ผมขอเริ่มก่อนก็ได้…”ผมชอบซอจังกึม ที่ใช้กระบวนการศึกษาเรื่องโรคของพระเจ้าจินจงอย่างลึกซึ้ง ถือเป็นวิจัยและพัฒนาที่ยอดเยี่ยมมาก เริ่มจากการใช้ความกล้าเข้าไปเอาประวัติพระเจ้าจินจงมาศึกษา รวมทั้งใช้ความรู้จากตำราและประสบการณ์จากหลายแห่งวิเคราะห์ร่วมกับหมอจังด๊อก(หมอติดดิน) แล้วใช้การวิจัยเชิงทดลองกับคนไข้ที่มีอาการของโรคเช่นเดียวกันที่อยู่ในชนบท 2 รายและรักษาจนหายดีก็จึงพบว่า ว่าโรคของพระเจ้าจินจงไม่ใช่เกิดจากอาหารเป็นพิษ และไม่ใช่ไข้หวัดแน่ เพราะมีแผลในพระโอษฐ์ก่อนที่จะประชวร ผิวที่พระบาทก็บวมแดง พระวรกายมีตุ่มแข็งและเจ็บ แผลหายช้า อักเสบง่าย และใช้เวลารักษานาน บางครั้งต้องฝังเข็มจึงจะหาย ซึ่งจากตำราคือ”โรคโฮอู” เป็นโรคที่แทรกซ้อนหลังจากเป็นไข้หวัด(คล้ายไข้หวัดนกนะ) ซึ่งเป็นอาการตับร้อนชื้นธรรมดา การรักษาต้องใช้ยา “ยงตัน”เท่านั้น แต่เมื่อไม่มีใครเชื่อและรักษาอย่างผิด จึงทำให้พระอาการทรุดหนักลง เมื่อซอจังกึมมีโอกาสถวายการรักษาจึงให้เสวยพังกิ(นมวัว)กับโสมแดง พระอาการจึงหายเป็นปกติ (เล่นเอาคนดูใจหายใจคว่ำหลายตลบ)” นี่คือขุมความรู้ที่ผมได้และชอบมาก..
แล้วท่านล่ะได้ขุมความรู้จากใคร?และ เรื่องอะไรบ้าง ช่วยบอกกันหน่อยเน้อ…จึงจะเป็นแฟนพันธุ์แท้แดจังกึมจริง...
ขณะที่ยังไม่มีคุณลิขิตท่านใดสรุปขุมความรู้ออกมา ผมก็ขอนำเสนออีกครั้งว่า..........
จุดเด่นของละครเรื่องนี้ที่ทำให้คนติดกันทั้งเมือง ก็คือความลุ่มลึกของบทบาทตัวละครที่สะท้อนแง่มุมของชีวิตที่หลากหลายในทุกฉากตอน ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้เป็นแนวคิดในการดำเนินชีวิต และปฏิบัติงานของทุกคนและทุกวงการอาชีพได้เป็นอย่างดี
คนที่เป็นแฟนพันธุ์แท้แดจังกึมคงจะซาบซึ้งกับวิถีชีวิตของซอจังกึม ซึ่งภูมิหลังของเธอตั้งแต่เด็กจนโตก็พบกับอุปสรรคสารพัด แต่เธอก็ไม่ย่อท้อ มีความมุ่งมั่นพยายาม ใฝ่รู้ใฝ่เรียน สั่งสมองค์ความรู้ในทุกโอกาส รู้จักสมุนไพรทุกชนิด ช่างสังเกตจดจำและสามารถใช้ความรู้หลายสาขามาบูรณาการปรุงอาหารที่ได้ทั้งความอร่อยและมีคุณต่อสุขภาพ
นอกจากซอจังกึมจะเป็นแบบอย่างของซังกุงในการปรุงอาหารแล้ว เธอยังเป็นแบบอย่างของแพทย์มืออาชีพที่มีอุดมการณ์ และมีจรรยาบรรณแพทย์สูงส่ง เธอมีโอกาสได้เรียนรู้และซึมซับจากแพทย์มืออาชีพ(ครูหมอ)ที่เชี่ยวชาญหลายสาขา คือ ชองอุนแป จังด็อก และซินอิ๊กบี โรงเรียนการแพทย์ของเธอก็คือเขตชนบทที่แห้งแล้งทุรกันดาร ที่ชาวบ้านประสบกับโรคระบาดและชะตากรรมในภาวะวิกฤติหลายๆรูปแบบ ที่ถูกทอดทิ้งจากทางการ ซึ่งเป็นช่องว่างทางชนชั้นของคนในสังคมสมัยนั้น การเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ดังกล่าว ทำให้เธอมีโอกาสได้คิดค้นทำวิจัยและพัฒนา รวมทั้งการได้รับรู้เข้าใจในความทุกข์ยากของชาวบ้าน ช่วยปลุกจิตสำนึกให้เธอมีพลังที่จะทุ่มเทดูแลเขาอย่างสุดชีวิต ด้วยเหตุนี้เธอจึงได้รับการยอมรับจากทั้งชาวบ้านและในวังว่าเป็นแพทย์ที่มีทั้งความเก่งและความดี ในเวลาต่อมามีอีกตัวอย่างหนึ่งที่ซอจังกึมได้แสดงความสามารถด้านการแพทย์ให้ประจักษ์ คือการรักษาอาการประชวรขององค์ชายที่มีฝีและหนองขึ้นตามตัว แพทย์หลวงก็ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกัน และทำการรักษากันอย่างผิดๆ ซอจังกึมจึงได้เข้าไปศึกษาโรคนี้ด้วยการเข้าไปฝังตัวดูแลรักษาเด็กที่เป็นโรคระบาดและอาการเช่นเดียวกันกับพระโอรสในชนบทที่เป็นเขตต้องห้ามที่ไม่ให้ใครเข้าไป โดยไม่ได้รู้สึกรังเกียจใดใด เธอเองก็ไม่มีความรู้เรื่องนี้มาก่อน แต่ด้วยจิตสำนึกของแพทย์ที่ต้องดูแลคนไข้ ในสถานการณ์ที่คับขันเช่นนี้ เธอจึงต้องอาศัยประสบการณ์เดิม ผนวกกับจิตใจที่เห็นคุณค่าของชีวิตคน โดยไม่มีการแบ่งเพศแบ่งชนชั้นเหมือนกับคนอื่น ด้วยการตัดสินใจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างกล้าหาญ แต่ก็กระทำอย่างเป็นขั้นตอนกล่าวคือถ้าเด็กคนไหนมีไข้สูง ก็ทำให้เหงื่อในตัวออกมามากๆ ถ้าเป็นฝีขึ้นมาตามตัวก็ปล่อยให้สุก มีผื่นมีหนองก็ปล่อยให้บวมเป่งเต็มที่จนแตกออกมาก่อน แล้วจึงทำการรักษา โดยให้อาบน้ำดินเหลืองหรือน้ำจากถ่านไม้ บ้านใครมีผักเจก็ต้มข้าวต้มให้กิน ใครมีดอกเหมยก็เด็ดดอกเหมยมาบดให้ละเอียดเคลือบน้ำตาลบางๆ ผึ่งเป็นรูปใบบัวแล้วค่อยๆให้บิกินทีละนิด จากนั้นก็เอาบวบมาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ ทั้งเปลือกและใย ใส่ในชามใหญ่ปิดฝาให้แน่น โรยเกลือพอประมาณ แล้วไปนึ่งในรังถึง ใช้ถ่านจากไม้อูถงผสมกับหญ้าสมุนไพร ต้มจนน้ำในหม้อเดือดปุดๆ พอเห็นบวบสุกแล้วก็มาบดให้ละเอียด ให้กินเป็นของว่าง โดยเธอจะคอยจดอาการของคนไข้ในแต่ละวัน คอยดูแลความเปลี่ยนแปลง และให้กินยาตามอาการ เพื่อไม่ให้กำเริบหนัก นี่คือวิธีรักษาเด็กที่เป็นฝีพุพองของซอจังกึม ที่ไม่มีใครเขียนไว้ในตำรา แต่เธอก็สามารถคิดค้นจนสามารถรักษาทั้งเด็กในชนบทและพระโอรสให้หายป่วยเป็นปกติได้
ยังมีตัวอย่างที่แสดงความรู้ ความเชี่ยวชาญ และจรรยาบรรณทางการแพทย์ของซอจังกึมปรากฏอีกมากมายในละครเรื่องนี้ เธอไม่ได้เก่งแต่การรักษาโรคต่างๆเท่านั้น แต่เธอยังเป็นจิตแพทย์ดูแลรักษาอาการทางจิตใจของพระเจ้าจุงจงด้วย ความเชี่ยวชาญและความดีงามของเธอทำให้พระเจ้าจุงจงประทับใจ และกล้าที่จะฝืนประเพณีโบราณแต่งตั้งให้เธอเป็นแพทย์หลวงส่วนพระองค์และเป็นขุนนางคนแรกที่เป็นสตรี โดยมีตำแหน่งนำหน้าว่า “แด” เพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของเกาหลีเพียงคนเดียวในประวัติศาสตร์ของเกาหลี
ซินอิ๊กบี แพทย์หัวหน้าสำนักหมอหลวง ซึ่งเคยมีทัศนคติไม่ดีต่อแดจังกึม ได้กราบทูลพระเจ้าจุงจง ในโอกาสที่พระองค์ทรงพยายามแต่งตั้งให้ซอจังกึมเป็นแพทย์หลวงส่วนพระองค์และเป็นขุนนางหญิงคนแรก ท่ามกลางเสียงคัดค้านของพระพันปี พระมเหสี เหล่าเสนาบดี และขุนนางในราชสำนักอีกมากมาย โดยซินอิ๊กบี ได้กราบทูลความตอนหนึ่งว่า
“…เมื่อก่อนกระหม่อมเคยเป็นอาจารย์ของหมอหญิงจังกึม แต่บัดนี้จะไม่เกี่ยง ยินดีอยู่ใต้อาณัติของนางแทน สาเหตุเพราะนางมีคุณสมบัติในการเป็นหมออย่างครบถ้วน เธออุ้มลูกขอทานเข้าไปในกระท่อมร้างรักษาโรคร้ายให้พวกเขาอยู่คนเดียว โดยไม่ห่วงตัวเองสักนิด การรักษาของนางเปรียบเสมือนมารดาที่รักลูก ดูแลลูกน้อยทุกลมหายใจเข้าออก เหมือนแม่ที่ไม่ต้องการให้ลูกป่วย พยายามหาทางป้องกันไว้ก่อน เหมือนแม่ที่หวังดีต่อลูก อยากให้ลูกหายวันหายคืน เธอคือหมอที่มีจิตวิญญาณของความเป็นหมอที่แท้จริง น่าเลื่อมใสจริงๆพ่ะย่ะค่ะ…”
ซอจังกึมมีความมุ่งมั่นในเป้าหมายของชีวิต และไม่ยอมกระทำความผิดจารีตประเพณี มีความอดทน อดกลั้น มีการนำเอาอริยะสัจ 4 มาใช้ในการดำเนินชีวิต