ท่ามกลางการเดินทางของโลกาภิวัตน์
ปรากฏการณ์การย้ายถิ่นข้ามพรมแดนเป็นสภาวการณ์ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาให้ความสำคัญของรัฐบาลแทบทุกประเทศ
การย้ายถิ่นข้ามชาติเป็นประเด็นที่ทวีความสำคัญมากขึ้นในทุกภูมิภาคของโลกในสามช่วงทศวรรษสุดท้ายของศตวรรษที่
20
เป็นประเด็นสำคัญในการกำหนดนโยบายของประเทศต่างๆจำนวนมาก
มีการคาดทำนายว่าในศตวรรษที่ 21 นี้
จะเป็นศตวรรษของการย้ายถิ่นข้ามชาติและตัวปรากฏการณ์นี้จะก่อให้เกิดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ
สังคม วัฒนธรรม
และการเมืองอย่างไม่เคยเกิดขึ้นในประชาคมโลกมาก่อน[1]
“แรงงานข้ามชาติ” หรือที่เรียกตามภาษาราชการว่า
“แรงงานต่างด้าว”
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการเคลื่อนย้ายแรงงานจากประเทศหนึ่งสู่อีกประเทศหนึ่ง
โดยมีลักษณะที่มีปฏิสัมพันธ์กับอีกสังคมและ/หรืออีกวัฒนธรรมหนึ่งผ่านการว่าจ้างแรงงาน
ซึ่งการเคลื่อนย้ายลักษณะดังกล่าวนี้เกิดขึ้นในแทบทุกภูมิภาคของโลก
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่การสื่อสารคมนาคมมิได้เป็นอุปสรรคต่อการเดินทางของมนุษย์ดังเช่นอดีต
ผนวกรวมกับปัจจัยทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม
การเมืองและการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่มีความรวดเร็วและซับซ้อนมากขึ้น
จนอาจกล่าวได้ว่า “แรงงานข้ามชาติ” เป็นอาการอย่างหนึ่งอันเกิดจากภาวะ
“ทุนนิยมโลกาภิวัตน์”
แรงงานข้ามชาติเป็นปรากฏการณ์ของวัฒนธรรมโลกาภิวัฒน์ที่มีลักษณะร่วมที่สำคัญห้าประการ
ได้แก่[2]
ประการแรก เป็นปรากฏการณ์ระดับนานาชาติ
เนื่องจากเป็นการเดินทางจากประเทศหนึ่งเข้าไปทำงานในอีกประเทศหนึ่ง
จากระบบเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมหนึ่งเข้าไปติดต่อสัมพันธ์
(ผ่านการจ้างงาน)
กับอีกระบบหนึ่ง
สะท้อนให้เห็นว่าพรมแดนของรัฐชาติที่เคยถูกปิดกั้นด้วยอุดมการณ์ทางการเมืองหรือการกีดกันทางเศรษฐกิจในช่วงสงครามเย็นได้เปิดกว้างมากขึ้น
ประการที่สอง แรงงานข้ามชาติ
แท้ที่จริงก็คือการไหลเวียนของกำลังคนในวัยทำงานจากประเทศที่ระบบเศรษฐกิจที่มีภาคเกษตรกรรมเป็นหลักไปยังประเทศที่มีอุตสาหกรรมและบริการเป็นหัวใจสำคัญของระบบเศรษฐกิจของประเทศ
จากประเทศที่ยากจนกว่าไปยังประเทศที่ร่ำรวยมากกว่า
ประการที่สาม ความยากจนและความต้องการโอกาสในชีวิต
ยังคงเป็นแรงผลักที่สำคัญของการเคลื่อนย้ายแรงงานข้ามชาติ แรงงาน
ไม่ว่าจะเป็นกรรมกร
คนทำงานบ้านหรือโสเภณีต่างก็ดิ้นรนทำงานหาเงินเพื่อส่งกลับไปช่วยเหลือครอบครัวของตน
เงินตราต่างประเทศไม่เพียงแต่จะช่วยเหลือครอบครัวของแรงงานแต่ละคนแล้วยังช่วย
หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของประเทศได้อีกด้วย
ประการที่สี่
ปมปัญหาของแรงงานข้ามชาติซับซ้อนและหลากหลายมากขึ้น เช่น
เกี่ยวข้องกับการเมืองและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (กรณีของฟิลิปปินส์)
การแพร่ระบาดของโรคเอดส์
การขยายตัวของแก๊งใต้ดินข้ามชาติที่ทำธุรกิจผิดกฎหมาย เช่น
การลักลอบขนคนเข้าเมือง การลักลอบค้าประเวณีและยาเสพติดในบางกรณี
เป็นต้น
ประการสุดท้าย แรงงานข้ามชาติ
เป็นปรากฏการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่าสังคมนานาชาติในโลกสมัยใหม่มีการติดต่อเชื่อมโยงกันทางเศรษฐกิจ
การเมือง การติดต่อสื่อสารและสังคมวัฒนธรรมมากขึ้น แรงงานจากไทย
และฟิลิปปินส์ช่วยให้ธุรกิจการก่อสร้างในไต้หวันเจริญก้าวหน้า
คนทำงานบ้านและคนเลี้ยงเด็กจากฟิลิปปินส์ช่วยให้คนในวัยทำงานของฮ่องกงและสิงคโปร์มีเวลาทำงานมากขึ้น
เป็นต้น ในกรณีของประเทศไทยการย้ายถิ่นข้ามพรมแดนไปมาระหว่างประชาชน
2 ประเทศที่พรมแดนติดต่อกัน เช่น
ไทย-พม่า ไทย-ลาว
ไทย-กัมพูชา และไทย-มาเลเซีย
เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ในอดีตการย้ายถิ่นเป็นไปเพื่อการกวาดต้อนประชาชนของฝ่ายที่ปราชัยจากการรบพุ่งไปเป็นประชาชนของประเทศตนเอง
แต่ในปัจจุบันการย้ายถิ่นเป็นเรื่องของการเปิดเสรีทางการค้า
การลงทุนของประเทศที่มีความพร้อมมากกว่า
สำหรับประเทศพม่าการย้ายถิ่นนับเป็นความเฉพาะที่แตกต่างจากประเทศอื่นๆที่กล่าวมาข้างต้น
นอกจากปัจจัยจากประเทศต้นทางที่เป็นปัจจัยผลักดันทางด้านเศรษฐกิจแล้ว
อันได้แก่
รัฐบาลได้นำนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมพม่ามาใช้ทำให้ประชาชนต้องอดอยากยากแค้น
เกิดภาวะเงินเฟ้อ และเกิดภาวะความยากจนอัตคัดขึ้นในทุกพื้นที่
ปัจจัยทางด้านการเมืองมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่งสำหรับการย้ายถิ่น
โดยเฉพาะในเรื่องของความไม่ปลอดภัยในการดำรงชีวิต เช่น
การที่รัฐบาลเผด็จการทหารพม่าได้ยึดอำนาจการปกครองประเทศเบ็ดเสร็จ
มีการปกครองแบบรัฐบาลเผด็จการทหาร ปฏิเสธบทบาทพรรคการเมืองฝ่ายค้าน
ปราบปรามขบวนการนักศึกษาระหว่างมีการชุมนุมประท้วงของประชาชน ในวันที่
8 สิงหาคม 1988,
การต่อสู้ระหว่างกองกำลังชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลทหารพม่าในช่วง
10-15 ปี ที่ผ่านมา
และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในประเทศ
นอกจากปัจจัยผลักดันดังที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว
ปัจจัยดึงดูดในประเทศไทยก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้เกิดการการย้ายถิ่น
คือ
การที่ประเทศไทยมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงมากจนทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานในภาคอุตสาหกรรมและเกษตรกรรม
การอพยพย้ายถิ่นจากประเทศพม่าไม่ใช่ลักษณะของการเข้าตามตรอกออกตามประตู
ไม่ใช่การเดินอย่างสง่าผ่าเผยข้ามด่านที่เปิดอย่างเป็นทางการ
แต่เป็นลักษณะของการ “ลอดรัฐ” เข้ามาตามช่องทางต่างๆ กล่าวคือ
ชน
กลุ่มน้อยจากพม่ายังคงถูก “บีบบังคับ”
ให้ลี้ภัยออกนอกประเทศอย่างไม่ขาดสาย
เพราะรัฐบาลพม่ามีนโยบายในการเข้าไปจัดการและควบคุม “พื้นที่”
ที่ชนกลุ่มน้อยอาศัยอยู่อย่างเข้มข้น อาทิเช่น
โครงการโยกย้ายถิ่นฐานใหม่ (Resettlement
Programs)
ซึ่งมุ่งเน้นบังคับให้ชาวบ้านต้องโยกย้ายออกจากที่อยู่เดิม
โดยที่บางครั้งก็ไม่ได้จัดหาที่อยู่ใหม่ให้
หรือจัดสรรที่อยู่ซึ่งง่ายต่อการควบคุม
หรือเป็นพื้นที่ซึ่งมีสภาพแย่กว่าที่อยู่เดิมเป็นต้น
นอกจากนี้ยังมีปฏิบัติการที่เข้าไปจัดการกับชีวิตประจำวันของผู้คน
เช่น การเกณฑ์แรงงานหรือไปเป็นลูกหาบให้ทหารพม่า
หรือทหารพม่าเข้าไปทำร้ายร่างกายของประชาชนโดยที่กฎหมายไม่สามารถคุ้มครองใดๆได้
สิ่งเหล่านี้ทำให้เกิดการอพยพย้ายถิ่นอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้[3]
เมื่อมีการเคลื่อนย้ายคนกลุ่มนี้เข้ามามาก นอกเหนือจากสถานภาพการเข้ามาเป็นแรงงานแล้ว
นัยสำคัญของการเป็นผู้หลบหนีเข้าเมืองผิดกฎหมายก็ติดตามมาอย่างยากจะหลีกเลี่ยง ผู้เขียนพบว่า
รัฐราชการไทยได้เกิดการตื่นตระหนกและลุกขึ้นมาจัดการกับปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยการใช้มุมมอง
ที่เริ่มต้นจาก“ปรากฏการณ์ที่เป็นปัญหา” การจัดการกับปัญหาหรือสภาวการณ์ดังกล่าวของรัฐราชการ
ไทยได้วางอยู่บนพื้นฐานที่สำคัญอยู่สองประการ คือ ความต้องการจัดการกับปัญหาผู้หลบหนีเข้าเมือง
เพื่อแก้ไขปัญหาความมั่นคง และความต้องการแรงงานไร้ฝีมือทดแทนแรงงานไทยที่ขาดแคลนในภาค
การผลิตบางส่วน ซึ่งในส่วนหลังนี้เองก็มีการตั้งคำถามที่สำคัญว่าแรงงานที่นำมาทดแทนนั้นจะต้องเป็น
แรงงานราคาถูกด้วยใช่หรือไม่ ทั้งนี้เพื่อตอบสนองต่อความได้เปรียบในการแข่งขันทางการค้าของ
ผู้ประกอบการในประเทศไทย สิ่งที่สำคัญก็คือ ทั้งสองความต้องการนี้ก็ได้กลายเป็นแนวคิดสำคัญในการ
จัดการแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม ภายใต้ภาวการณ์ที่สังคมไทยยังให้ความสำคัญกับวาทกรรม
“ความมั่นคงแห่งชาติ” ที่มุ่งเน้น
การ“จัดระเบียบ”เพื่อก่อให้เกิดความสงบเรียบร้อยภายใน
นโยบายของรัฐไทยต่อผู้ย้ายถิ่นเองก็มีความไม่ต่อเนื่อง
ขลุกขลักลักลั่น ไม่ไปในทางเดียวกัน และมักจะนิยมใช้นโยบาย “ลด”
จำนวนผู้ย้ายถิ่นให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่
จะทำได้ หรือมีนโยบายผลักดันกลับไปสู่ภูมิลำเนาเมื่อโอกาสเอื้ออำนวย
แต่ขณะเดียวกันด้วยสถานภาพ
ของการเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง อคติของสังคมไทยต่อแรงงานข้ามชาติ
ประกอบกับแนวคิดในการจัดการ
ของรัฐไทยที่ผ่านมาก็วางอยู่บนฐานแนวคิดเรื่องของความมั่นคงแห่งชาติและเรื่องของการต้องการแก้ไข
ปัญหาการขาดแคลนแรงงานเป็นหลัก
ไม่ได้ให้ความสำคัญต่อการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติ เท่ากับเป็น
การเปิดโอกาสให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่างๆ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อสิทธิแรงงานอันเป็น
เรื่องพื้นฐานสำคัญในการดำรงชีวิตของแรงงานเหล่านี้และเป็นพื้นฐานสำคัญที่จะสร้างสังคมให้อยู่ร่วมกัน
อย่างมีความสงบสุข
การละเมิดสิทธิมนุษยชนในรูปแบบต่าง ๆ[4]โดยเฉพาะปัญหาการละเมิดสิทธิแรงงานข้ามชาติที่เกิดขึ้น
ได้แก่
1.
การถูกขูดรีดจากนายหน้าในระหว่างการขนย้ายแรงงานข้ามประเทศ
การเดินทางเข้ามาเป็นแรงงานข้ามชาติในประเทศไทยนั้น
กลุ่มนายหน้าเป็นบุคคลสำคัญที่จะนำพาพวกเขาเดินทาง
เข้ามาแสวงหาชีวิตใหม่ในประเทศไทยได้
นายหน้าเหล่านี้จะเป็นผู้จัดการการเดินทางทั้งหมดของแรงงาน
ข้ามชาติ เริ่มตั้งแต่เรื่องการเดินทาง จัดหาที่พัก และการหางานให้ทำ
แรงงานที่เข้ามาหางานทำใน
ประเทศไทย มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องพึ่งพิงนายหน้าเหล่านี้
คนพม่าที่ทำหน้าที่เป็นนายหน้าส่วนใหญ่
บ้างก็เป็นคนที่แรงงานรู้จักไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง เพื่อน
หรือคนในหมู่บ้านเดียวกัน หรือเป็นคนที่ไม่รู้จักกัน
มาก่อน แต่ได้รับการแนะนำให้ไปติดต่อ
หรือนายหน้าเองเป็นผู้ที่เข้าไปชักชวนและเสนองานให้ทำ
ซึ่งมีทั้งแบบที่ไปหาถึงหมู่บ้านหรือนัดหมายให้มาเจอกันที่ชายแดน
ในขบวนการนายหน้ารวมทั้งที่เป็นคนพม่าและคนไทย
นายหน้าทำงานได้ต้องมีความสัมพันธ์
หรือมีความสามารถในการติดต่อกับเจ้าหน้าที่ของรัฐบางคนในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง
เช่น การจ่ายส่วย
ค่าผ่านทาง จนถึงการเป็นหุ้นส่วนในการนำพาแรงงานเข้าเมือง
หลายครั้งเจ้าหน้าที่รัฐเองเป็นผู้นำแรงงานข้ามชาติเหล่านี้เดินทางข้ามชายแดนเข้ามาหางานทำในเมืองใหญ่ๆ
การจ่ายเงินให้นายหน้าเพื่อหลบหนีเข้าเมืองมาหางานทำมิได้เป็นหลักประกันความปลอดภัย
เพราะแรงงานข้ามชาติต้องเดินทางแบบหลบซ่อนในรูปแบบต่างๆ เช่น
ซ่อนตัวอยู่ในรถขนส่งสิ่งของ พืชผักต่างๆ
ซึ่งค่อนข้างยากลำบากอันตรายและเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นเสียชีวิต
แรงงานหญิงหลายคนเสี่ยงต่อการถูกข่มขืน
ล่วงละเมิดทางเพศจากนายหน้าหรือเจ้าหน้าที่รัฐเมื่อถูกจับกุมได้
ขบวนการนายหน้าบางส่วนทำหน้าที่เป็นเสมือนพวกค้าทาสในอดีต
แรงงานข้ามชาติโดยเฉพาะผู้หญิงมักจะถูกนายหน้าหลอกไปขายให้แก่สถานบริการ
และบังคับให้แรงงานหญิงเหล่านี้ค้าบริการทางเพศหรือขายบริการให้แก่ชาวประมงที่ต้องออกทะเลเป็นเวลานาน
การจ่ายค่านายหน้า
นายหน้าโดยส่วนใหญ่จะใช้วิธีเก็บเงินโดยตรงที่นายจ้าง
และนายจ้างจะหักจากค่าแรงของแรงงานอีกต่อหนึ่ง
ซึ่งกลายเป็นข้ออ้างของนายจ้างที่จะไม่จ่ายค่าแรงให้แก่แรงงาน
ทำให้หลายกรณีที่แรงงานข้ามชาติทำงานโดยไม่ได้รับค่าจ้างเลย
สวัสดีครับ อาจารย์
ข้อมูลที่เขียนมามีประโยชน์มากเลย โดยเฉพาะถ้าพูดถึงเรื่องการเคลื่อนย้ายแรงงานแล้ว ทุกประเทศจะหนีไม่พ้นเพียงแค่มากหรือน้อย แต่ส่วนใหญ่แล้วสำหรับประเทศที่ร่ำรวยกว่าจะขาดแรงงานไร้ฝีมือ
หากอาจารย์มีข้อมูลหรือเว็บไซด์เกี่ยวกับแรงงานที่อาจารย์ หรืออื่นเขียน ขอโปรดขึ้นเว็บ
จักขอบคุณยิ่ง
ตาสันญืองา
คุณอดิศรค่ะ
อยากรบกวนขอถามเกี่ยวกับทุนวิจัยที่เกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติค่ะ
พอดีดิฉันเรียนป.โท อยู่สาขาการศึกษานอกระบบ ม.เชียงใหม่ค่ะ
และเป็นอาสาสมัครจัดการศึกษาให้กับแรงงานข้ามชาติชาวไทใหญ่
ในจังหวัดเชียงใหม่ค่ะ ก็จะทำวิทยานิพนธ์เกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติกลุ่มนี้ค่ะ
ในประเด็นเกี่ยวกับการศึกษาเรียนรู้ของแรงงานข้ามชาติชาวไทใหญ่ค่ะ
จึงอยากรบกวนถามว่ามีแหล่งทุนไหนที่สนับสนุนงานวิจัยที่เกี่ยวกับเรื่องของ
แรงงานข้ามชาติบ้างค่ะ รบกวนด้วยนะค่ะ