9. ไปชมมรดกโลก "มามัลลาปุรัม" ที่รัฐทมิฬ นาดู (6)


"ศรัทธา" ต่อศาสนาเท่านั้นที่เป็นแรงบันดาลใจอันยิ่งใหญ่ของมนุษย์
 

 

       

          นั่งรถออกมานอกเมืองกลับไปทางเจนไนห่างจากเจนไนประมาณ 58

กิโลเมตรแวะไปชม Mamallapuram ซึ่งเคยเป็นเมืองท่าและเมืองหลวงแห่ง

ที่สองของราชวงศ์ปัลวะ (Pallava Dynasty) ที่รุ่งเรืองในศตวรรษที่ 7-8

Mamallapuram เป็นสถาปัตยกรรมที่เป็นวัดต้นแบบดราวิเดรียนซึ่งเกิดจาก

การสลักหินเป็นวัดที่บูชาเทพเจ้า เช่น พระศิวะ พระวิษณุ พื้นที่ของโบราณ

สถานนี้กว้างใหญ่จนติดทะเล แต่วัดจะกระจายกันอยู่ต้องนั่งรถจากที่หนึ่งไป

ยังอีกที่หนึ่ง สถานที่นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นมรดกโลกจากยูเนสโกด้วย

วันนั้นแดดร้อนจัดมาก

 แม้แดดจะร้อนมาก พวกเราไม่ย่อท้อ เดินตามผู้บรรยายไป ถ่ายรูปไป ดูจนครบสามแห่งก็ลาผู้บรรยาย (ซึ่งเพื่อนัดหมายจองตัวล่วงหน้าไว้แล้ว) กลับออกมา สักพักแวะร้านอาหารข้างทางที่ดูเหมือนจะเป็นร้านที่นักท่องเที่ยวต้องแวะพัก คนแน่นแต่ก็หมุนเวียนกัน พวกเราสั่งปูรีมาคนละชุด ทานด้วยความเอร็ดอร่อยและรวดเร็ว เสร็จแล้วออกมา นั่งรถมาเรื่อยๆ ก่อนถึงเมืองเจนไนพวกเราแวะไปที่ดักชีนาจิตรา (Dakshinachitra) ห่างจากเมืองเจนไนราว 20 กิโลเมตร เป็นสถานที่อนุรักษ์วัฒนธรรมของอินเดียใต้ในลักษณะของพิพิธภัณฑ์มีชีวิต มีการสาธิตการทำศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านของอินเดียใต้ เป็นซุ้มๆ พร้อมกับจำหน่าย เป็นสถานที่รวบรวมบ้านแบบต่างๆ ของอินเดียใต้ ได้แก่บ้านแบทมิฬ นาดู บ้านแบบเก-ราลา (Kerala) บ้านแบบการ์นาตะกะ (Karnataka) และบ้านแบบอันดรา (Andra) พร้อมเครื่องประดับบ้าน การทำกิจกรรมในบ้านแต่ละแบบ แต่ละประเภท นอกจากนี้ ยังเป็นสถานที่ที่รับจัดงานเลี้ยง เช่น งานแต่งงานด้วย นับว่าเป็นสถานที่เที่ยวที่รวบรวมวัฒนธรรมของรัฐทมิฬ นาดูไว้ได้อย่างน่าสนใจมาก

            พวกเรากลับเข้าเมือง ไม่ไปไหนต่อแล้วแม้ว่าเพื่อนอีกคนอยากให้เราไปร่วมงานที่

โรงเรียนของเพื่อนเพื่อชมการแสดงละครของนักเรียน แต่ฉันเกรงใจเพื่อนๆ คนอื่นและรู้สึก

ว่าทุกคนก็เหนื่อยแล้ว ควรกลับไปพักกันจะดีกว่า ฉันกลับถึงที่พักราวบ่ายห้าโมงกว่าๆ  พี่สาว

 (akka ภาษาทมิฬ แปลว่า พี่สาว) คอยอยู่ ฉันนั่งสักพักยังไม่มืดจึงชวนพี่ไปเดินเล่นด้วยกัน

 แกพาเดินไปวัดใกล้บ้าน  บริเวณที่พักนี้บรรยากาศดีมาก ส่วนใหญ่เป็นอพาร์ตเมนท์ มีบ้าน

เดี่ยวบ้าง ต้นไม้ร่มรื่น ไม่จอแจ เงียบสงบดีมาก เสียงการ้องบนต้นไม้โดยรอบทั้งวัน พี่สาว

บอกว่าต้องปิดผ้าม่านหน้าต่าง (หากเปิดหน้าต่าง) เพราะกาเคยบินเข้ามาในบ้าน ก่อนถึงวัด

เห็นแขกมุงเพราะมีรถเก๋งเกิดอุบัติเหตุชนกำแพงอยู่บริเวณนั้น

           ไปที่วัดใกล้บ้าน ถอดรองเท้าฝากไว้ที่คนเฝ้าประตู เขียนเลขไว้ที่พื้นรองเท้า พี่เก็บ

บัตรฝากรองเท้าไว้ แกไม่ยอมให้ฉันซื้อดอกไม้ แกจัดการซื้อให้ฉันดอกไม้สีขาวพวงใหญ่

ของแกซื้อดอกสีเหลืองตัดจากพวงใหญ่ไม่กี่ดอก วัดใหญ่มีหลายหลัง แต่ละหลังจะเป็นที่

บูชาเทพเจ้าองค์ต่างๆ แกพาไปไหว้ทุกหลัง ได้ทำบุญและได้ผงหอมเจิมหน้าผากเหมือนวัด

ที่เคยไปทุกที่ กลับออกมาภายนอกแลกบัตรกับรองเท้าพี่จ่ายค่าฝากรองเท้าอีก

            จากนั้นเราก็เดินกันต่อไป พี่พาไปดูทะเลที่อยู่ใกล้วัดอีกวัดหนึ่ง พี่เล่าให้ฟังว่าตอน

ที่เกิดสึนามิ ทะเลเหือดหาดไปจากหาดทรายไกลมาก แต่พอคลื่นซัดกลับมาอีกทีทั้งมืดทั้ง

ดำใหญ่มาก แต่คลื่นกลับไม่โหมซัดเข้าไปในวัดที่อยู่ติดทะเลเลย วันที่ไปยืนอยู่หาดทราย

คลื่นลมแรงมาก ริมหาดผู้คนก็ไปตั้งแผงขายของตามอัธยาศัย มืดแล้วมองอะไรไม่ค่อยเห็น

จึงพากันเดินกลับ

            ฉันขอแวะซื้อน้ำ ให้แกยกดื่มก่อน ฉันยกจิบต่อ แกบอกว่าน้ำยี่ห้อนี้รสชาติแปลกๆ

จึงแวะไปซื้ออีกยี่ห้อหนึ่งที่ขายอยู่ร้านใกล้บ้านดีกว่า เราเดินกลับแกพาไปแวะร้านขาประจำ

ซื้อน้ำเย็นเจี๊ยบ ฉันซื้อน้ำส้มกล่อง 82 รูปี แพงแต่ก็แบ่งกันทานได้หลายวัน เรื่องน้ำดื่ม ที่

บ้านพี่ต้องซื้อน้ำกรองมาดื่มเพราะน้ำประปาใช้ดื่มไม่ได้ ฉันเป็นคนที่ดื่มน้ำมากจะมีปัญหา

เรื่องการเตรียมซื้อน้ำมาดื่มให้พอ

           กลับไปถึงบ้านพี่ก็ทำอาหารเย็นให้ทาน คนอินเดียทานอาหารค่ำราว 19.30 น.

เป็นต้นไป บางคนทานดึกกว่านั้น เช่น 21.00 น. ทานเสร็จนอน รับรองอ้วนทันตาเห็น ไม่รู้

ว่าจะช่วยพี่ทำอะไรเพราะดูแกจะอยากให้ฉันเป็นแขก (ตัวจริง) อย่างเดียว เกิดมาก็ไม่เคยมี

คนที่ไม่เคยรู้จักมาก่อนทำอะไรให้ทุกวันอย่างนี้ (ดูตัวเองไร้ค่าจัง!) หากฉันอยู่กับพี่ไปเรื่อยๆ

 ฉันก็เกรงใจพอควร แต่เราเข้ากันได้ง่าย ฉันเป็นฝ่ายชักชวนแกให้ไปเดินเล่นด้วยกัน ดูแกมี

ความสุขดี ใหม่ๆ แกอาจจะเกร็ง ไม่คุ้นชินกับคนแปลกหน้า แกถามข้อมูลเตรียมการจาก

เพื่อนๆบางคนมาก่อนพอสมควร ฉันน่ะปรับตัวเร็วเพราะเคยใช้ชีวิตอยู่กับทั้งเพื่อนนักศึกษา

ต่างชาติและครอบครัวชาวเวียดนามที่ประเทศเวียดนามหลายหนเพื่อไปเรียนรู้วิถีชีวิตของ

เขาและทำวิจัย เคยอยู่ตั้งแต่ห้องแคบๆ เท่าแมวดิ้น จนถึงอพาร์ตเมนท์ เพราะฉะนั้นไปไหน

ไปกัน อยู่ไหนก็อยู่ได้ ไม่มีปัญหา ฉันทำตัวเป็นน้ำพร่องแก้วพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่เสมอ

          อาหารเย็นเสร็จตรงเวลา พี่หุงข้าวด้วยหม้อตุ๋นที่ใช้แรงอัดสูงหุงด้วยแก๊ซเสียงแรงอัด

มันจะดันเป็นระยะๆ ตอนแรกฉันได้ยินเสียงก็แปลกใจเดินไปดู แกบอกแกหุงข้าวด้วยวิธีนี้

ประหยัดมากกว่าใช้ไฟฟ้าซึ่งราคาแพงกว่า ที่บ้านแกไม่ใช้ไมโครเวฟ แต่มีถังแก๊ซตุนไว้ 2

 ถัง แก๊ซถังละ 300 รูปี แกบอกอยู่คนเดียวบางทีแก๊ซใช้ได้ 4-5 เดือนทีเดียว ฉันแซวแกว่า

ฉันมาอยู่ด้วยคงทำให้แก๊ซแกเปลืองมากขึ้นก็ได้ แกบอกสองคนจะสักเท่าไรเชียว น้ำใจพี่นี่

หายากจริงๆ พอข้าวสุก อาหารเสร็จ พี่ตักข้าวใส่หม้อข้าวพลาสติกเพื่อเตรียมเสริฟ จานใบ

ใหญ่สองใบ ก่อนอาหารเย็น พี่ทำซุปสำเร็จรสชาติต่างๆ ให้ทานก่อน (แต่ละวันเปลี่ยนรส

ไป)  รองท้องสักพักจนกว่าอาหารเย็นจะเสร็จซึ่งใช้เวลาไม่นานมาก เราทานข้าวด้วยกันเป็น

มื้อแรก ฉันไม่คุ้นกับการกินด้วยมือ บ้านพี่ไม่มีช้อนส้อมสำหรับทานข้าว ฉันจึงใช้ช้อนชาตัก

อาหารทานแทน พี่ก็ทานอาหารด้วยช้อนไปกับฉันด้วย ฉันพยายามไม่ทานมากเพราะอยาก

มาลดความอ้วนที่อินเดีย แต่ดูเหมือนจะไม่สำเร็จ พี่พยายามจะให้ทานมากๆ ให้อิ่ม แกเกรง

ว่าอาหารแกจะไม่ถูกปากฉันๆ บอกอาหารพี่อร่อย ฉันทานได้ แต่มื้อเย็นฉันจะพยายามลดให้

น้อยลง ฉันอิ่มก่อน พี่ก็นั่งทานต่อไป แกถามฉันว่ากินเกิร์ตไหม ทุกบ้านจะทำโยเกิร์ตไว้ทาน

เอง ฉันไม่ชอบเปรี้ยวๆ ก็เลยไม่ทาน พี่ไม่ยอมให้ฉันล้างถ้วยชามหลังอาหารสักมื้อเลย ฉัน

ได้ล้างเพียงครั้งเดียวก่อนกลับเมืองไทยตอนที่แกไปอาบน้ำเท่านั้น   

หมายเลขบันทึก: 160587เขียนเมื่อ 21 มกราคม 2008 22:38 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:25 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท