ก็เป็นเรื่องยากที่จะอธิบายให้รู้และเข้าใจได้เกี่ยวกับ "องค์ความรู้ของเกษตรกร" กับการใช้เครื่องมือการจัดการความรู้ ซึ่งเมื่อมีการคุยถึงเรื่องนี้กันเกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ก็คิดว่า ผลงานของเกษตรกรคือ ความรู้ของเจ้าหน้าที่ที่เจ้าหน้าที่นำมาใช้เป็น KM ของตนเอง นอกจากนี้ยังมีความพยายามที่จะต้องเข้าใจถึง KM เข้าใจถึงคำนิยาม และเข้าใช้ถึงหลักการให้ชัดเจนก่อนเพื่อจะได้ไปทำและนำไปใช้ให้ถูกต้องเกี่ยวกับเครื่องมือ KM
ถ้าหากจุดเริ่มต้นของความเข้าใจที่จะต้องชัดเจนและชัดแจ้งแล้วนั้น ก็ไม่จำเป็นต้องนำ KM ไปใช้ เพราะยังมีกรอบคิดเดิม ๆ ของตนเองอยู่ในใจค่อนข้างมากยากต่อการดึงให้หลุดได้ ก็จะเป็นเวทีของการพูดความรู้สึกของตนเองและผู้ร่วมสนทนาเป็นหลัก สุดท้ายก็จะมีแต่ข้อไม่ดี มีแต่ข้อสงสัยแทนคนอื่นอยู่ตลอดเวลา จนละเลยการหันกลับมาทบทวนตนเอง และตนเป็นก็ต้องการเป็นเพียงแต่ผู้คิดให้คนอื่นทำ
และถ้าคนอื่นไม่ทำตามที่ตนคิดเห็นแล้ว เขาก็จะทำไม่ถูกต้องเสมอไป ซึ่งเป็นการปิดกั้นตนเองจาก KM ค่อนข้างใหญ่หลวง จนสุดท้าย
"เรามิได้รู้จักการจัดการความรู้เลย"
ความรู้ของเกษตรกรที่มีมานานนั้น ถ้านำมารวม ๆ กันเป็นกลุ่มเป็นก้อนก็จะเป็น "นวัตกรรมการเกษตร" หาที่เปรียบมิได้และถ้ามีใครเข้าไปทำหน้าที่เป็น Facilitator ด้วยแล้ว "งานส่งเสริมการเกษตร" ที่มีผลผลิตออกมาจากการทำงานของเจ้าหน้าที่มีมิใช่น้อย ฉะนั้น ใครละ...จะคือ คนที่ทำให้เกิดขึ้นได้?
เมื่อมาถึงวันนี้ความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีสารสนเทศและการศึกษาที่เปิดกว้าง ทำให้ เกษตรกรสามารถมารวมกลุ่มกันเอง
ได้ตามความต้องการ เอาความรู้ที่แต่ละคนมีอยู่มาช่วยกันแลกเปลี่ยนเพื่อแก้ปัญหาของกลุ่มและชุมชน และสิ่งนี้ค่อนข้างได้ผล ถ้าเราเติมกระบวนการกลุ่มเข้าสู่งานก็จะทำให้เกิดการยอมรับในงานส่งเสริมการเกษตรและมีผลงานที่ตอบได้ว่า ความรู้ของเกษตรกรที่เกิดขึ้น
เช่น ลดต้นทุนการผลิต เพิ่มรายได้ในครัวเรือน เป็นต้น สิ่งเหล่านี้เป็นความรู้ของเกษตรกร ที่มาจากการทำงานของเจ้าหน้าที่.