GotoKnow

งามด้วยตะนะคา

นาย พงศกร เบ็ญจขันธ์
เขียนเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ 2006 18:49 น. ()
แก้ไขเมื่อ 21 มิถุนายน 2012 14:05 น. ()
"ผิวพม่า นัยน์ตาแขก" นับเป็นคำพังเพยที่แฝงคตินิยมด้านความงามที่ชาวไทยมีต่อ สาวพม่าและสาวแขก ผู้หญิงไทยที่รักสวยรักงามเมื่อ ๒๐-๓๐ ปีก่อน หากอยากมีผิวสวยเนียนและตาคม ก็จะนิยมใส่ขนตาปลอม
งามด้วยตะนะคา

 

"ผิวพม่า นัยน์ตาแขก" นับเป็นคำพังเพยที่แฝงคตินิยมด้านความงามที่ชาวไทยมีต่อ สาวพม่าและสาวแขก ผู้หญิงไทยที่รักสวยรักงามเมื่อ ๒๐-๓๐ ปีก่อน หากอยากมีผิวสวยเนียนและตาคม ก็จะนิยมใส่ขนตาปลอมและเขียนคิ้วเขียนตาเพียงเพื่อให้ดวงตาดูคมโต ส่วนผิวพรรณนั้นก็ทากันด้วยแป้ง มีทั้งแป้งน้ำ แป้งผง แป้งเม็ด จนถึงแป้งพัฟ ผิวพรรณเนียนและดวงตางามจึงเป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งที่สาวไทยปรารถนา ส่วนความงามสำหรับสาวพม่านั้นจะเน้นที่ผิวพรรณและเรือนร่าง หญิงพม่าที่มองดูสวยจะต้องเป็นสาวร่างอวบ ผิวตึง จึงต้องหมั่นดูแลผิวพรรณของตนให้ดูดีอยู่เสมอ ทั้งที่เรือนกายและบนใบหน้า ด้วยวิธีอันเรียบง่ายแบบพื้นบ้านซึ่งยังคงสืบทอดมาจนถึงปัจจุบัน

 

ชาวพม่าดำรงวิธีการดูแลรักษาผิวพรรณด้วยเนื้อไม้ชนิดหนึ่ง ซึ่งนิยมสืบทอดกันมายาวนานทีเดียว เนื้อไม้นั้นก็คือ ตะนะคา (loxN-jt) กล่าวได้ว่าตะนะคาเป็นเครื่องประทินผิวอยู่คู่กับชาวพม่าตลอดมา สำหรับไม้ตะนะคานั้น เป็นพันธุ์ไม้ยืนต้นชนิดหนึ่ง เป็นไม้ตระกูลเดียวกับไม้แก้ว มีชื่อทางพฤกษศาสตร์ว่า Limonia acidissima Linn. ชอบขึ้นในเขตร้อน ทนความแห้งแล้ง ลำต้นสูงราว ๒๐-๓๐ ฟุต มีเปลือกผิวขรุขระ ใบเป็นช่อ เนื้อไม้ตะนะคาส่วนที่เป็นเปลือกและผิวเนื้อไม้จะมีกลิ่นหอมเย็น มีสีออกเหลืองนวล ในประเทศพม่าพบต้นตะนะคามากทางภาคเหนือตอนล่าง แถบเมืองปะโคะกู่ ปะคัน มยีงฉั่ง แปร ชเวโบ สะกาย และมัณฑะเล ชาวพม่าทั่วไปคุ้นเคยกับตะนะคากันเป็นอย่างดี แทบทุกบ้านจึงมักมีท่อนไม้ตะนะคาวางไว้คู่กับกระจกเสมอ ด้วยเพราะหญิงชาวพม่าจะต้องใช้ตะนะคาทาผิวทุกครั้งหลังอาบน้ำ สาวพม่าจะมีความผูกพันในกลิ่นและความเนียนของเนื้อไม้ตะนะคาอย่างขาดแทบไม่ได้ ด้วยตะนะคาช่วยให้ผิวเกลี้ยงเกลา ดูเนียนและนุ่มนวล ช่วยรักษาผิวหน้า ขจัดสิวและฝ้า และกันเปลวแดด หากใช้ทาหลังอาบน้ำจะทำให้เนื้อตัวเย็นสบาย

 

เสน่ห์ของตะนะคามิได้มีเพียงคุณสมบัติของเครื่องประทินผิว แต่ตะนะคายังมีประโยชน์ขนาดเข้าตำรับยาพื้นบ้านของพม่า ที่เรียกว่า บะยะเซ (4pgCt) มีฤทธิ์เป็นกลาง ไม่ร้อนเกินไป ไม่เย็นเกินไป ความร้อนเย็นเสมอกัน ขมเล็กน้อย และมีกลิ่นหอม หากใช้ภายนอกจะช่วยแก้อาการคัน ดับกลิ่นฆ่าความชื้นบนผิวกาย นอกจากนี้ ตะนะคายังอาจนำมาปรุงเป็นยาสำหรับรับประทาน โดยนำใบ ดอก ผล และรากมาใช้รักษาโรคต่างๆ อาทิ ใบสดใช้รักษาโรคลมบ้าหมู ต้มอาบเพื่อขับเหงื่อรักษาโรคผิวหนัง ต้มผสมเกลือแก้ไข้จับสั่น ใบแห้งบดเป็นผงผสมลูกหมากแก้โรคท้องมาน ผลแก้พิษ บำรุงกำลังป้องกันนิ่ว รากใช้ระบายท้อง ขับเหงื่อ รากและดอกอ่อนผสมน้ำผึ้งแก้พิษงู อีกทั้งเปลือกใช้ดมบรรเทาอาการวิงเวียน ตะนะคาจึงมีค่าเกินกว่าเครื่องประทินผิว

 

หลักฐานที่ชาวพม่าเริ่มใช้ตะนะคามาตั้งแต่เมื่อไรนั้นยังไม่พบแน่ชัด บ้างเชื่อว่าการใช้ตะนะคาเป็นเครื่องประทินผิวน่าจะมีมาพร้อมกับชาวพม่า นับแต่ยุคเมืองตะกอง ที่พม่าเชื่อกันว่าเป็นเมืองเก่าแห่งแรกของชนชาติพม่า บ้างอ้างจากตำนานที่กล่าวถึงพระเจ้าอะลองสี่ตู คราเสด็จไปยังดอยฉิ่งมะต่อง(ia'N,g9k'N) เขตเมืองปะคัน ซึ่งเป็นดอยที่อุดมด้วยต้นตะนะคา ขณะทรงแปรพระราชฐานอยู่ ณ ที่นั้น บังเอิญพระมเหสีได้ทำผอบเครื่องหอม(o"hlk)ตก เป็นเหตุให้ต้นตะนะคาที่งอกใหม่ภายหลังนั้นมีกลิ่นหอมขึ้นมากกว่าแต่ก่อน จากความเชื่อและตำนานคงบอกได้เพียงว่า ชาวพม่าน่าจะใช้ตะนะคาเริ่มมาแต่พม่าตอนบน ซึ่งเป็นพื้นที่ของป่าตะนะคามาจนถึงปัจจุบัน แล้วจึงค่อยๆแพร่สู่ผู้ใช้ในถิ่นอื่น จนถึงเขตพม่าตอนล่าง ชาวพม่าเชื่ออีกว่าเจ้าตำรับในการใช้ตะนะคาเป็นเครื่องประทินผิวน่าจะเริ่มมาแต่ในวัง ถึงกับมีชื่อเรียกตะนะคาตำรับชาววัง ที่ว่า นันโตงตะนะคา (ooNtl6"tloxN-jt) และกล่าวกันว่าตะนะคาตำรับชาววังนี้เป็นตะนะคาชั้นเลิศทีเดียว แต่ปัจจุบันกลับเป็นเพียงคำที่ผู้ผลิตแป้งตะนะคาใช้ประกอบโฆษณาอวดสรรพคุณสินค้าของตนเท่านั้น

 

วิธีใช้ตะนะคาเป็นเครื่องประทินผิวนั้น ต้องเอาตะนะคาที่ตัดเป็นท่อน ขนาดหนึ่งคืบหรือครึ่งฟุต นำมาฝนบนแผ่นหิน เจือด้วยน้ำเพียงเล็กน้อย ผงตะนะคาจะต้องละลายเป็นแป้งน้ำเสียก่อน จึงจะนำมาทาให้ติดผิวได้ พม่าเรียกน้ำตะนะคานี้ว่า นั่งต่าเหย่ (o"hlkiPN) เรียกท่อนตะนะคาว่า ตะนะคาโดง(loxN-jt96"t) และเรียกแผ่นหินฝนตะนะคาว่า เจ้าก์เปี่ยง(gdykdNxyfN) กล่าวกันว่าเดิมทีเดียวนั้นพม่ายังไม่ได้นำเจ้าก์เปี่ยงมาใช้ฝนตะนะคา หากแต่จะฝนเอาผงตะนะคาตามแผ่นหินที่อยู่แถวริมน้ำ ต่อมาจึงมีการสกัดหินเป็นแผ่นแบนกลม ขนาดพอเหมาะ เป็นวงขนาดฝ่ามือ หรือราวคืบก็มี ทำขอบแผ่นหินเป็นร่องโดยรอบ สำหรับรองแป้งน้ำตะนะคา พม่าเรียกร่องนี้ว่า เหย่ขั่งแต(gi-"9PN) ส่วนพื้นที่กลางแผ่นเจ้าก์เปี่ยงจะทำเรียบปล่อยนูนเพียงเล็กน้อยเพื่อให้แป้งน้ำตะนะคาไหลลงร่องรอบแผ่นเจ้าก์เปี่ยง และเรียกส่วนนูนนี้ว่า มยิ่งโม(e,'NH,6b) เชื่อว่าการใช้เจ้าก์เปี่ยงน่าจะมีมาตั้งแต่สมัยตะเยเขตะยาหรืออาณาจักรศรีเกษตร ก่อนสมัยพุกามเสียอีก แต่กลับพบหลักฐานการใช้เจ้าก์เปี่ยงครั้งแรกในสมัยอังวะนี่เอง ชาวพม่าถือว่าเจ้าก์เปี่ยงเป็นของสูง เพราะใช้ฝนแป้งทาหน้า จึงต้องเก็บเจ้าก์เปี่ยงเป็นอย่างดี ห้ามมิให้ ผู้ใดเดินข้าม อีกทั้งยังเชื่อว่าเจ้าก์เปี่ยงมีนัตหรือเทพคอยดูแลรักษา ในวันแรม ๑ ค่ำหลังออกพรรษา ผู้เชื่อถือนัตเจ้าก์เปี่ยงจะต้องเซ่นบูชานัตตนนั้นและขอพรให้งามสมปรารถนาหรือให้งามอยู่ไม่สร่าง ซึ่งชาวพม่าจะกล่าวเป็นถ้อยคำขอพรว่า v]a96btgvk'N g0k'N,xj แปลว่า "ขอให้งามยิ่งๆขึ้นเทอญ" ชาวพม่ายังนิยมตกแต่งเจ้าก์เปี่ยงให้ดูงาม มีการลงลวดลาย บ้างเพิ่มขาของเจ้าก์เปี่ยงให้เป็นรูปหน้าสิงห์ก็มี ส่วนชนิดของหินที่นำมาทำเจ้าก์เปี่ยงให้มีคุณภาพดีนั้น มักเป็นหินเนื้อดีที่ได้มาจากเมืองสะกาย (00Nd6b'Nt) และเมืองมะเกว(,gd:t) ซึ่งอยู่ทางตอนบนของประเทศ

 

หากว่าไปแล้ว คนพม่าจะใช้ตะนะคาทาผิวกันตั้งแต่เกิดจนตาย เริ่มแต่วัยเด็ก แม่หรือ แม่เฒ่าจะทาตะนะคาให้ลูกหลานชายหรือหญิงที่ยังเล็ก โดยแต้มตะนะคาเริ่มที่หน้าผากดั้งจมูก และแก้ม แล้วละเลงจนทั่วใบหน้า จนถึงหู และลำคอตลอดจนลำตัว จากนั้นจึงป้ายตะนะคาเป็นวงบนแก้ม วงที่ดูงามต้องเป็นวงกลม ฉะนั้นยิ่งป้ายได้กลมเท่าไร ก็ถือว่าฝีมือประณีต เด็กมักถูกผู้ใหญ่คะยั้นคะยอให้ทาตะนะคา หากอยากมีผิวสวยไปจนโตและจนแก่เฒ่า ยามเมื่อโตขึ้นหญิงสาวจะป้ายวงตะนะคาบนแก้มทั้งสองข้างให้ดูงามโดยป้ายเป็นรูปวงหรือริ้วลายตามใจชอบ บ้างป้ายเป็นวงกลมให้ดูน่ารัก บ้างป้ายเป็นแถบให้ดูคมคาย บ้างป้ายเป็นแนวรูปลอยนิ้วมือชวนให้ดูเก๋ บ้างป้ายเป็นริ้วลายให้ดูแปลกตา และบ้างทาเรียบไม่แต่งลายหรือป้ายวงเพื่อให้ดูเรียบร้อย การทาตะนะคาของสาวพม่าจึงจัดเป็นแฟชั่นและสะท้อนลักษณะนิสัยได้ในตัว เวลาเกี่ยวข้าวดำนา ซึ่งต้องสู้แดดสู้ลมนั้น สาวพม่ามักต้องทาตะนะคาเพื่อกันแดดลมกล้ำกรายผิว ตะนะคาจึงเปรียบเสมือน "ร่ม" คลุมผิว ไม่ให้ต้องแดดต้องลมมากเกินไป และในบางเวลาอาจพบสาวพม่าบางคนทาแป้งตะนะคาเป็นลายตลอดท่อนแขน ขา และทั่วตัว ซึ่งจะเรียกพอกตะนะคาก็ว่าได้ แต่นั่นคือการทาตะนะคาเพื่อประทินผิว ว่ากันว่าเนื้อตัวของแม่หญิงพม่าที่ทาตะนะคาเป็นประจำนั้น จะเต่งตึงอยู่เสมอ แม้วัยล่วงเลย ๖๐ ไปแล้ว ผิวพรรณก็ไม่เหี่ยวแห้งไปตามวัย ส่วนผู้ชายหลังจากผ่านวัยเด็กแล้ว มักจะไม่ทาตะนะคาที่แก้ม แต่จะใช้ตะนะคาก็ต่อเมื่อเป็นสิว แก้ผดผื่นคัน หรือ ทาเนื้อตัว ให้เย็นสบายคลายร้อน แม้ในงานบวชเณร ก็จะมีการแต่งแต้มหน้าทาหัวให้กับเณรน้อยด้วยตะนะคาเช่นกัน นอกจากนี้ตะนะคาไม่ได้นำมาใช้ทาเฉพาะคนเป็นเท่านั้น เมื่อตายไปญาติๆยังทาตะนะคาให้อีกด้วย แต่จะทาให้เฉพาะบนใบหน้าเท่านั้น ไม่ทาที่หูและที่ลำคออย่างคนเป็น ฉะนั้นยามทาตะนะคาที่ใบหน้า จะต้องป้ายให้ถึงหูและคอ ถ้าทาเฉพาะหน้าให้ขาววอกเพียงส่วนเดียวอาจถูกทักว่าทาหน้าเป็นผีอย่างคนตาย ทำให้ดูไม่เป็นมงคล

 

ปัจจุบันรูปแบบของตะนะคาได้พัฒนาขึ้นจากขายเป็นท่อนมาป่นเป็นผงด้วยเครื่องจักรทันสมัย แล้วบรรจุซอง บรรจุขวด ใส่ตลับ ตลอดจนผสมเป็นแป้งน้ำ และอัดเป็นก้อน ตะนะคาจึงกลายเป็นสินค้าสำเร็จรูปจากโรงงาน ไม่เพียงแต่วางขายเป็นท่อนอีกต่อไป ตะนะคาที่วางขายในตลาดจึงมีรูปแบบเพิ่มขึ้นมา อาทิ ตะนะคาก้อน (loxN-jtv-c) ตะนะคาผง (loxN-jtv,AoNh) ตะนะคาน้ำ (loxN-jtviPN) และ ตะนะคาเมคอัพ (loxN-jt,b9NdxN) นับเป็นทางเลือกใหม่สำหรับคนยุคปัจจุบัน ที่ขี้เกียจเสียเวลานั่งฝนท่อนตะนะคา อย่างไรก็ตามชาวพม่ายังคงนิยมฝนตะนะคาใช้เอง เพราะผงจากท่อนตะนะคาแท้ๆจะมีกลิ่นและเนื้อแป้งดีกว่า ในขณะที่ตะนะคาสำเร็จรูปจะเจือเนื้อแก่นไม้หรือรากที่จะทำให้คุณภาพของตะนะคาด้อยลงไป ผงตะนะคาที่ดีที่สุดจะต้องเป็นเนื้อผงที่ได้จากผิวเปลือกและผิวเนื้อไม้เท่านั้น เพราะมีกลิ่นหอมและมีความนุ่มละเอียดกว่าเนื้อไม้ตะนะคาจากส่วนอื่น ชาวพม่าได้จัดแบ่งชนิดของผงตะนะคาที่มีคุณภาพดีไว้ตามลำดับ คือ อะปเวม่ง (vgx:t,AoNh) เป็นผงที่ได้จากผิวเปลือกนอก อะเข้าก์ม่ง (vg-jdN,AoNh) เป็นผงที่ได้จากเนื้อในของเปลือก และ อะมยิจ์ม่ง (ve,0N,AoNh) เป็นผงที่ได้จากราก นอกจากนี้ ชาวพม่ายังเลือกสรรตะนะคาที่มาจากแหล่งกำเนิดที่ดีอีกด้วย เพราะพื้นที่ที่ตะนะคาขึ้นนั้นมีส่วนกำหนดสี ความหอม และความละเอียดของเนื้อผงตะนะคา ตะนะคาที่ชาวพม่าชื่นชอบนั้น จะมาจากแหล่งกำเนิดสองแห่ง คือที่ดอยฉิ่งมะต่อง (ia'N,g9k'N) ในเมืองปะคัน (x-oNt) ถือเป็นแหล่งผลิตตะนะคาที่มีกลิ่นหอมที่สุด และอีกแห่งหนึ่งคือ ที่เมืองชเวโบ (gU46b) ถือเป็นแหล่งผลิตตะนะคาที่ให้เนื้อผงละเอียด สำหรับดอยฉิ่งมะต่องนั้นถือว่าเป็นแหล่งกำเนิดไม้ตะนะคาแห่งแรก ก่อนจะกระจายปลูกกันไปทั่วเมืองปะคันและที่อื่นๆ

 

ในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ป่าตะนะคาในธรรมชาติเริ่มน้อยลง ไม้ตะนะคาจึงขาดแคลน ทำให้เกิดช่องทางทางการค้ามาโดยลำดับ เพราะขายได้ราคาดี เช่นในปี ๒๕๐๘ ชาวบ้านที่ดอยฉิ่งมะต่องเริ่มหารายได้จากป่าตะนะคาเพื่อยังชีพ เริ่มจากการดูแลต้นอ่อนที่งอกเองในไร่นา เลี้ยงดูจนเติบใหญ่แล้วจึงตัดขาย ที่สุดจึงกลายเป็นงานสวนเลี้ยงชีพได้ ชาวบ้านบางคนลงไม้ตะนะคาไว้ในสวนนับหมื่นต้น รายได้จากการทำสวนตะนะคานับว่าค่อนข้างดี ด้วยตลาดมีความต้องการมากขึ้นกว่าแต่ก่อน แต่ต้องใช้เวลาในการปลูกราว ๗-๑๐ ปี จึงจะได้ตะนะคาเนื้อดี อาชีพปลูกตะนะคาจึงต้องใช้เวลารอคอยนานพอควร ส่วนการเพาะต้นกล้าและดูแลรักษาต้นตะนะคานั้นไม่ค่อยยุ่งยากนัก เริ่มด้วยการเพาะเมล็ดพันธุ์ในหม้อดิน เมื่อต้นอ่อนงอกออกมาราวหนึ่งคืบ จึงปลูกลงดิน หากรดน้ำบ้าง ได้รับน้ำฝนบ้างและพรวนดินบ้าง ต้นก็จะเจริญงอกงามดี สำหรับราคาของตะนะคาตามที่วางขายในตลาดเมืองย่างกุ้งขณะนี้นั้น ท่อนตะนะคาขนาดข้อมือ ยาวราวหนึ่งคืบจะตกราคาเริ่มตั้งแต่ ๕๐ จั๊ต ๑๐๐ จั๊ต หรือมากกว่านี้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับคุณภาพ ถ้าหากตัดตะนะคาก่อนเวลาอันควรคุณภาพก็จะด้อย ราคาก็ย่อมถูกลง สำหรับตะนะคาที่มีคุณภาพดีๆนั้น ทั้งต้นอาจขายได้เงินหลายพันจั๊ต ไม้ตะนะคาจึงกลายเป็นสินค้าที่สร้างรายได้เป็นกอบเป็นกำ มิเพียงปลูกใช้หรือขายเฉพาะในท้องถิ่นเท่านั้น

 

ด้วยเหตุที่ตะนะคาที่วางขายเป็นท่อนอาจมีคุณภาพดีบ้าง ไม่ดีบาง ผู้ซื้อจำเป็นต้องทราบวิธีเลือกซื้อ ตะนะคาที่มีคุณภาพดีจะต้องเป็นตะนะคาที่แก่เต็มที่ เปลือกหนา มีขุยที่เปลือก ดมมีกลิ่นหอม อย่างไรก็ตามอาจมีพ่อค้าแม่ค้าหัวใสแอบแต่งกลิ่นตบตาได้ โดยเอาแป้งตะนะคามาทาไว้ที่ผิวไม้ ลูกค้าที่ซื้อไม้ตะนะคาโดยไม่ระวัง อาจโดนหลอกได้ แต่ถ้าหากเลือกไม่เป็น แต่อยากได้ตะนะคาเนื้อดี ก็เทียบราคาและเลือกซื้อที่แพงหน่อย ถ้าโชคไม่ร้ายจนเกินไป ก็คงจะได้ตะนะคาคุณภาพดีมาใช้

 

ปัจจุบันการใช้ตะนะคาในการรักษาโรคในสังคมพม่าได้ลดน้อยลงไปบ้าง ด้วยมียาสมัยใหม่ที่ใช้ได้สะดวกกว่า ส่วนการใช้ตะนะคาเป็นเครื่องประทินผิวนั้น เริ่มได้รับผลกระทบจากความทันสมัย สาวสมัยใหม่บางคนเริ่มเมินแป้งจากท่อนตะนะคา หันมาใช้เครื่องสำอางที่ช่วยแต่งแต้มสีสันบนใบหน้า แต่ก็ใช่ว่าเธอจะเลิกใช้ตะนะคากันเสียทีเดียว มักยังนิยมใช้ตะนะคาทาเป็นแป้งรองพื้นก่อนที่จะใช้เครื่องสำอาง นับเป็นเรื่องธรรมดาที่การก้าวสู่ความทันสมัยในสังคมพม่านั้น ย่อมทำให้เกิดทางเลือกระหว่างค่านิยมเก่ากับค่านิยมใหม่ในหลายๆด้าน อาทิ ระหว่างการนุ่งโสร่งกับนุ่งยีนส์ นุ่งผ้าถุงกับนุ่งกระโปรง สวมรองเท้าคีบกับใส่รองเท้าส้นตึก ไว้ผมยาวมุ่นมวยกับตัดผมสั้นทรงบ็อบ สีขี้ผึ้งกับทาลิปสติก และระหว่างการใช้ตะนะคากับการใช้เครื่องสำอาง ในความเปลี่ยนแปลงในวิถีชีวิตของชาวพม่าเช่นว่านี้ จึงไม่แปลกนักที่จะเห็นสาวสมัยใหม่ใส่ผ้าถุงพร้อมกับสวมรองเท้าส้นสูง ชายนุ่งยีนส์คีบรองเท้าแตะเคี้ยวหมาก หรือนุ่งโสร่งขี่มอเตอร์ไซค์ พม่าจึงรับเอาทั้งความทันสมัย ขณะเดียวกันก็ลังเลที่จะทิ้งความเคยชินเดิมๆและสิ่งเก่าๆ แต่ที่น่าห่วงในตอนนี้ก็คือตะนะคาอาจถูกค่านิยมสมัยใหม่เบียดให้เป็นสิ่งล้าสมัย

 

พม่าเริ่มเปิดประเทศ หลังจากที่ดำเนินอยู่ในวิถีทางของตนมาเป็นเวลานาน และแม้รัฐบาลจะมีความพยายามอย่างยิ่งต่อการกระตุ้นให้ประชาชนรักษาและเทิดทูนค่านิยมแบบพม่าก็ตามที แต่คำว่า "ล้าสมัย" ดูจะน่ากลัวยิ่งกว่าผีนัต (o9N) วงแป้งตะนะคาจึงอาจค่อยๆจางหายไปจากใบหน้างามๆของแม่หญิงพม่าทีละน้อย ท่อนตะนะคาที่เห็นวางขายอยู่ทั่วไปอาจเป็นเพียงภาพในความทรงจำ และเจ้าก์เปี่ยงอาจถูกโยนทิ้งไปจากเรือน จนเด็กพม่ารุ่นหลังอาจไม่รู้คำตอบของปริศนาที่ว่า "อะไรเอ่ย อยู่กลางน้ำโผล่เด่นเช่นเนินทราย เป็นเกาะแก่งอาศัยแห่งเทวี" (gi]pN g-j'Nglk'N5:oNt o9Nl,utgo9cHdoNt) ซึ่งคำตอบก็คือเจ้าก์เปี่ยง แผ่นหินฝนตะนะคาที่เชื่อว่ามีเทพนัตดูแลนั่นเอง หรือแม้แต่เพลงตะนะคาที่เคยนิยมร้องเล่น ก็อาจจะถูกลืมไปได้ในที่สุด ดังเนื้อเพลงตะนะคา ที่เริ่มว่า

 

จากไม้ชเวโบตะนะคา gU-46bloxN-jt96"t,ykt
ถึงย่างกุ้งนำมาทาใช้ ioNd6oN]b,Nt46bhp^
แม้นผิวจะดำสักปานใด
4pN]6bvlkt,PNt,PNt
ก็ขาวเนียนผ่องได้ นะเรียมเอย ;j;jPdNPdNez&

 

อรนุช นิยมธรรม

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized 


ความเห็น

ยังไม่มีความเห็น
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท
ภาษาปิยะธอน (Piyathon)
เขียนโค้ดไพทอนได้ด้วยภาษาไทย