วิธีหาประโยชน์ เมื่อมีคนทำให้เราโกรธ Part II


วิธีหาประโยชน์ เมื่อมีคนทำให้เราโกรธ Part II

อารมณ์ เป็นชุดเครือข่ายประสาทที่เอื้ออำนวยให้เราสามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ หรือสิ่งเร้า ได้อย่างรวดเร็ว เป็นไปตามบุคลิก คุณค่า ความเชื่อ ที่เราได้ค่อยๆเพาะสร้าง สั่งสมเอาไว้ ทำให้เรามี "แนวโน้ม" ที่จะตอบสนองแบบนี้ ทำแบบนี้ เมื่อถูกกระตุ้นแบบนี้ ในทางอาชญากรรมวิทยา (criminology) เรียก "profile" นักอาชญวิทยาบางท่านสามารถศึกษา และหา profile ของอาชญากรต่อเนื่อง เพราะ "แนวโน้มการทำซ้ำ หรือมีรูปแบบ" นี้เอง เรียกว่า Profiler หรือ นักศึกษารูปแบบพฤติกรรม

คริสติน เป็นเด็กสาวที่เติบโตขึ้นมาในครอบครัวที่พ่อติดสุราเรื้อรัง เมื่อพ่อกลับบ้านทีไร ก็จะเมาเหล้า อาละวาด ด่าทอ ใครไปขออะไร พูดอะไรตอนนั้น ก็จะถูกตบตีทำร้าย คริสตินจึงเรียนรู้มาตั้งแต่เด็กในการที่จะทำตัวเสมือน "ล่องหน" เพื่อที่จะพ้นสายตาของคนในบ้าน โดยเฉพาะจากบิดาขี้เหล้าของตนเอง

เมื่อคริสตินโตขึ้น ปรากฏว่าเธอเป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัว ไม่ชอบและไม่ยอมออกไปพูดหน้าชั้นเรียน ต้องการอะไรก็ไม่เคยเอ่ยปาก เมื่อใครมาขอให้เธอทำอะไร เธอก็จะไม่ปฏิเสธ ตราบใดที่เธอไม่ต้องแสดงตัวในที่สาธารณะ เพราะเธอไม่ยอมต่อรอง หรือแสดงว่าเธอต้องการอะไร เพราะนั่นจะทำให้เธอ visible หรือถูกค้นพบ ถูกมองเห็นขึ้นมา

นอกจากนี้คริสตินก็จะไม่พูดคำหยาบ ไม่มี aggression เป็นคนที่ passive คือ หัวอ่อนมากๆ เพราะเธอไม่ยอมให้ตัวเองเป็นเหมือนพ่อเด็ดขาด นั้นเป็นสิ่งที่เธอเกลียด และไม่อยากเป็น เธอจะทำตามกฏ ตามระเบียบทุกอย่าง เพราะนั้นเป็นสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่พ่อเธอทำ ไม่ว่ากฏระเบียบบางข้อจะไม่สมเหตุสมผล หรือในบริบทที่แตกต่าง คริสตินจะไม่สามารถทำใจในการ break any rules ที่มี ข้ามถนนตอนดึก ในที่ที่ไม่มีรถเลย เธอก็จะรอจนกว่าไฟเขียวคนข้ามได้เปิดก่อน เวลารอคิวเข้าห้องน้ำที่โรงเรียน ก็จะรอตามคิว แม้ว่าครั้งหนึ่งที่เธอไม่สบาย ท้องเสีย จนในที่สุดเธอก็ถ่ายรดตัวเองในคิว เพราะเธอไม่สามารถขอแซงคิวได้ และไม่สามารถจะทำตัวเรียกร้องขอความจำเป็นของตัวเองได้

จากตัวอย่างนี้ คริสตินได้ทิ้งบุคลิกที่ทำอะไรเพื่อตัวเองไปหมด เพราะเธอเติบโตมาในบริบทที่ทำอย่างนั้นแล้ว เธอกำลังหาเรื่องใส่ตัวเอง  อาจจะเจ็บตัว อาจจะถูกทำร้ายร่างกาย บริบทนี้ฝังลึกในองคาพยพแห่งจิตอย่างแนบแน่น เมื่อคริสตินไปอยู่ในสถานการณ์ที่จำเป็นต้อง visible ต้องเป็นตัวของตัวเอง เธอก็ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง

ทอมเติบโตขึ้นมาในบ้านนักธุรกิจ พ่อและแม่ทำงานนอกบ้านทั้งคู่ ประสบความสำเร็จ มีตำแหน่งเป็นผู้บริหารของบริษัท ทอมมีพี่ชายทำงานบริษัทของพ่อและมีตำแหน่งเป็นผู้จัดการ ตลอดชีวิตของทอมเห็นแต่คนทำงาน ทำงาน ทำงาน อย่างไม่หยุดยั้ง ไม่เคยมีคนอยู่เฉยๆ การนอนเล่นเอกเขนกบนโซฟาสำหรับบ้านของทอมเป็นบาปขั้นอุกฤติ ตารางการทำงานของทุกคนถูกกำหนดแน่นอน ตายตัว และเป็นที่เคารพทำตามยิ่งกว่าไบเบิ้ล รวมทั้งตารางการไปพักผ่อนประจำปี ถูกกำหนดไว้ล่วงหน้าหนึ่งปี สถานที่พัก ตั๋วเครื่องบินถูกบุ้คล่วงหน้า 10 เดือน รถเช่าและโปรแกรมต่างๆกำหนดไว้ล่วงหน้า 6 เดือน รวมทั้งชุดที่จะใส่ ของที่จะ pack กระเป๋าเสื้อผ้าถูกเตรียมไว้ 1 อาทิตย์ พร้อมทั้งของเทียวจริง และของ spared ในกรณีฉุกเฉิน เครื่องสุขภัณฑ์ ยาสามัญ ยาสำหรับกรณีฉุกเฉิน ถูกตระเตรียมไว้หมด กุญแจสำรองเข้าบ้านฝากไว้กับเพื่อนบ้านหนึ่งชุด และไว้กับเซฟที่ธนาคาร 1 ชุด

ชีวิตของทอมไม่เคยมีอะไรที่ไม่ได้เตรียมล่วงหน้า สิ่งที่จะทำให้ครอบครัวของทอมและตัวทอมเองหงุดหงิดมากที่สุดก็คือเรื่องที่ไม่คาดฝัน อุบัติเหตุทุกชนิด อะไรที่ไม่อยู่ในโปรแกรม ไม่อยู่ใน list รายการ

ทอมมีครอบครัว และทอมก็ดูแลครอบครัวเหมือนกับที่ตัวทอมถูกดูแล ทอมตระเตรียมทุกอย่างให้ลูก วางแผนทุกชนิด แบบเสื้อผ้า สี สไตล์ โรงเรียนที่จะไปเรียน ปิดนิกวันหยุด

ทอมกำลังมีปัญหากับลูกวัยรุ่นทั้งสองคน ที่ไม่ยอมทำตามรายการที่ทอมเตรียมไว้ ไม่ยอมใส่เสื้อผ้าที่ทอมซื้อ ไม่ยอมหัดเล่นเปียโนและไวโอลินที่จ้างครูมาสอนที่บ้าน กลับหาเรื่องอะไรแปลกๆทำให้เดือดรอ้นเสมอ ครูที่โรงเรียนก็บอกมาให้ผู้ปกครองทราบว่าลูกมีการหนีเรียน และทะเลาะกับเพื่อน ทอมเริ่มมีอาการปวดศีรษะ และตึงหัวไหล่ เมือยคอ ไปหาหมอทำกายภาพบำบัดก็ไม่ดีขึ้น อาการปวดหัวเริ่มเป็นถี่ขึ้นๆ จนเริ่มมีผลกระทบต่องาน ทอมเริ่มหงุดหงิด อยากจะพักบ้าง แต่ก็อีกสองเดือนกว่าจะถึงกำหนดวันพักร้อนที่ได้สำรอง จองทุกสิ่งทุกอย่างไว้

ทอมได้ทิ้ง archetype แห่งการผ่อนคลายไป ทิ้ง archetype แห่งการดูแลตัวเอง หรือการที่ just live หรือมีชีวิตตามปราถนา ตามสิ่งที่อยากทำ ณ ปัจจุบัน ทอมไม่เคยอยู่ในปัจจุบันขณะ หรือสถานที่ที่กำลังอยู่เดี๋ยวนี้เลย แต่จะคิดแต่เรื่องในอนาคตตลอดเวลา ปรากฏว่าเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน ที่ไม่ได้วางแผนก็เกิดขึ้นตลอดเวลา ความเครียดที่ก่ออาการแสดงออกมาเป็นความเจ็บป่วยทางกาย แต่ทอมก็ไม่สามารถเชื่อมโยง อาการทางกายเหล่านี้ กับสาเหตุที่แท้จริงได้เลย

เคธีเป็นพยาบาล เธอเคยมีประสบการณ์เฉียดตายครั้งหนึ่ง นานมาแล้วกว่า 20 ปี หลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เธอรู้สึกว่าชีวิตที่เหลืออยู่นี้ เป็นกำไรที่ได้รับมอบหมายภาระกิจอะไรบางอย่าง เธอจึงอุทิศเวลา กำลังกาย กำลังใจให้กับงานพยาบาล และทุ่มเทให้กับการดูแลผู้ป่วยระยะสุดท้าย ลำดับความสำคัญอันดับแรกจะมาจากคนไข้ที่เธอดูแลเสมอ หลังจากเสร็จงานประจำ เธอก็จะเดินเยี่ยมคนไข้เหล่านี้เป็นประจำ กลับบ้านดึกๆดื่นๆ คนไข้หลายคนมีเบอร์โทรศัพท์มือถือ ก็จะเรียกหาเคธี เคธีก็จะเดินทางมา รพ.ทันที ไม่ว่าจะเป็นเวลาใด เอาขนมมาให้ ดำเนินการติดต่อประสานงานต่างๆมาให้ ใครๆก็รักเคารพในความเป็นพยาบาลวิชาชีพของเคธี เอได้รับรางวัลจากองค์กร จากสังคม มากมาย

ต่อมาเคธีเริ่มรู้สึกแปลกๆ ใจสั่น หงุดหงิด มีอาการหายใจเร็ว เมื่อยล้าตามต้นคอ รอบๆเบ้าตา เธอคิดว่าเธออยากจะพัก แต่ก็กลัวว่าคนไข้จะไม่ได้รับการดูแล เธอจึงใช้วิธีรับประทานยารักษาอาการต่างๆแทน กินยาแก้ปวด ยาหย่อนคลายกล้ามเนื้อ ทายานวด ทายาชา แล้วก้รีบไปดูคนไข้เหมือนเดิม มีบางครั้งที่เคธีอยากจะหยุด แต่ก็จะคิดใหม่ และรีบไปดู ช่วยเหลือคนไข้เหมือนเดิม คิดว่าอาการของตัวเองในที่สุดก็จะหายไปเอง

แต่อาการไม่หาย และเริ่มเป็นมากขึ้นๆ

เคธีทิ้งไพ่การดูแลตนเอง เพราะสิ่งที่เธอถืออยู่คือ "การอุทิศให้" เป็นสรณะในการดำเนินชีวิต มากจนถึงขนาดร่างกายตนเองเริ่มแสดงอาการเรียกร้องขอความเห็นใจในลักษณะอาการต่างๆ

ทั้งสามคนเป็นตัวอย่างของชีวิตที่ขาดสมดุลของ archetype ทางจิตบางมิติ แม้ว่าตัวอย่างของทอม และเคธี อาจจะดูเผินๆเป้นชีวิตที่อุดมสมบูรณ์ มีคนนับหน้าถือตา ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน แต่ทั้งสองคนก็ไม่มีความสุขอย่างเต็มที่ และมองไม่เห็นว่าตนเองขาดอะไรไป ไม่ทราบว่าจะต้องทำอย่างไรแก่ชีวิตที่ "เกือบจะสมบูรณ์" นี้ให้ดีขึ้น

นอกเหนือจากความไม่สมบูรณ์ของบางมิติในการจัดการเรื่องราวของตัวเองและรอบตัว ทั้งสามคนนี้ก็ยังหงุดหงิด เมื่อพบเห็นเรื่องราวบางเรื่อง

ยกตัวอย่างคริสติน ไม่เพียงแต่เธอจะไม่ยอมทำตัวให้ใครๆมองเห็น เมื่อเธอไปอยู่ใกล้ๆหรือต้องมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่มี archetype มิติที่เธอขาดไป เธอก็จะรู้สึกหงุดหงิด หรือ "จี๊ด" ขึ้นมาทันที เช่น เวลาที่เจอเพื่อนที่ออกไป present หน้าชั้น หรือเห็นดารา นักร้อง พิธีกร ที่ทำหน้าที่ต่อหน้าสาธารณชนมากๆ ไม่เคอะเขิน คริสตินก็จะรู้วึกว่าคนเหล่านี้ช่างไม่เหมาะสม ไม่ถูก และหงุดหงิดขึ้นมา ที่ยิ่งไปกว่านั้น ในสภาพความเป็นจริงก็คือ คริสตินก็จะทราบว่าตนเองไม่สามารถทำสิ่งเหล่านี้ได้ โดยไม่รู้ตัวเธอก็จะแวดล้อมด้วยคนที่มีความสามารถเหล่านี้เพื่อมาเสริมสิ่งที่ไม่สมบูรณ์ เช่น จัดกลุ่มเรียนระหว่างเพื่อน คริสตินก็จะต้องอยู่ในกลุ่มที่มีคนกล้าแสดงออก กล้าพูดหน้าชั้น ทั้งๆที่ตนเองไม่ชอบ

ชีวิตของทอมที่เต็มไปด้วยตารางรัดตัว ทอมก็จะมองคนขี้เกียจอย่างดูถูก อย่างไม่ยอมรับ เพราะนั้นเป็น lifestyle ที่ไม่เพียงแต่เรื่อยๆเฉื่อยๆ แต่ในพจนานุกรมของทอมนั้น คนที่ขี้เกียจ เฉื่อยแฉะ เรียกว่าเป็นบาปอย่างยิ่ง ไม่ควรอาศัยอยู่ในโลกนี้ เมื่อไรที่ทอมเจอคนนอนเอกเขนกบนโซฟา เจอคนนั่งเฉยๆริมแม่น้ำทอดสายตาเหม่อลอย ทอมก็จะรู้สึกหงุดหงิด หรือ "จี๊ด" ขึ้นมา เชื่อหรือไม่ จากการที่ทอมเป็นแบบนี้ ในชีวิตใกล้ตัวทอม ก็จะเต็มไปด้วยคนที่มีลักษณะอย่างที่ทอมไม่ชอบอยู่ใกล้ๆ อาจจะเป็นภรรยา หรืออาจจะเป็นลูก ทำไมจะไม่ล่ะ ก็ในเมื่อทุกอย่างมีทอมคอยจัดการ คอยวางตาราง แล้วคนอื่นๆจะไปใช่พลังงานตรงนั้นทำไม ภรรยาของทอมก็จะไม่สนใจในรายละเอียดใดๆ เพราะทอมทำอยู่แล้ว ลูกๆก็จะขี้เกียจ และคอยรับการช่วยเหลือจากทอม รอการวางแผนจากทอมว่าจะทำอะไรต่อไป

เคธีที่อุทิศตนให้ผู้อื่นและสังคม ก็จะ "จี๊ด" ทุกโอกาสที่มีคนทำอะไรเพื่อตัวเอง เพราะสิ่งนั้นเคธีเรียกว่า "เห็นแก่ตัว" เคธีจะหงุดหงิดที่งานส่วนรวมไม่มีใครช่วยทำ (อีกแล้ว) ทำไมมีแต่ฉันคนเดียวที่มาร่วมงาน มาจัดงาน มา clear งานหลังเสร็จ เคธีเห็นคนไป shopping ซื้อของจุกจิกเล็กน้อยให้ตัวเอง ก็จะรู้สึกไม่ approve และคิดว่าทำไมคนพวกนี้สนใจแต่ตัวเองอยู่ได้ ยิ่งเห็นคนแต่งเนื้อแต่งตัว ออกกำลังกาย เต้นแอโรบิก ซื้อเสื้อผ้าสวยงามๆ เคธีก็จะรู้สึกโกรธมากขึ้น ปรากฏว่ารอบๆตัวเคธี ก็จะแวดล้อมไปด้วยคนที่ทำให้เคธีโกรธ คนที่วางงานแล้วไปทำอะไรให้ตัวเอง (ก็เพราะเคธีแย่งงานส่วนรวมไปทำหมดแล้วน่ะสิ) ทุกๆคนเห็นเคธีทำงานเพื่อคนอื่นอย่างทะมัดทะแมง เก่งกาจ ชำนิชำนาญ ก็หันไปทำอย่างอื่น ได้แก่ดูแลตัวเอง หรือแม้กระทั้งบางครั้งหันมาดูแลเคธีก็มี เพราะนั้นดูเป็นสิ่งเดียวที่เคธีต้องการความช่วยเหลือ

เรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญเสียทีเดียว

เมื่อเราพูดถึง archetype แต่เบื้องต้น การที่มนุษย์เกิดมานั้น มี archetypes สากลครบถ้วน เรียกว่ามีอวัยวะทางจิตครบนั่นเอง เพราะเรา "มีความจำเป็นจะต้องใช้" อวัยวะทุกส่วน เพื่อจะทำงาน หรือใช้ชีวิตได้เต็มศักยภาพที่เรามี ถ้าหากเราพิการ หรือจงใจ/ไม่จงใจ ที่จะไม่ใช้อวัยวะบางอย่าง มันก็จะเกิดการขัดเขิน ทำได้ไม่ดี ไม่สมบูรณ์ เหมือนกับว่าในกล่องเครื่องมือของเราเหลือแต่ค้อน ซึ่งไม่สามารถนำมาใช้วาดรูป ตัดกระดาษได้ แต่เรายังคงฝืนใจใช้มันก็จะทุลักทุเล ทั้งๆที่เราไม่ชอบ ในที่สุดเพื่อที่จะให้งานเสร็จ เราก็จะหาคนที่มีภู่กัน มีกรรไกร มาระบายสี มาตัดกระดาษให้ แล้วเราก็นั่งหงุดหงิดกับคนเหล่านี้ เพราะเราเคย disapprove สิ่งที่คนเหล่านี้ใช้อย่างช่ำชองไว้ก่อนแล้วนั่นเอง

ทุกครั้งที่เรา "จี๊ด" ใส่คนรอบกาย ไม่ว่าจะเป็นคนในครอบครัว หรือเพื่อนร่วมงาน พึงทราบไว้เถิดว่า สิ่งที่คนๆนั้นทำให้เราจี๊ด เป็นสิ่งที่เราเคยมี เคยทำ มาก่อนทั้งนั้น แต่ในช่วงชีวิตของเรา บริบทบางอย่างปลดความสามารถนี้ของเราลงไป ทำให้เราไม่ใช้ ไม่เคยชิน จะใช้ก็ขัดเขิน ไม่แนบเนียน ไม่คล่อง และเมื่อเราจำเป็นต้องใช้ เราก็จะพบสิ่งเหล่านี้อยู่ในคนรอบๆข้างเราเต็มไปหมด มิฉะนั้น เราจะไม่สามารถแก้ปัญหาร้อยแปดพันประการรอบตัวได้เพียงใช้อวัยวะทางจิตที่พิกลพิการที่เหลืออยู่เท่านั้น เราก็ "ขอยืม" มาใช้ก่อน

เจมีเขียนหนังสือเรื่อง The Benefit of the People Who bug You เป็นคู่มือในการทำ voice dialogue หรือการสนทนากับเสียงภายใน พัฒนาศักยภาพที่เต็มที่ของเราให้กลับคืนมาอย่างที่พวกเราทุกคน ได้ถูกออกแบบมาดีแล้ว สมบูรณ์แล้ว แต่แรกเริ่มนั่นเอง

 

คำสำคัญ (Tags): #archetype#voice dialogue
หมายเลขบันทึก: 156631เขียนเมื่อ 30 ธันวาคม 2007 13:57 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 22:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

ต้องอยู่กับปัจจุบัน

ต้องเรียนรู้เทคนิกการรู้สติใช่ไหมคะ

ถึงจะทำใจได้

สวัสดีปีใหม่ค่ะ

สวัสดีครับ คุณอุบล

 เอาเป็นอยู่กับปัจจุบัน และ "มีสติ" ดีกว่าครับ ลำพังรู้เทคนิกยังไม่พอครับ

สวัสดีปีใหม่เช่นกันครับ

สวัสดีค่ะอาจารย์

คนเรามี  various selves ซึ่งมันคงเหมือน ส่วนผสมของอาหาร เช่นแกงจับฉ่าย เป็นค้น แต่เมื่อเราตักผักแต่ละชนิดขึ้นมากิน เราก็ยังทราบความแตกต่าง ของผักแต่ละอย่างนะคะ

 ตามความเห็นของดิฉัน   วิธีจะแก้ไข ให้พฤติกรรม บุคลิก คุณค่า ความเชื่อ ที่เราได้ค่อยๆเพาะสร้าง สั่งสมเอาไว้ แต่เป็นเรื่องที่ไม่ดี ให้ค่อยๆเป็นสิ่งที่ดี ขึ้น ก็คงต้องอาศัยคำสั่งสอนทางศาสนานะคะ

 เพื่อให้จิตสำนึกสั่งสมแต่การกระทำที่ดี จนหล่อหลอมกลายเป็นคุณธรรมประจำใจไปในที่สุด ต่อไป

เมื่อจิตจะสั่งงานก็จะสั่งแต่ในทางที่ดี

EGO ตัวตน อัตตา ความเห็นแก่ตัวจะถูกฝังไว้ลึกลงไปในจิตใต้สำนึก โดยมีจิตสำนึกที่ดีคอยคุมอยู่ไม่ให้ออกมาทำงานได้

สิ่งทีจะคอยกำกับเราได้ คงจะเป็นการให้ มีสติรอบคอบเสมอในการคิด พูด และทำ

 ว่าพฤติกรรมของเราจะเกิดประโยชน์ไหม จะเบียดเบียนไหม ทำให้ผู้อื่นเสียใจไหม ผิดต่อสังคมไหม

นอกจากนี้ อาจารย์เห็นว่า เราจะแก้ไขตัวเองได้อย่างไรคะ

.

มาสวัสดีปีใหม่คุณหมอครับ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท