กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานหลักของกระทรวงการคลัง
ซึ่งมีหน้าที่จัดเก็บภาษีอากร
เพื่อนำมาใช้จ่ายในการบริหารประเทศ
เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์สำคัญทางเศรษฐกิจในด้านต่าง ๆ
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของภาคธุรกิจเอกชน
และของประเทศในเวทีโลกด้วย
ทำให้รัฐบาลต้องนำระบบ E-Govermment มาใช้
เพื่อเป็นการพัฒนาทางด้าน IT ให้แก่ระบบราชการทั้งระบบ
กรมสรรพากรเป็นหน่วยงานหนึ่งในโครงการนำร่องของรัฐบาลในการนำ
เทคโนโลยีสารสนเทศมาใช้ในการบริหารการจัดเก็บภาษีอากร
ตามที่กรมสรรพากรมีนโยบายจะ
เป็น e-Revenue ชั้นนำของประเทศ
โดยให้บริการยื่นแบบแสดงรายการและชำระภาษีผ่านระบบ
ระบบอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2544
สำหรับประเภทภาษีที่ยื่นเป็นแบบแรก
คือ ภ.พ.30
สำหรับภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ได้กำหนดให้ยื่นแบบและชำระภาษีตั้งแต่ปีภาษี
2545 แต่ในที่นี้จะพูดถึงการยื่นแบบและชำระภาษีตั้งแต่ปีภาษี
2547 เพราะตั้งแต่ปีภาษี 2547 เป็นต้นไป
จะได้รับการยกเว้นภาษีสำหรับค่าอุปการะเลี้ยงดูบุพการีทั้งของตัวเอง
พ่อตาแม่ยาย พ่อสามีแม่สามี
แต่สำหรับหลักเกณฑ์ในการนี้ตามระเบียบของกรมสรรพากร
ตัวบุพการีที่จะนำมาหักลดหย่อนได้จะต้องเข้าหลักเกณฑ์ดังต่อไปนี้
1. จะต้องมีอายุ 60 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป
2. มีเงินได้ในปีภาษี นั้น ๆ ไม่เกิน 30,000
บาท
3. สำหรับบุตรที่จะนำบุพการีของตัวเองไปหัก
จะนำไปหัก เพียงคนใดคนหนึ่ง เช่น คนแรกนำพ่อไปหักแล้ว
คนที่สองหรือคนที่สามจะนำไปหักอีกไม่ได้ และสำหรับในส่วนของ
พ่อตาแม่ยาย หรือ พ่อสามีแม่สามี
จะนำมาหักได้คู่สมรสจะต้องเป็นผู้ไม่มีเงินได้
และจะต้องเข้าหลักเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นด้วย
กรมสรรพากรประชาสัมพันธ์ว่าถ้าในกรณีที่ยื่นแบบผ่านระบบอินเทอร์เน็ตจะได้รับการคืนภาษีที่รวดเร็ว เพื่อเป็นการคืนภาษีได้อย่างรวดเร็วจริง ๆ ทำให้การตรวจสอบในเรื่องการหักค่าลดหย่อนบุพการีไม่เข้มเท่าที่ควร เป็นไปได้ว่าอาจมีการตรวจสอบหรืออาจจะไม่มีการตรวจสอบก็เป็นได้ ทำให้ต่อมาพบว่ามีผู้เสียภาษีบางรายที่ไม่มีสิทธินำบุพการีของตนมาหักได้ ทำให้เกิดการที่จะต้องนำเงินคืนในส่วนที่หักลดหย่อนไม่ถูกต้องมาคืน บางคนก็บ่นมาว่าเงินได้ใช้หมดแล้ว แต่ก็ต้องรีบนำมาคืนเพราะในระเบียบของการรับเงินคืนภาษีเกินไป จะต้องนำมาคืนภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่ได้รับหนังสือให้นำเงินมาคืน มิฉะนั้นแล้วจะต้องเสียเงินเพิ่ม(ดอกเบี้ย) ในอัตรา 7.5% ต่อปี (ในการนี้เริ่มมีผู้เสียภาษีทยอยกันนำเงินมาคืนบางแล้ว ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2548 เป็นต้นมา รวมจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 160 ราย รวมเป็นเงินทั้งสิ้นสี่แสนกว่าบาท แต่ยังมีผู้ค้างชำระยังไม่นำมาคืนประมาณ 35 ราย โดยจะเป็นหน้าที่ของส่วนกฎหมายและเร่งรัดหนี้ภาษีอากรค้างจะเป็นผู้เร่งรัดต่อไป)
ในการนี้เป็นการทำให้ผู้เสียภาษีเดือดร้อน ควรที่จะตรวจสอบให้เรียบร้อยเสียก่อน หรือเร่งให้ เจ้าหน้าที่ที่มีหน้าที่คืนภาษีระดมกำลังในการตรวจสอบก่อนคืน เพื่อมิให้เกิดความผิดพลาดในการคืนเงินภาษี เพื่อเป็นการสนองนโยบายของกรมสรรพากรเองและเพื่อให้เกิดภาพพจน์ที่ดีที่ผู้เสียภาษีจะพึงมีต่อกรมสรรพากรต่อไป
เอกสารอ้างอิง
ยังงงเกี่ยวกับคำว่ามีเงินได้, ไม่มีเงินได้อยู่ค่ะ เคยถามเจ้าหน้าที่สรรพากรอำเภอ ว่าสามีมีอาชีพขับรถรับจ้าง ถือว่ามีเงินได้หรือไม่ ปรากฎว่าเจ้าหน้าที่สองอำเภอตอบไม่เหมือนกัน ก็เลยใส่ว่าสามีมีเงินได้ไว้ก่อนทำให้ไม่สามารถนำข้อลดหย่อนภาษีของบุพการีของสามีมาใช้ได้ น่าจะมีคำอธิบายที่ชัดเจนเกี่ยวกับคำว่ามีเงินได้ให้ประชาชนได้รู้นะคะ