เมื่อวานไปร่วมงานศพ ลูกชายของผู้ใหญ่บ้าน ที่อยู่ใกล้ๆกับวิทยาลัย ซึ่งประสบอุบัติเหตุ เสียชีวิต อายุเค้าเพียง 25 ปีเท่านั้น ถือว่า เป็นการสูญเสียที่เร็วเกินไป สำหรับคนเป็นพ่อและแม่ พอเห็นอย่างนี้ ทำให้เราย้อนกลับมาคิดว่า ถ้าการสูญเสียนั้นเกิดขึ้นกับเรา เราจะรับมันได้แค่ไหน?...
เมื่อวานเป็นการสวดอภิธรรมคืนแรก พระคุณเจ้าท่านจึงได้ให้ข้อคิดเกี่ยวกับการตั้งรับกับความตาย ไว้ว่า คนเราหายใจเข้าอย่างเดียวไม่ได้ ต้องหายใจออกด้วย แม้แต่ลมหายใจ ยังมีเข้า มีออก ไม่มีสิ่งใดที่เที่ยง ทุกคนมีที่มาขอตนเอง และที่ไปของตนเอง
4 อย่าง ที่เราไม่สามารถรู้ได้ คือ เราจะตายเมื่อไหร่ เราจะตายที่ไหน เราจะตายด้วยอะไร และตายแล้วเราจะไปที่ไหน ดังนั้นเราจึงควรที่จะตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ให้มีสติอยู่กับตนเองตลอดเวลา อย่าไปหลงระเริงในความสุข ในความมั่งมี เพราะไม่ว่าจะร่ำรวยล้นฟ้า หรือยากจนข้นแค้น ก็ต่างหนีความตายไม่พ้นทั้งนั้น
พอฟังจบ ก็ได้ข้อคิดกลับมาว่า ชีวิตของเรานั้นดำเนินอยู่เพื่อมุ่งไปสู่จุดหมายเดียวกันคือความตาย เราจึงควรตั้งรับกับมันไว้ก่อน โดยการไม่ยึดมั่น ถือมั่น กับสิ่งใดๆ เผื่อใจไว้กับความสูญเสีย ที่กำลังเดินทางเข้ามาหาเรา ..ไม่ช้า ก็เร็ว .. อาจเป็นคนที่เราเดินผ่านเมื่อสองวันที่แล้ว คนที่เรายิ้มให้เมื่อวาน คนที่คุยกับเราเมื่อเช้า หรือ อาจเป็นตัวเราเองก็ได้..ไม่มีใครรู้
จะรับได้ไหม ถ้าถึงวันนั้น ทุกอย่างที่เธอฝันอาจเป็นแค่ภาพลวงตา
ใครไปงานศพกลับมาก็คิดได้แบบนี้ทุกคนแหละ 3 วันผ่านไปก็ลืม
ถึงว่าโทรไปไม่รับ ไปออกงานนี่เอง :-)
มีคำถามสั้นๆ
"ถ้าคุณรู้ว่าอีก 3 วัน คุณจะต้องตาย
คุณอยากจะทำอะไรมากที่สุด?"
เมื่อได้คำตอบแล้ว
อยากให้คุณๆ ลงมือทำนับจากนี้เลย
ทำไมต้องรอให้เหลือ 3 วันสุดท้ายด้วย
รีบทำก่อนที่จะไม่มีโอกาสได้ทำ
แล้วคุณอาจจะเสียใจไปตลอดชีวิต
สวัสดีค่ะ คุณ นาย พัฒนะ มรกตสินธุ์
ทำวันนี้ให้ดีที่สุดใช่มั้ยคะ เพราะ อดีตคือเหตุของปัจจุบัน และอนาคตก็คือผลลัพธ์ของปัจจุบัน
ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมแล้วให้ข้อคิดค่ะ