สายสัก


ในสมัยก่อนผู้ชายพม่านิยมสักลาย โดยนิยมสักที่เอวจนถึงหัวเข่า สีที่ใช้สักมักจะเป็นสีดำหรือสีน้ำเงินเข้ม และมีบ้างที่ใช้สีแดง พม่าเรียกลายสักว่า โท-กวีง
ลายสัก
ในสมัยก่อนผู้ชายพม่านิยมสักลาย  โดยนิยมสักที่เอวจนถึงหัวเข่า  สีที่ใช้สักมักจะเป็นสีดำหรือสีน้ำเงินเข้ม  และมีบ้างที่ใช้สีแดง พม่าเรียกลายสักว่า  โท-กวีง ( 5b6td:'Nt) แปลตามศัพท์ว่า “วงสัก”หรืออาจเรียกว่า มีงจ่อง ( ,'NgEdk'N) แปลว่า “ ลายหมึก” หากสักไว้รอบเอวจะรียกว่า คาจ่อง (-jtgEdk'N ) ส่วนคำสำหรับ “ยันต์”  ซึ่งนิยมสักไว้บนกายเช่นกันนั้น  พม่าจะใช้ว่า  อีง ( v'Nt )
มีตำนานเล่าว่าการสักนี้มีมาแต่สมัยศรีเกษตร  เกิดจากนิมิตของพระสงฆ์นามว่า อูอุตมะสีรีมะเถร  พระรูปนี้ฝันว่าได้พบอักขระในหนังสือบุดสัมฤทธิ์  ซึ่งได้มาจากท้องจรเข้  อักษรที่บันทึกนั้นเป็นอักษรวิเศษ  จึงได้มีการลอกอักษรเหล่านั้นลงบนเนื้อหนังของคนด้วยสีแดงและดำ จนมาถึงในสมัยพุกาม พระนอกรีดฝ่ายอเยจีได้สักลายอักขระดังกล่าวให้กับชาวบ้าน  ซึ่งเชื่อว่าได้กลายเป็นธรรมเนียมที่นิยมสืบต่อกันมา  นอกจากนี้ข้อเขียนที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ จองตาตะดีงส่า ในปี ค.ศ. ๑๙๔๐  กล่าวไว้ว่า การสักลายของพม่าพบในสมัยพระเจ้าโพด่อพญา ( ค.ศ.๑๑๔๓ – ๑๑๘๑ ) วิธีสักลายนิยมสักจากเอวจนถึงหัวเข่า  ส่วนเหตุที่ชาวพม่านิยมสักลายกันนั้น  เป็นเพราะในสมัยก่อน   เวลาทำนาหรือออกรบผู้ชายมักจะต้องนุ่งผ้าถกเขมร  ลายสักจึงถือเป็นเครื่องแสดงความเป็นลูกผู้ชาย และถือว่าผู้มีลายสักเป็นผู้ที่มีความอดทนและกล้าหาญ  ดังนั้นผู้ชายที่ไม่สักลายมักจะถูกดูแคลน นั่นหมายรวมถึงอาจไม่เป็นที่หมายปองของหญิงสาวอีกด้วย
ในการสักลายนั้น  นอกจากสักที่เอวจนถึงเข่าแล้ว ผู้ชายพม่ายังนิยมสักบนร่างกายส่วนอื่นอีก เช่น ที่ต้นคอ ไหล่  ท้ายทอย บางคนสักไว้ตามจุดสำคัญทั่วตัว เริ่มจากหัวจรดเท้า ด้วยเชื่อว่าเป็นการป้องกันอันตราย ทั้งยังอยู่ยงคงกระพัน  และมีอำนาจจิต  แบบที่พม่าเรียกว่า  กายสิทธิ์  ( dkplbmbT ) และปิยสิทธิ  (xuplbmbT ) นั่นคือสามารถทนไม้ ( 969Nexut ) ทนดาบ ( Tktwxut ) และทนโรค ( gik8jwxut ) ได้  ถ้าหากสักที่บริเวณปาก  เชื่อว่าจะช่วยป้องกันพิษที่อาจจะติดมากับอาหารได้ด้วย  และหากสักเป็นรูปแมวจะมีความคล่องแคล่วว่องไว เป็นต้น
สีสำหรับสักมีข้อแตกต่างกันที่ตำแหน่งสัก สีแดงจะสักบริเวณร่างกายตอนบนแถวหน้าอก  คอและต้นแขน  เป็นการสักเพื่อป้องกันงู  ช่วยให้หนังเหนียว  รวมถึงเพื่อความงาม  รูปที่สักนิยมเป็นรูปเทพ  นาค  ครุฑ ยักษ์และกินรา  หากเป็นสีดำจะสักจากบริเวณเอวลงมาถึงข้อเท้า  โดยจะสักเป็นลายไม้เถา  ในสมัยอังวะพบว่ามีการใช้สีดำสักบริเวณส่วนบนของร่างกาย
ในอดีต  หนุ่มพม่าทุกคนจะต้องสักลายบนร่างกาย เล่ากันว่าในเวลาสักนั้น  ผู้ถูกสักจะพยายามไม่แสดงสีหน้าเจ็บปวดและจะไม่ร้องโอดโอย  เพราะกลัวถูกเย้ยหยันและน่าอับอาย  ดังนั้นในเวลาสัก  ผู้ถูกสักจึงต้องขบลูกหมากไว้ที่กรามเพื่อช่วยข่มอาการเจ็บปวด  มีผู้บรรยายความรู้สึกจากการสักไว้ว่า “พอถึงย้อยก้นแทบอยากก่นหมอ” การสักลายจึงเป็นเรื่องทรมานกายมิใช่น้อย  หากผ่านได้ก็ย่อมมีใจฮึกเหิม
ปัจจุบันการสักลายที่เอวจนถึงหัวเข่าไม่ค่อยเป็นที่นิยมของชาวพม่านัก  การสักเป็นบางที่เพื่อคุ้มกันตัวนั้นยังคงมีสืบมาจนปัจจุบัน  โดยมากยังนิยมในหมู่ชายฉกรรจ์  หรือแม้แต่พระสงฆ์  นอกจากนี้การสักเพื่อความงามหรือเพื่อความโก้เก๋ก็เป็นที่นิยมในหมู่วัยรุ่นบางกลุ่ม    ปัจจุบันการบริการสักลายยังสามารถพบเห็นได้ในงานวัด  แต่เป็นวิธีสักด้วยมอเตอร์  ผู้รับบริการสามารถเลือกลวดลายได้มากและใช้เวลาในการสักไม่นานนัก
ความนิยมการสักยันต์ยังพบมากในพื้นที่ชนบท  โดยเฉพาะในพื้นที่ของรัฐฉาน  และพบว่าผู้ชายพม่าที่อายุเกิน  ๕๐  ไปแล้ว มักมีรอยสักไม่ที่ใดก็ที่หนึ่ง  นั่นอาจเป็นเพราะเมื่อราว  ๓๐ – ๔๐ ปีก่อน การสักยังคงเป็นที่นิยม และมักสักเป็นรูปสัตว์  อาทิ  งู  นาค  แมว นกคุ้ม  และจิ้งจก ทั้งยังพบว่ามีการสักเป็นรูปองค์เจดีย์และพระพุทธรูปหรืออาจเป็นคาถาหรืออักษร  อาทิ  อรหัง  (vis" ) หรือ สัตติ (l9b9 ) เป็นต้น สำหรับรูปพระและเจดีย์นั้น  เข้าใจว่าสักกันเมื่อตอนบวชเป็นพระ  สัญลักษณ์ทางพุทธศาสนาจึงได้กลายเป็นยันต์ไปด้วย
สำหรับในกรณีที่สักเป็นรูปจิ้งจกนั้น  มีเรื่องเล่าว่า  ในอดีตมีจอมขโมยหรืออาจเรียกว่าจอมโจรผู้หนึ่ง นามว่า  งะแต๊ะปยา  ('9dNexkt ) ชายผู้นี้เป็นขโมยชั้นยอดจนถูกขนานนามว่า ขโมยแห่งราชสำนัก(ooNt9:'Ntl^-b6t ) งะแต๊ะปยาสามารถเหาะเหินและกระโดดไปมาได้ไกลอย่างจิ้งจก  และชอบที่จะขโมยสิ่งของจากผู้ที่คดโกงหรือเศรษฐีขี้เหนียว  เพื่อมาแจกจ่ายให้กับคนยากจน   เหตุที่จอมขโมยผู้นี้มีฤทธิ์มาก  ก็เนื่องเพราะที่ตนมีลายสักรูปจิ้งจกไว้ที่หน้าขาทั้งสองข้าง   ขาข้างหนึ่งสักเป็นรูปจิ้งจกหันหัวขึ้น  ส่วนอีกข้างหนึ่งเป็นรูปจิ้งจกหันหัวลง   เวลาจะกระโดดขึ้นก็จะตบที่หน้าขาตรงที่จิ้งจกหันหัวขึ้น  เวลาจะกระโดดลงก็จะตบที่หน้าขาอีกด้าน  งะแต๊ะปยา  จึงเปรียบเป็นโรบินฮูดของพม่า  หากแต่ว่างะแต๊ะปยาเป็นคนมีร่างผอม   ขี้ริ้วและจมูกแหลม  พอปัจจุบัน  เมื่อเอ่ยถึง งะแต๊ะปยา ชาวพม่ามักจะนึกไปถึงพวกหัวขโมยมากกว่าจอมโจร  ดังนั้นคนที่สักลายจิ้งจกแบบงะแต๊ะปยาจึงอาจถูกล้อและท้าให้แสดงฤทธิ์อย่างงะแต๊ะปยา   แถมยังแช่งชักว่าเวลาตบที่ลายจิ้งจกหัวลง  ตัวจะหล่นฮวบทะลุดินจ่มดิ่งถึงนรก  การล้อเลียนผู้ที่มีลายสักจึงมีส่วนลดความเชื่อถือในฤทธิ์หรือเสน่ห์ของลายสักลงไปมาก
วิรัช นิยมธรรม
คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 15595เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2006 19:16 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มิถุนายน 2012 03:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

เป็นสาระที่ดีมากครับ ผมอยากรู้เรื่อง การสักของพม่า ในทุกด้าน การค้า สาวหลง หนังเนียว อื่นๆ ก็อยากสักบ้าง เป็นไปได้อยากไปสักที่โน้นเลย เพราะเชื่อว่าที่นั่นคงจะคลังแน่นอน อยากมีสักลายบนตัว ตอนนี้ยังไม่มีครับ ขอความกรุณาไปยังคุณพงศกร ช่วยให้ข้อมูลด้วยคับ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท