การรักษาแผนโบราณของพม่า
พม่าเรียกสมุนไพรว่า
"เซวาปี่ง" (gCt;jtx'N) หรือ "บะยะเซปี่ง" (xigCtx'N)
หรือ "ไตยีงเซปี่ง" (96b'Nti'NtgCtx'N) หากเป็นประเภทว่าน
จะเรียกว่า "กะโมง" (8,6oNt) และเรียกยาพื้นบ้านโดยรวม ว่า "ไตยีนเซ"
(96b'Nti'NtgCt)
โดยทั่วไปชาวพม่ายังคงนิยมการรักษาแบบแผนโบราณควบคู่ไปกับการรักษาด้วยแผนปัจจุบัน
หากเป็นความเจ็บป่วยเล็กน้อยอาทิ ปวดหัว ปวดท้อง และเจ็บคอ เป็นต้น
ชาวบ้านมักอาศัยการรักษาพื้นบ้าน ต่อเมื่อเป็นโรคร้าย
จึงจะหันไปพึ่งวิธีการรักษาสมัยใหม่
แต่ถ้าไม่อาจเยียวยาด้วยวิธีสมัยใหม่ได้แล้ว
ก็จะหวนกลับมาพึ่งการรักษาพื้นบ้านดังเดิม
สมุนไพรจึงเป็นทั้งทางเลือกแรกและทางเลือกสุดท้ายของชาวพม่าโดยเฉพาะในชนบท
อาจกล่าวได้ว่าชาวพม่ามักมีความรู้ด้านสมุนไพรกันพอควร
และยังสามารถพึ่งสมุนไพรได้ง่าย ดังมีคำกล่าวว่า เมื่อต้องการยา
ก็ไปป่า (gCt]6b g9kd6bl:kt)
และแม้สมุนไพรจะหาได้ง่ายในพม่า
แต่การปรุงยาสมุนไพรถือเป็นความชำนาญเฉพาะด้าน ดังคำกล่าวที่ว่า
ไม่รู้ฤดูกาล อย่าจัดยา (iklu,O6b'N gCt,d6b'NOa'NH)
จากคำกล่าวทั้งสองจึงพอบอกได้ว่าชาวพม่ารู้จักการพึ่งพาตัวเองในด้านสุขภาพ
และยังตระหนักถึงคุณและโทษของสมุนไพรเป็นอย่างดี
ความรู้เรื่องยาพื้นบ้านของพม่าเป็นภูมิปัญญาอย่างหนึ่งที่น่าศึกษา
ชาวพม่าเรียกการรักษาพื้นบ้าน ว่า ไตยีงเซปิ่งญา (96b'Nti'NtgCtxPk)
แปลตามศัพท์ได้ว่า "ความรู้ยาพื้นบ้าน" ในถ้อยคำนี้ประกอบด้วยศัพท์ ๓
คำ คือ ไตยีง แปลว่า "พื้นถิ่น" เซ แปลว่า "ยา" และ ปิงญา เป็นคำบาลี
ตรงกับคำว่า "ปัญญา" สารานุกรมพม่ากล่าวไว้ว่า
การรักษาพื้นบ้านของพม่าได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย
โดยเข้าสู่แผ่นดินพม่า ๒ เส้นทาง คือ ทางด้านเหนือและทางด้านใต้
ด้านเหนืออ้างว่าสืบผ่านมาแต่ยุคเมืองตะกอง (9gdk'Nt)
ที่เชื่อว่าเป็นราชธานีแห่งแรกของชนเผ่าพม่า ส่วนทางด้านใต้นั้น
เชื่อกันว่าพม่าคงได้รับอิทธิพลด้านการรักษาพื้นบ้านจากอินเดียผ่านมอญแห่งเมืองสะเทิม(l5"6)อย่างช้าก็ในสมัยพระเจ้าอโนรธาแห่งอาณาจักรพุกาม
แม้ว่าพม่าจะกล่าวว่าระบบการรักษาพื้นบ้านอันได้แก่ตำรายาและวิธีการรักษาของพม่านั้นรับมาจากอินเดียตั้งแต่สมัยพุทธกาลก็ตาม
แต่ก็เชื่อว่าความรู้เกี่ยวการรักษาพื้นบ้านของพม่านั้นเชื่อว่ามีอยู่แล้ว
คือ ยากลางบ้าน หรือที่เรียกว่า เซ-มยีโด่ (gCtw,ut96b)
ซึ่งเป็นยาที่ไม่ต้องอาศัยการปรุงที่ซับซ้อนอย่างยาแผนโบราณที่จะต้องพึ่งหมอยา
ในการกล่าวถึงพัฒนาการของยาพื้นบ้านของพม่านั้น นิยมจำแนกยุคสมัยได้ ๔
ยุค คือ ยุคโบราณ ยุคราชวงศ์ ยุคอาณานิคม และยุคเอกราช
ในยุคโบราณ พม่ารับความรู้การรักษาพื้นบ้านจากอินเดียตอนกลาง หรือ
มัชฌิมะเทสะ (,=b±,gml)
ความเป็นมาของยาพื้นบ้านฝ่ายพม่าจึงมักอ้างตามตำนานยาพื้นบ้านของอินเดีย
โดยมีการกล่าวถึงเหตุกำเนิดโรค ชนิดของโรค และการรักษา
และกล่าวว่าในกาลอุบัติของโลก
คือจากสมัยพระเจ้ามหาสัมมตะจนถึงสมัยของพระเจ้าสุชาตะนั้น
มนุษย์มีแต่ความสุขสบาย มีจิตอกุศลเบาบาง ฤดูกาลเป็นปกติ
และอาหารบริบูรณ์ โรคที่คุกคามชีวิตมีเพียง ๓ ประเภท คือ
ความอดอยาก ความโลภ และความชรา จนถึงสมัยพระเจ้าอุกกากะราช
ผู้เป็นโอรสของพระเจ้าสุชาตะ
เหล่าปุณณาหรือปุโรหิตได้แนะให้พระองค์ฆ่าสัตว์เซ่นสังเวย
โดยอ้างว่าเป็นทางสู่ทิพยสวรรค และยังมีการฆ่าสัตว์เพื่อกินเนื้อ
อันเป็นผลให้บังเกิดโรคภัยถึง ๙๖ หรือ ๙๘ โรค
เหตุนี้หมอยาและตำรายาจึงมีขึ้นเพื่อเยียวยารักษาบรรดาโรคเหล่านั้น
ในยุคราชวงศ์ของพม่า ได้แก่ สมัยตะกอง ศรีเกษตร พุกาม สะกาย ปีงยะ
อังวะ จนถึงสมัยคอนบองนั้น การรักษาพื้นบ้านของพม่าได้เจริญมาโดยลำดับ
พงศาวดารพม่าได้กล่าวถึงการตั้งราชทินนามให้กับหมอหลวงเช่นเดียวกับเหล่าขุนนาง
โหราจารย์ และคหบดี
และในสมัยศรีเกษตรมีการเดินทางไปศึกษาความรู้ด้านยา มนตรา
และโหราศาสตร์ ณ เมืองตักกศิลา พอถึงสมัยพุกาม
พระเจ้าอโนรธาทรงให้การสนับสนุนหมอยาและโหราจารย์ที่มีความชำนาญ
และนำหมอรักษาช้างม้ามาจากเมืองสะเทิมของชาวมอญ
ในยุคหลังๆตำราสรรพวิชาทางโลกีโลกุตตระเพิ่มพูนมาโดยลำดับ
ความรู้เกี่ยวกับการรักษาพื้นบ้านจึงไม่เพียงจำกัดอยู่แค่ตัวยา
แต่ยังรวมถึงนักขัต โชคชะตา ตลอดจนคุณไสย เวทมนตร์ คาถา อาคม
เป็นอาทิ
ในอดีตนั้นพม่าจึงได้รับความรู้ทางการรักษาพื้นบ้านทั้งจากอินเดียและจากมอญ
นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าพม่าได้รับความรู้ด้านการนวดแผนโบราณจากไทยด้วยเช่นกัน
พอถึงยุคอาณานิคม อังกฤษได้นำการแพทย์แผนใหม่มาสู่พม่า
เรียกเป็นภาษาพม่าว่า ขิจ์ติจ์เซปิญญา(g-9Nl0N gCtxPk)
และเรียกยาสมัยใหม่ว่า ยาอังกฤษ หรือ อี่งกะเละเซ (v8§]bxNgCt)
การแพทย์สมัยใหม่เข้ามาในศริสตศตวรรษที่ ๑๙
และส่งผลกระทบต่อยาพื้นบ้านพอควร
ถึงขนาดมีการดูถูกการรักษาแบบพื้นบ้าน
อย่างไรก็ตามผู้ที่ยังเชื่อมั่นในการรักษายาพื้นบ้านก็ยังมีอยู่มาก
บางแห่งเกิดมีสำนักรักษารักษาโรคด้วยแผนโบราณ
สำนักการแพทย์แผนโบราณของพม่าที่มีชื่อเสียง คือ สำนักต่องต่า
(g9k'Nlk86bINt) ในปี ค.ศ. ๑๙๒๘
รัฐบาลอาณานิคมได้ตั้งกรรมการศึกษาบทบาทของยาพื้นบ้านในพม่า
ซึ่งพบว่าแม้การรักษาแผนใหม่จะเป็นที่นิยมทั่วไปในยุคนั้นแล้วก็ตาม
แต่ชาวพม่าส่วนใหญ่ยังคงนิยมการรักษาแบบพื้นบ้านอย่างแพร่หลาย
ในสมัยที่พม่าได้รับเอกราช
การรักษาพื้นบ้านเริ่มได้รับความสนใจโดยภาครัฐอีกครั้งหนึ่ง เริ่มในปี
๑๙๕๒ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการฟื้นฟูการรักษาพื้นบ้าน
และรัฐบาลอูนุได้ออกกฎหมายว่าด้วยหมอพื้นบ้าน (Indigenous medicine
Practitioners Act) เมื่อปี ค.ศ. ๑๙๕๓
ผลจากกฎหมายนี้ได้มีการแต่งตั้งสภาหมอพื้นบ้าน ขึ้นทะเบียนหมอยา
และเปิดสถานบำบัดการรักษาพื้นบ้านขึ้น ที่เมืองย่างกุ้งและมัณฑะเล
ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๖๒
รัฐบาลเนวินส่งเสริมให้ปลูกพืชสมุนไพรทดแทนการนำเข้า
และได้กำหนดให้หมอพื้นบ้านที่มีอายุต่ำกว่า ๕๐ ปี
ต้องผ่านการทดสอบความรู้เพื่อขึ้นทะเบียนใหม่อีกครั้ง
โดยกำหนดสอบความรู้หมอพื้นบ้าน ๓ แขนงวิชา คือ ระบบเทศนะ พุทธเวท หรือ
อภิธัมมะต่องต่า (v4bT,Ág9k'NlkoPNt) ระบบเภสัชเวท(g4l=ªoPNt)
และระบบนักขัตเวท (od¢g;moPNt) มีผู้สอบผ่านวิชาดังกล่าวจำนวน ๗,๔๖๒
คน และมีหมอยาอาวุโสขึ้นทะเบียนไว้จำนวน ๓,๘๘๗ คน ต่อมาในปี ค.ศ. ๑๙๗๐
มีการตั้งโรงเรียนการรักษาพื้นบ้านที่มัณฑะเล
และมีการส่งข้าราชการไปดูงานอายุรเวทที่อินเดีย ในปี ค.ศ. ๑๙๗๒
มีการตั้งแผนกรักษาพื้นบ้าน
และสร้างโอสถศาลาขึ้นในเมืองย่างกุ้งและมัณฑะเล ในปี ค.ศ. ๑๙๘๙
ตั้งกองการรักษาพื้นบ้านมีหน้าที่ทั้งการวิจัย การผลิตยา และฝึกอบรม
และมีการส่งเจ้าหน้าที่ไปดูงานที่จีน อินเดีย และญี่ปุ่น ต่อมาในปี
ค.ศ. ๑๙๙๓ รัฐบาลสล็อร์กเปิดโรงพยาบาลการรักษาพื้นบ้านที่เมืองพะสิม
สร้างสวนสมุนไพรที่ย่างกุ้ง ขยายจำนวนโอสถศาลาเพิ่มขึ้น
และได้จัดสอบความรู้หมอพื้นบ้าน ๔ แขนง โดยเพิ่มการสอบระบบวิชชาธระ
(;b=ªkTioPNt) มีผู้สอบผ่าน ๙๓๕ คน ปัจจุบัน
ประเทศพม่ามีจำนวนสถานรักษาแผนโบราณราว ๒๐๐ แห่ง
ในด้านองค์ความรู้เกี่ยวกับการรักษาพื้นบ้านนั้น จะจำแนกเป็น ๔ แขนง
คือ พุทธเวท เภสัชเวท นักขัตเวท และไสยเวท
รัฐบาลพม่าให้การสนับสนุนทั้ง ๔ แขนง
โดยจัดให้มีการสอบความรู้การแพทย์แผนโบราณ
องค์ความรู้ดังกล่าวเป็นดังนี้
๑. พุทธเวท พม่าเรียกว่า แนวเทศนา หรือ
แนวอภิธัมมะต่องต่า (v4bT,Ág9k'NlkoPNt)
เป็นการรักษาด้วยแนวคิดทางพุทธศาสนาและวิถีธรรมชาติ เช่น
การใช้อาหารบำบัดโรค การหลีกเลี่ยงอาหารแสลง และการป้องกันโรค
เป็นต้น
๒. เภสัชเวท พม่าเรียกว่า เแนวเภสัชชะ
(g4l=ªoPNt) เป็นการรักษาด้วยเภสัชธาตุต่างๆ ได้แก่ สมุนไพร
(rigCt) แร่ธาตุ (Tk96gCt) และซากสัตว์ (U6xNEd:'NtgCt)
อาจเรียกแนวการรักษานี้ว่า "อายุรเวท"
๓. นักขัตเวท พม่าเรียกว่า แนวนักขัตตะเพทะ
(od¢9µgrmoPNt)
เป็นการรักษาด้วยการตรวจสอบดวงชะตาอันเกี่ยวเนื่องกับวันเกิดและสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อผู้ป่วย
และรักษาด้วยอาหารหรือสะเดาะเคราะห์โดยอาศัยการคำนวนตามแนวโหราศาสตร์
๔. ไสยเวท พม่าเรียกว่า แนววิชชาธระ
(;b=ªkTioPNt) เป็นการรักษาด้วยไสยศาสตร์
โดยอาศัยอำนาจเหนือธรรมชาติที่มีอิทธิพลต่อมนุษย์
การรักษาด้วยวิธีนี้ยังเป็นที่นิยมของชาวพม่า
และกำหนดเป็นส่วนหนึ่งขององค์ความรู้การรักษาพื้นบ้านของพม่า
การที่การรักษาพื้นบ้านยังคงมีอยู่ในสังคมพม่านั้น
มีปัจจัยเกื้อหนุนหลายด้าน กล่าวคือ
การรักษาพื้นบ้านเป็นการรักษาสุขภาพทั้งองค์รวม
ไม่แยกส่วนอย่างการรักษาแบบสมัยใหม่
ผู้ป่วยจะได้รับการดูแลทั้งร่างกายและจิตใจ
อีกทั้งผู้ป่วยเองก็สามารถเข้าใจอาการของตน ว่ามีสาเหตุมาจากอะไร
และพร้อมจะบำบัดรักษาหลังจากที่ได้มีการพูดคุยกับหมอแล้ว
ในด้านเทคนิคการรักษาด้วยวิธีพื้นบ้านนั้นจะไม่ยุ่งยาก
มักไม่ใช้วิธีการผ่าตัด
หากแต่จะใช้อาหารหรือยาสมุนไพรที่หาได้จากธรรมชาติมาเยียวยา
ในส่วนหมอพื้นบ้านเองนั้นมักเป็นบุคคลที่ชาวบ้านคุ้นเคย
เพราะหมอพื้นบ้านจะเป็นผู้ที่อยู่ประจำท้องถิ่น
จึงเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่บ้าน และหมอยาพื้นบ้านที่ดี
นอกจากจะชำนาญในการรักษาแล้ว ยังมักจะต้องประพฤติตนอยู่ในศีลในธรรม
ถือสัจจะ หากไม่แน่ใจว่ารักษาได้ ก็จะแนะนำให้ไปรักษากับผู้อื่น
ทำให้คนไข้ทั่วไปให้ความไว้วางใจ นอกจากนี้
หมอพื้นบ้านยังมักจะรักษาโดยไม่กำหนดเวลาหยุดพัก
จึงสะดวกต่อคนไข้ที่จะมาติดต่อรักษาโดยสะดวก และที่สำคัญ
ค่ารักษาด้วยวิธีนี้ใช่ค่าใช้จ่ายไม่มากอย่างการรักษาแผนใหม่
บางรายคิดตามศรัทธา บางคนอาจไม่เรียกร้องค่ารักษาใดๆ
ต่อเมื่อผู้ป่วยหายดีแล้ว จึงอาจจ่ายค่ารักษากันในภายหลัง
การที่ชาวพม่ายังคงต้องพึ่งการรักษาแบบพื้นบ้านกันมากอยู่นั้น
ยังมีปัจจัยด้านความไม่พร้อมของการบริการด้านสาธารณสุขของพม่าประกอบอยู่ด้วยมาก
โดยเฉพาะจำนวนสถานพยาบาลและร้านจำหน่ายยาสมัยใหม่ยังค่อนข้างจำกัด
อีกทั้งค่ายาและค่ารักษายังถือว่าแพงสำหรับชาวพม่าที่มีรายได้ไม่มากนัก
และหากเป็นพื้นที่ชนบทด้วยแล้ว
การรักษาพื้นบ้านด้วยสมุนไพรและยากลางบ้านยังถือเป็นที่พึ่งที่สำคัญ
อรนุช นิยมธรรม