาสติดตามงานของท่านเกือบทุกบทความ ในบทความนายยอดตรังนั้น ตอนหนึ่งเกี่ยวข้องกับสาระที่ผมติดตามก็คือ .....
----------------------------------
….คณะที่ปรึกษาต่างชาติที่โดดเด่นที่สุดคณะหนึ่งในประวัติศาสตร์สนามคือ คณะที่ปรึกษาชาวเบลเยี่ยมนำโดย นายกุสตาฟ โรแลง ยัคแมงส์ หรือเจ้าพระยาอภัยราชา ซึ่งเป็นบุคุลที่มีบทบาทและมีส่วนสำคัญคนหนึ่งที่ทำให้สยามรอดพ้นจากการคุกคามของฝรั่งเศสและอังกฤษ.....
จากประโยคนี้ผมเก็บเอามาคิดมากมายว่า ฝรั่งต่างชาติที่เข้ามาทำงานในตำแหน่งความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมากมายในอดีตนั้น มีทั้งมาช่วยพัฒนามาตรฐานบ้านเมืองเราให้ทัดเทียมต่างประเทศ อันเป็นความชาญฉลาดของพระมหากษัตริย์ไทยที่ทรงจ้างชาวต่างชาติมาทำงานในราชสำนักในเรื่องต่างๆ แต่ก็มีฝรั่งต่างชาติอีกจำนวนหนึ่งที่จ้องจะฮุบประเทศเพื่อให้เป็นเมืองขึ้นของเขา...
ผมคิดถึงปัจจุบันนี้มีฝรั่งเต็มบ้านเมือง เฉพาะมาเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและธุรกิจการค้า ก็มีจำนวนไม่น้อยที่หวังจะเอาเราเป็นเมืองขึ้นเขาในรูปแบบใหม่ๆ..เพียงแต่เราจะรู้เท่าทันเขาหรือไม่เท่านั้น..หรือคนของเราเองยืนหมูให้เขาเองอย่างเช่น... หรือมันแนบเนียนจนเราแยกไม่ออกว่านั่นคือเราตกเป็นเบี้ยล่างเขา..ก็มีการวิภาควิจารณ์กันบ่อยๆ..
--------------------------------
ผมทึ่งกับการที่ท่านถูกกระตุ้นโดยทีมงานหนังสือศิลปวัฒนธรรมคราวที่ไปตามรอยพระบาท...ซึ่งเป็นเรื่องราวทางประวัติสาสตร์ จนทำให้ท่านนักการทูตท่านนี้สนใจและชวนภรรยาท่านไปนั่งค้นหนังสือเก่าที่วางขายในเบลเยี่ยม วันแล้ววันเล่าจนพบเอกสารประวัติศาสตร์สำคัญเกี่ยวกับประเทศไทยเกี่ยวกับพระราชกรณียกิจพระมหากษัตริย์ไทยในต่างประเทศ จากกองหนังสือเก่านั้น...ท่านและภรรยาท่านดีใจแค่ไหนเราเดาได้ ผมเองและคนไทยเมื่อทราบข่าวนี้ก็ดีใจไม่แพ้ท่าน..นอกจากหนังสือเก่าแล้วยังมีเอกสารทางประวัติศาสตร์เก่าของประเทศไทยอีกมากมายที่ท่านพบในต่างประเทศ....(ติดตามได้ใน web ของท่าน)
เมื่อผมติดตามท่านพลเดช ก็ทราบว่าท่านเป็นศิษย์เก่า มช.ในระยะสั้นๆ(ไม่แน่ใจว่าท่านรุ่นก่อนผมหรือหลังผม..) และท่านรู้จักดีกับท่านพิษณุ จันทร์วิทัน เพราะเป็นนักการทูตเช่นเดียวกับท่าน
บทความมากมาย รวมทั้งเรื่องราวอันสำคัญยิ่งทางประวัติศาสตร์ไทยที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ในฐานะที่ท่านเป็นนักการทูต จึงใช้โอกาสนั้นสร้างคุณประโยชน์ให้กับวงการประวัติศาสตร์ไทย และการเรียนรู้อดีตของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศไทยกับนานาชาติ ผม Download บทความท่านและเข้าเล่มเอามาศึกษาและเก็บไว้เป็น collection ส่วนตัว
ท่านเขียนถึงตัวท่านเองว่า .....เป็นคนธนบุรี เกิดที่ รพ.ศิริราชริมแม่น้ำเจ้าพระยา ไม่ไกลจากท่าน้ำวัดระฆัง ช่วงอยู่ชั้น ป.6 ไปเรียนที่ปีนัง 1 ปี (เซนต์เซเวียร์) เรียนจบมัธยมที่โรงเรียนวัดราชาธิวาส เรียนเทอมแรกที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ก่อนไปเรียนต่อที่ประเทศเบลเยียมและประเทศฝรั่งเศส ที่เมืองตูลูซ จบการศึกษาปริญญาเอก(รัฐศาสตร์)จากมหาวิทยาลัยเมืองตูลูซ ประเทศฝรั่งเศส สนใจปฏิบัติธรรม(สมถะ/วิปัสสนา)มาตั้งแต่เด็ก เป็นลูกศิษย์หลวงปู่วัดระฆัง ครูบาชัยยะวงศาพัฒนา(วัดพระบาทห้วยต้ม)คุณแม่สิริ กรินชัยและปฏิบัติตามแนวของหลวงพ่อจรัญแห่งวัดอัมพวัน เคยเป็นกรรมการยุวพุทธิกสมาคม/วิทยากรสอบอารมณ์ ฯลฯ
ท่านจะใช้สรรพนามแทนตัวเองว่า โยคี และให้สรรพนามคนที่ท่านกล่าวถึงว่า โยคี บ่อยๆ ผมไม่ทราบเหตผลที่ชัดเจนว่าเพราะอะไร แต่บ่งบอกถึงเป็นคนที่มีธรรมอยู่ในจิตใจอย่างสูง รวมทั้งบุคลที่ท่านกล่าวถึงนั้นด้วย
ผมคิด(ไม่)ถึงว่านักการทูตท่านนี้จะสนใจธรรมและปฏิบัติขั้นสูง และสนใจการล่าประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับประเทศชาติของเราจนท่านค้นพบ และอื่นๆ... ซึ่งผมยืนยันว่าท่านมีคุณค่ามากมายนัก
นี่คือเหตผลที่ผมต้อง Tag คิด(ไม่)ถึงท่านนักการทูต พลเดช วรฉัตร ผู้น่าทึ่งท่านนี้ครับ สนใจท่านติดตามท่านได้ที่ http://www.polpage.com ครับ