เรื่องราวของ "อะตอม" ก็เป็น "สาเหตุภายใน" ที่ทำให้เกิด "D" หรือ "พัฒนา" ในสังคมของโลก ! เรื่องเป็นดังนี้
เมื่อราว 465 B.C. Democritus ได้เสนอว่า อะตอมเป็นสิ่งที่เล็กที่สุดที่ไม่สามารถจะแยกออกไปได้อีก เมื่อแยกไม่ได้ ก็เปลี่ยนแปลงไม่ได้ จึงไม่มีการดับ และไม่มีการเกิด มันจึงมีความเป็นนิรันดร อะตอมนี้จะรวมกันเข้าเป็นสิ่'ต่างๆ ในจักรวาล
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นนี้เป็น D กล่าวคือ ทำให้เกิดความคิดขึ้นในจิตของชาวกรีกว่า "วัตถุทั้งหลาย รวมทั้งคน สัตว์ พืช ล้วนเกิดจากการรวมกันของอะตอมนี้เอง" นับเป็นการ "พัฒนา" หรือ D ที่เกิดจาก "สาเหตุภายใน" ของ "สังคม" ให้ก้าวหน้าขึ้นอีกระดับหนึ่ง
ความคิดนี้เปลี่ยนแปลงความคิดของชาวกรีกนานราว ๑๐๐ ปี !
ต่อมาราว 384 B.C. Aristotle ก็แย้งว่า ไม่จริง และเสนอว่า "ธาตุที่เล็กที่สุดมี ดิน น้ำ ลม ไฟ และธาตุเหล่านี้รวมกันเข้าเป็นสิ่งต่างๆในจัรวาล"
ความคิดนี้มีอิทธิพลทำให้คนลืมเรื่องอะตอมไปนานมากถึงเกือบ ๒๐๐๐ ปี! และเกิดกว้างไกลไปทั่วโลก รวมถึงไทยด้วย พระสงฆ์ของเรายังเทศนาให้ชาวบ้านฟังอยู่จนทุกวันนี้เรื่อง คนเกิดจากการรวมกันของธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ !!
นี่ก็ D ครับ ! เพราะว่าสังคมถือว่า ดีกว่า ถูกกว่า ก้าวหน้ากว่า เรื่องของอะตอม ! แต่ยังไม่จบ
ต่อมา Pierre Gassendi ชาวฝรั่งเศส เกิดเมื่อ คศ. ๑๕๙๒ คือราว ๒๐๐๐ กว่าปีต่อมา เขาได้รื้อฟื้น อะตอม ขึ้นมาใหม่ แต่เพิ่มเติมออกไป ต่อมา ราวๆปี คศ. ๑๘๐๘ Jonh Dalton ชาวอังกฤษ ก็ได้เสนอ Atomic Theory of Chemistry เช่นกัน ทำให้เกิดการค้นค้วาพบธาตุต่างๆเพิ่มขึ้นมากมาย
ทำให้ D ทาง"เภสัชศาสตร์" ได้ก้าวหน้ามากขึ้นๆ และมากขึ้น เกิดโรงงานอุตสาหกรรมยาเกิดขึ้นมากมาย ทั่วโลก !
ทำให้เกิด "D" หรือ "พัฒนา" ทางการแพทย์ มหาวิทยาลัยแพทย์ ตำราแพทย์ ฯลฯ แผ่ขยายไปทั่วในสังคมโลก
คนก็ตายน้อยลง !
ใชแต่เท่านี้ ความรู้เกี่ยวกับอะตอมยังเข้าไปขยายความรู้ในวงการ ฟิสิกส์ ไฟฟ้า แสง ชีววิทยา ฯลฯ ขยายตัวก้าวหน้า เปลี่ยนแปลงสังคม เปลี่ยนแปลงโลก อย่างไม่น่าเชื่อ !
และนี่ก็ "D" หรือ "พัฒนา" จาก "สาเหตุภายในสังคม" เหมือนกัน !