ในสังคมพม่า การแสดงความนอบน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่เป็นสิ่งสำคัญ ผู้น้อยมักหวังความเมตตาจากผู้ใหญ่ และผู้ใหญ่ก็ย่อมหวังความเมตตาจากผู้น้อย
ขอขมา
ในสังคมพม่า
การแสดงความนอบน้อมต่อผู้หลักผู้ใหญ่เป็นสิ่งสำคัญ
ผู้น้อยมักหวังความเมตตาจากผู้ใหญ่
และผู้ใหญ่ก็ย่อมหวังความเมตตาจากผู้น้อย
ความสัมพันธ์เชิงอุปถัมภ์แบบพม่าโดยยึดความเมตตาเป็นที่ตั้งนั้น
จะพบได้ในความสัมพันธ์ระหว่างพระสงฆ์กับชาวบ้าน พ่อแม่กับลูก
และครูกับศิษย์ เป็นต้น โดยถือว่า พระพุทธ
พระธรรม พระสงฆ์ บิดามารดาและครูอาจารย์เป็นอนันตคุณ
๕ หรืออนันตะงาบา ( voO9'jtxj X
และโดยธรรมเนียมของพม่าแล้ว
ชาวพม่าจะกราบไหว้เฉพาะกับอนันตคุณ ๕ และเทพเท่านั้น
ชาวพม่าจะไม่ยกมือไหว้บุคคลทั่วไป ดังนั้นในเวลาทักทายกัน
ชาวพม่ามักจะยิ้ม พยักหน้า หรือจับมือกันเท่านั้น
หากเป็นผู้มีอำนาจ อาทิ ผู้นำระดับสูงของประเทศ
แม้จะมิได้รวมอยู่ในอนันตคุณ ๕ ก็ตาม
แต่ก็พบว่าในระยะหลังกลับเริ่มเห็นเยาวชนและข้าราชการระดับล่างแสดงความเคารพผู้นำประเทศด้วยการยกมือไหว้ด้วย
แต่ไม่ถึงกลับต้องหมอบกราบอย่างกับกราบอนันตคุณ ๕
คำว่า “ กราบไหว้” ในภาษาพม่าจะว่า กะเด๊าะ ( doNg9kH X
คำนี้ปราชญ์พม่าสันนิษฐานว่าอาจมาจากคำว่า K’ou T’ou หรือ
Kotow ในภาษาจีน
พม่ากราบในแบบเบญจางคประดิษฐ์เหมือนไทยคือ
พนมมือจรดหน้าผากแล้วก้มกราบโดยวางฝ่ามือแนบกับพื้นและจรดหน้าผากไว้ระหว่างมือ
อย่างไรก็ตาม
คนพม่าบางคนอาจก้มกราบเพียงให้ปลายนิ้วชี้แตะพื้นแทนหน้าผาก
คำว่า กะเด๊าะ ยังมีความหมายว่า “ ขมา”
ความหมายนี้สามารถสาวได้จากตำนานเมืองพุกาม
ที่พุกามมีเจดีย์องค์หนึ่ง ชื่อว่า กะเด๊าะปะลีง ( doNg9kHx]]'N X
กะเด๊าะก็คือ “ขมา” และปลีงคือ บัลลังก์ ในสำเนียงพม่า
เจดีย์องค์นี้มีตำนานเล่าว่า พระเจ้านรปติสี่ตู่ ( oix9b0PNl^ X
เป็นผู้สร้างในปี ค.ศ. ๑๒๐๓
และสร้างโดยมิได้ใช้พระราชอำนาจของพระองค์เกณฑ์ผู้คนให้เดือดร้อน
แต่ด้วยทรงสิ้นพระชนม์เสียก่อนจึงสร้างไม่แล้วเสร็จ
กษัตริย์องค์ต่อมาคือ ทีโหล่มีงโหล่ ( 5ut]b6,'Nt]b6 X
ได้สร้างต่อมาจนเสร็จ ณ จุดที่สร้างเจดีย์องค์นี้
กล่าวว่าแต่ก่อนเคยมีบัลลังก์วางคีมสำหรับพิพากษาโทษ
และพระเจ้าอลองสี่ตู่ ( vg]k'Nt0PNl^ X
ก็เคยมาขอขมาที่บัลลังก์นี้
ด้วยได้กล่าวจ้วงจาบบรรพบุรุษว่ามิมีบารมีเสมอตน
นอกจากนี้พระเจ้านรปติสี่ตู่เองก็เคยทำพิธีขอขมาต่อพระอาจารย์ปั้งตะกู่
ณ บัลลังก์นี้ด้วยเช่นกัน
และเมื่อพระองค์ได้ทรงสร้างเจดีย์สวมบนบัลลังก์นั้น
เจดีย์จึงมีชื่อดังกล่าวในความหมายว่า “ บัลลังก์ขอขมา”
การขมาจึงถือเป็นธรรมเนียมพม่ามาแต่โบราณ
ในปัจจุบัน
พม่ามีธรรมเนียมการขอขมาผู้ใหญ่และการขอพรต่อสิ่งศักด์สิทธิ์
โดยจัดวางเครื่องบูชาที่เรียกว่า กะเด๊าะบแว ( doNg9kHx:c X
เครื่องบูชาจะประกอบด้วย มะพร้าว ๑ ผล วางเคียงบนถาดพร้อมกล้วยดิบ ๓-๔
หวี และอาจจัดเมี่ยง หมาก ยาสูบ ใบหว้า ดอกไม้
ธูป เทียน ฉัตร วางรวมไว้ด้วย
มีคำอธิบายสิ่งที่ประกอบเป็นกะเด๊าะบแวไว้ว่า
เนื้อมะพร้าวและกล้วยแทนธาตุดิน เทียนแทนธาตุไฟ
น้ำมะพร้าวแทนธาตุน้ำ ฉัตร ตุงและพัดแทนธาตุลม
และธูปแทนอากาศธาตุ ในการประกอบเป็นเครื่องบูชานี้
สิ่งสำคัญที่สุดคือมะพร้าวและกล้วย
เพราะถือเอาว่าทั้งสองสิ่งนั้นมีธาตุแห่งความสำร็จ
ในสังคมพม่าจะพบว่า มีการจัดเครื่องบูชากันอยู่เสมอ
เช่น เครื่องบูชาพระพุทธเพื่อขอความคุ้มครอง
เครื่องไทยธรรมในงานฟังธรรมและงานบวช
เครื่องบูชาพระสงฆ์และผู้มีพระคุณหรือเจซูฉี่ง ( gdyt=^tia'N X
และยังมีเครื่องบูชาเทพในงานพิธีสำหรับกิจกรรมต่างๆ เช่น
การแสดงละคร ดนตรี หรือภาพยนตร์ นอกจากนี้
ชาวพม่าจะถวายเครื่องบูชาพระอุปคุตเพื่อไม่ให้ฝนตก
บูชาพระสาลีบุตรเพื่อขอลาภ และในเวลาขึ้นบ้านใหม่
ซ่อมถนนหรือขุดบ่อน้ำ จะบูชาเจ้าที่เจ้าทาง เป็นต้น
พม่ายังเชื่ออีกว่าการถวายเครื่องบูชาจะช่วยล้างบาปและอกุศล
นอกเหนือจากเพื่อเพิ่มกุศล
นำความสำเร็จและได้รับความเมตตา
การถวายเครื่องบูชาต่อปูชนียบุคคลและสิ่งศักดิ์สิทธิ์
จึงมิใช่เป็นเพียงการแสดงความเคารพหรือขอขมา
หากยังหวังความเมตตาและความสัมฤทธิ์อีกด้วย
ในการมอบเครื่องบูชานั้นนิยมจัดในช่วงสงกรานต์และออกพรรษา
โดยเฉพาะในช่วงสงกรานต์พม่าจะจัดงานไหว้ผู้สูงอายุ
เรียกว่า แต๊ะจีบูซอ-บแว ( ldNWdutx^g=kNx:c X
ส่วนงานไหว้ครูซึ่งเรียกว่า อาซาริยะบูซอ-บแว (vk0kibpx^g=kNx:c X
นั้น จะมีในช่วงสอบปลายภาค ออกพรรษา
และช่วงสงกรานต์
นอกจากเครื่องบูชาอันมีมะพร้าวและกล้วยเป็นสำคัญนั้น
พม่ายังมีธรรมเนียมมอบของกำนัลซึ่งเรียกว่า กะเด๊าะปิจซี
(doNg9kHx00PNt X ส่วนมากจะได้แก่ เสื้อ โสร่ง ซิ่น
ปิ่นโต อาหารหรืออาจเป็นเงิน
นอกจากนี้ คำว่า กะเด๊าะ
ยังมีความหมายว่า“ขอโทษ”ได้ด้วย โดยจะพูดว่า
กะเด๊าะบ่าเตแย่ะ ( doNg9kHxjgltich X
หรือพูดซ้ำว่า กะเด๊าะ-กะเด๊าะ หากคุ้นเคยกันจะพูดว่า
มะต่อโละหนอ ( ,g9kN]b6hgokN Xเทียบได้กับ
“ไม่ได้ตั้งใจนะ” อย่างไรก็ตาม คำที่พบใช้กันบ่อยๆ
คือ ซอรี่ ( Sorry ) และในเวลาใส่บาตร
ถ้าพระมาบิณฑบาตในเวลาที่ชาวบ้านทำอาหารยังไม่เสร็จหรืออาจไม่มีเจตนาจะใส่บาตรในเช้านั้น
เพื่อมิให้พระท่านเสียเวลารอ ก็จะกล่าวขอโทษว่า
กะเด๊าะซูนบ่าพะยา ( doNg9kHC:,Ntxj46ikt X แปลว่า “
ขอถวายอภัยภัตรเจ้าค่ะ”พระท่านก็จะเข้าใจว่าวันนี้ไม่มีอาหารจะถวาย
กะเด๊าะนับเป็นคำพม่าที่ได้ยินกันบ่อยๆจนคุ้นหู
วิรัช
นิยมธรรม