ประเทศพม่าเป็นดินแดนแห่งชาติพันธุ์ ในจำนวนพลเมืองของพม่าทั้งหมด ๔๒.๒ ล้านคน(ค.ศ.๑๙๙๓) มีสองในสามเป็นชาวพม่าโดยเชื้อสายซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ ๗ จังหวัด
ชาติพันธุ์พม่าและชาวพม่าท้องถิ่น
ประเทศพม่าเป็นดินแดนแห่งชาติพันธุ์
ในจำนวนพลเมืองของพม่าทั้งหมด ๔๒.๒ ล้านคน(ค.ศ.๑๙๙๓)
มีสองในสามเป็นชาวพม่าโดยเชื้อสายซึ่งส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในจังหวัดต่างๆ
๗ จังหวัด ได้แก่ จังหวัดย่างกุ้ง (ioNd6oN96b'Nt) จังหวัดพะโค
(xc-^t96b'Nt) จังหวัดเอราวดี(Vik;9u96b'Nt) จังหวัดมะเกว
(,gd:t96b'Nt) จังหวัดสกาย (00Nd6b'Nt96b'Nt)
จังหวัดมัณฑะเล(,Oµg]t96b'Nt) และจังหวัดตะนาวศรี (9ol§kiu96b'Nt)
และมีประชากรอีกหนึ่งในสามเป็นชนส่วนน้อยหลายเผ่าพันธุ์
ซึ่งส่วนใหญ่จะอาศัยอยู่ในรัฐชนบทห่างไกลจากลุ่มแม่น้ำเอราวดี
รัฐดังกล่าวมี ๗ รัฐ คือ รัฐกะเหรี่ยง (di'NexPNopN) รัฐคะยา
(dpktexPNopN) รัฐฉาน (ia,NtexPNopN) รัฐกะฉิ่น (d-y'NexPNopN)
รัฐฉิ่น(-y'NtexPNopN) รัฐยะไข่(i-6b'NexPNopN)
และรัฐมอญ(,:oNexPNopN)
ปัจจุบันรัฐบาลพม่าประกาศเรียกชื่อชนชาติและรัฐ ๗
รัฐเป็นภาษาอังกฤษ ได้แก่ Kachin, Kayah, Kayin(<Karen), Chin,
Bamar(<Burmese), Mon, Rakhine(<Arakanese) และ Shan
นอกจากนี้รัฐบาลพม่าได้ประกาศชื่อเรียกเมืองสำคัญๆใหม่โดยเขียนยึดตามสำเนียงพม่า
ได้แก่ Yangon(<Rangoon), Bago(<Pegu), Bagan(<Pagan),
Mawlamyine(<Moulmein),Sittwe(<Akyab), Pathein(<Bassein),
Pyi(<Prome) และ Pyin Oo Lwin(<Maymyo) ส่วนเมืองตองจี
และมัณฑะเล ยังคงเขียนอย่างเดิมคือ Taunggyi และ Mandalay
นอกจากนี้ยังกำหนดเรียกชื่อแม่น้ำสำคัญบางสายใหม่ ได้แก่
Ayeyarwady(<Irrawaddy), Thanlwin(<Salween) และ
Sittoung(<Sittang) แต่ยังคงให้เรียกชื่อแม่น้ำชินด์วินตามเดิม คือ
Chindwin
หากพิจารณากลุ่มชาติพันธุ์ที่อาศัยในพม่าทั้งหมด
อาจจำแนกตามกลุ่มภาษาได้ ๓ กลุ่มหลัก คือ กลุ่มภาษาทิเบต-พม่า
กลุ่มภาษาไท และกลุ่มภาษามอญ-เขมร แต่ละกลุ่มภาษาประกอบด้วยภาษาต่างๆ
ดังนี้ กลุ่มภาษาทิเบต-พม่า เช่น พม่า, มูเซอ-ลีซอ-อีก้อ,
ฉิ่น-กะฉิ่น-นาคา, กะเหรี่ยงสะกอ-กะเหรี่ยงโป-ตองสู-คะยา-ปะด่อง;
กลุ่มภาษาไท เช่น ไทใหญ่ ไทเขิน ไทลื้อ ไทยอง ไทคำตี่ ไทมะริด;
กลุ่มภาษามอญ-เขมร เช่น มอญ ว้า ปะหล่อง
นอกจากนี้ยังมีภาษาในกลุ่มภาษามาเลย์อาศัยทางตอนใต้ เช่น
ภาษาสะลนและภาษาปะซู เป็นต้น
ในบรรดาชนชาติต่างๆที่กล่าวมานี้
ชนชาติที่มีความสำคัญต่อประวัติศาสตร์พม่ามีเพียง ๔ เผ่า คือ มอญ พม่า
ยะไข่ และฉาน(ไทใหญ่) กลุ่มพม่าได้รบพุ่งกับมอญ ฉาน
และยะไข่ตลอดมา
จนที่สุดพม่าแห่งลุ่มน้ำเอราวดีได้ชัยเหนือชนเผ่าทั้งปวงนับแต่สมัยราชวงศ์ของพม่า
ชาวมอญรบพุ่งกับพม่ามาแต่สมัยพระเจ้าอโนรธาแห่งอาณาจักรพุกาม
และล่มสลายลงในสมัยพระเจ้าอลองพญาแห่งราชวงศ์คองบอง(ค.ศ.๑๗๕๗)
มรดกทางวัฒนธรรมของมอญถูกหลอมรวมอยู่ในวัฒนธรรมพม่าโดยเฉพาะในด้านศิลปะ
ศาสนา และภาษา
ปัจจุบันชาวมอญในพม่าส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในรัฐมอญและกระจายอยู่ตามดินแดนพม่าตอนล่าง
และมีชาวมอญอีกเป็นจำนวนมากที่ทยอยอพยพมาอาศัยอยู่ในแผ่นดินไทยเพราะหนีภัยพม่า
จนต้องกลายเป็นคนสองแผ่นดินในที่สุด
ส่วนไทใหญ่นั้นเคยรุกพม่าเข้าปกครองเขตเจ้าก์แซ (gdykdNCPN)
ทางตอนกลางของลุ่มน้ำเอราวดี
ตั้งแต่คราวที่อาณาจักรพุกามล่มลงด้วยกองทัพมองโกลในราวปลายคริสตศตวรรษที่
๑๓ แต่ที่สุดไทใหญ่ก็ต้องพ่ายต่อราชวงศ์ตองอูในกาลต่อมา
ปัจจุบันไทใหญ่ในพม่าอาศัยอยู่ในรัฐฉานเป็นส่วนมาก
และมีบางส่วนได้กระจายสู่ฟากตะวันตกของแม่น้ำเอราวดีตอนบน
สำหรับชาวยะไข่นั้น เป็นชนร่วมเชื้อสายกับพม่า
มีประวัติราชวงศ์ร่วมสมัยกับพุกามเรื่อยมา จนถึงปลายคริสตศตวรรษที่ ๑๘
จึงถูกผนวกอยู่ใต้อำนาจของพม่าโดยสมบูรณ์ในสมัยพระเจ้าปะดุงแห่งราชวงศ์คองบอง
(ค.ศ.๑๗๘๙) และถูกอังกฤษยึดครองเมื่อต้นคริสตศตวรรษที่ ๑๙
โดยทั่วไปชาวยะไข่มีความแปลกแยกจากชาวพม่าแห่งลุ่มน้ำเอราวดีทั้งทางการเมือง
วัฒนธรรมและภาษามาแต่อดีต
ในสมัยที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
มีพวกแขกและชาวจีนจำนวนมากได้เข้ามาเป็นลูกจ้างของชาวอังกฤษและเป็นพ่อค้าอยู่ในบริเวณเมืองใหญ่ๆของพม่า
โดยเฉพาะเมืองย่างกุ้งในสมัยนั้นน่าจะได้รับฉายาว่าเป็น กะลาซิตี้
(กะลา คือ กุลา หมายถึงแขก)
ในยุคนั้นชาวต่างชาติต่างมีฐานะและโอกาสดีกว่าชาวพม่าท้องถิ่น
จนถึงสมัยสังคมนิยมชาวจีนและแขกได้ลดจำนวนลงไปมาก
คงเหลือเป็นย่านชุมชนอยู่ตามเมืองใหญ่ๆของพม่า
ชนเชื้อสายพม่า
จากการเปรียบเทียบภาษาตามแนวภาษาศาสตร์เปรียบเทียบเชิงประวัติ
นักภาษาศาสตร์ได้ข้อสรุปว่าภาษาพม่าเป็นภาษาหนึ่งในกลุ่มภาษาเบอร์มิส
(Burmish) ของสายโลโล-พม่า (Lolo-Burmese) ในสาขาทิเบต-พม่า
(Tibeto-Burman) ที่แยกเชื้อสายมาจากตระกูลภาษาจีน-ทิเบต
(Sino-Tibetan) ภาษาพม่าจึงมีความคล้ายคลึงกับภาษาทิเบตมากกว่าภาษาจีน
และแตกต่างกับภาษาไทย ภาษามอญ ภาษาเขมร และภาษามาเลย์โดยสิ้นเชิง
ขณะเดียวกันก็มีความใกล้ชิดกับกลุ่มภาษาโลโล
ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นชาวเขาอยู่ในประเทศไทย อาทิ มูเซอ ลีซอ และอีก้อ
ส่วนพม่าจะมีความใกล้ชิดทางเชื้อสายกับกะเหรี่ยงมากน้อยเพียงใดนั้น
ปัจจุบันยังไม่อาจหาข้อยุติได้อย่างแน่ชัด แต่โดยลักษณะทางภาษานั้น
พบว่าภาษากะเหรี่ยงมีโครงสร้างประโยคที่ต่างไปจากภาษาในกลุ่มทิเบต-พม่า
คือเป็นแบบ ประธาน-กริยา-กรรม แทนที่จะเป็นแบบ ประธาน-กรรม-กริยา
อย่างภาษาต่างๆในสาขาทิเบต-พม่า
แรกๆนักภาษาศาสตร์จึงเสนอให้ภาษากะเหรี่ยงอยู่นอกสาขาทิเบต-พม่า
แต่ต่อมามีการจัดภาษากะเหรี่ยงไว้ในกลุ่มสาขาทิเบต-พม่าด้วย
เพราะเห็นว่าภาษากะเหรี่ยงมีความคล้ายคลึงกับภาษาอื่นๆของกลุ่มทิเบต-พม่าในด้านศัพท์
แต่ใกล้ชิดกับภาษาพม่าน้อยกว่าภาษาในกลุ่มโลโล เช่น มูเซอ ลีซอ
และอีก้อ
สำหรับภาษาที่อยู่ในกลุ่มเบอร์มิสและมีความใกล้ชิดกับภาษาพม่ามากยิ่งกว่าภาษาในกลุ่มโลโลได้แก่
ภาษามะยู(,U^) หรือมารู และภาษาอะซี(v=ut) ซึ่งพูดอยู่ในรัฐกะฉิ่น
บริเวณพรมแดนพม่า-จีน
ชนร่วมเชื้อสายใกล้ชิดพม่าที่อาศัยอยู่ในประเทศพม่า
ในประเทศพม่ามีชนร่วมเชื้อสายพม่าอยู่หลายกลุ่ม
ทั้งที่ร่วมเชื้อสายอย่างใกล้ชิดและที่ห่างออกไปจนส่งภาษากันไม่รู้เรื่อง
กลุ่มที่ใกล้ชิดกับพม่าได้แก่ชนชาติพม่าที่พูดภาษาพม่าสำเนียงท้องถิ่นต่างๆตามชนบทและในรัฐที่อยู่รอบนอก
ในกลุ่มนี้ที่รู้จักกันดีเพราะเคยสร้างบ้านแปลงเมืองเป็นของตนเอง
คือชาวพม่าในรัฐยะไข่หรือรัฐอาระกัน นอกจากพม่าที่ยะไข่แล้ว
ชนที่มีเชื้อสายเดียวกับพม่าและยังคงหลงเหลืออยู่ได้จนถึงปัจจุบันนี้
เป็นเพียงชาวพม่าท้องถิ่นที่ไม่ค่อยมีบทบาททางการเมืองอย่างเด่นชัดในอดีต
ได้แก่ อิงตา ทวาย ยอ และต่องโยง เป็นอาทิ
สำหรับชนที่มีเชื้อสายห่างไกลชนเผ่าพม่าออกไปนั้น
เป็นเพียงชาวเขาหรือชนส่วนน้อย ได้แก่ มูเซอ ลีซอ อีก้อ ฉิ่น กะฉิ่น
นาคา กะเหรี่ยงสะกอ กะเหรี่ยงโป ตองสู คะยา และปะด่อง เป็นต้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชนส่วนน้อยที่ร่วมเชื้อสายกับพม่าเหล่านี้
ต่างก็มีกองกำลังอิสระต่อสู้กับรัฐบาลกลางของพม่ามาเป็นเวลานานหลายสิบปีนับแต่ได้รับเอกราช
(ค.ศ.๑๙๔๘)
และสืบเนื่องเรื่อยมาในยุครัฐบาลทหารของนายพลเนวิน(ค.ศ.๑๙๖๒-๑๙๘๘)
ชนส่วนน้อยในไทยที่มีเผ่าพันธุ์ใกล้ชิดกับพม่า
ในประเทศไทยมีชนเผ่าที่ร่วมเชื้อสายใกล้ชิดกับพม่าในทางภาษาอยู่หลายเผ่า
ได้แก่ อีก้อ(อะข่า) มูเซอ (ละหู่) ลีซอ(ลีซู)
อูก๋อง(พวกละว้าที่อุทัยธานี) บิซู(พวกละที่เชียงราย)
อึมปี(พวกก้อที่เมืองแพร่)
นอกจากนี้มีชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยงหรือยางเผ่าต่างๆ ได้แก่
กะเหรี่ยงสะกอ(ยางขาว) กะเหรี่ยงโป(ยางแดง) ปะโอ(ตองตู, ตองสู
หรือต้องสู้) บเว(คะยาหรือกะเหรี่ยงแดง) และปะด่อง(กะเหรี่ยงคอยาว)
กลุ่มชนร่วมเชื้อสายกับพม่าที่กล่าวมานี้ส่วนใหญ่เป็นชาวเขาหรือเป็นเพียงชนส่วนน้อยที่อาศัยอยู่ทางภาคเหนือและตลอดแนวภูมิภาคตะวันตกของประเทศไทย
สำหรับในประเทศพม่าพบชนกลุ่มดังกล่าวกระจายอยู่ทั่วไปต่อจากชายแดนไทยด้านตะวันตกจนจรดลุ่มแม่น้ำสาละวินหรือที่เรียกชื่อตามภาษาไทใหญ่ว่าแม่น้ำคง
การที่พม่ามีความคุ้นเคยกับชนส่วนน้อยบางเผ่าที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยเป็นอย่างดีนี้
จึงมีชื่อเรียกเป็นภาษาพม่าด้วยเช่นกัน ดังเช่น
พม่าเรียกอีก้อว่าก่อ(gdkN) หรืออี่กอ(vugdk)
เรียกมูเซอว่าหมู่โซ(,^C6bt) เรียกลีซอว่าหลี่ซอ(]ugiak)
เรียกกะเหรี่ยงว่ากะยิง(di'N) และเรียกตองสูว่าต่องตู่(g9k'Nl^)
ด้วยเหตุที่ชนเผ่าเหล่านี้อพยพมาจากพม่า
คนไทยจึงเรียกชื่อตามพม่าไปด้วย ส่วนพวกอูก๋อง บิซู และอึมปีนั้น
เป็นชนส่วนน้อยจากพม่าที่น่าจะเข้ามาอยู่ในไทยนานแล้วจนเป็นชนพื้นเมืองของไทยไปจนเกือบสิ้น
และไม่ปรากฏชื่อเรียกชนเผ่าเหล่านี้เป็นภาษาพม่า
ยกเว้นเผ่าบิซูอาจเป็นเผ่าเดียวกับเผ่าปเยน(Pyen) หรือปยิน(Pyin)
ตามที่เคยมีผู้พบว่าอยู่แถบเมืองเชียงตุงของพม่าในสมัยที่พม่าตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษ
ข้อมูลคำศัพท์ภาษาปเยนมีตัวอย่างใน Gazetteer of Upper Burma and the
Shan States โดย J.G Scott และ J.P. Hardiman พิมพ์ที่ย่างกุ้งเมื่อปี
ค.ศ.๑๙๐๐
และที่ว่าภาษาบิซูน่าจะใกล้ชิดกับภาษาปเยนนั้นเป็นคำกล่าวของนักวิชาการชาวญี่ปุ่นชื่อ
Nishida
ในเรื่องของชื่อชนเผ่าบางกลุ่มที่พบในพม่ามีข้อน่าสนใจอยู่มาก
กล่าวคือ พม่ารู้จักมูเซอในนามละหู่หรือล้าหู่(]kts^)ด้วย
และที่พม่าเรียกว่าหมู่โซ(,^C6bt)นั้นเข้าใจกันว่าน่าจะมาจากคำพม่าว่า
มุโซ (,6C6bt) ออกเสียงว่า / mo?sho^ / แปลว่า "นายพราน"
และคำมุโซนี้อูโพลัต(๑๙๖๓-หน้า๑๕๒)กล่าวว่าพบในจารึกที่พุกามหลายหลักเขียนเป็นภาษาพม่ายุคเก่าว่า
,6C6b;N มีความหมายแต่เฉพาะ "นายพราน" และบางทีก็เป็นชื่อหมู่บ้าน
เช่นหมู่บ้านมุโชโบ(,6C6b;Nx6b;N)
ซึ่งเป็นชื่อเดียวกับบ้านเดิมของพระเจ้าอลองพญา
ปัจจุบันก็คือเมืองชเวโบ
และมีจารึกหลักหนึ่งเขียนด้วยสระอูเป็นมูโซ(,^C6b;N)ด้วยเช่นกัน
แต่ด้วยไม่อาจแยกศัพท์หาความหมายเดิมของคำมุโซในภาษาพม่าได้อย่างชัดเจน
อูโพลัดจึงเทียบเคียงคำนี้กับภาษาอื่นๆ เช่น กะเหรี่ยง มูเซอ จีน
ทิเบต ฉิ่น กะฉิ่น และภาษาอื่นๆที่พูดอยู่ในพม่า
พออนุมานได้ว่าน่าจะมีความหมายเดิมเป็น "(คน)ล่าเนื้อ"
(lktiakv,c]6bdN) หรือ "(คน)หาของป่า" นั่นคือ คำว่า มุ น่าจะแปลว่า
"สัตว์ป่า,ไม้ป่า" และคำว่า โซ น่าจะแปลว่า "ไล่ล่า,เสาะหา"
ดังนั้นคำว่ามุโซ(นายพราน) จึงอาจเป็นที่มาของคำว่า หมู่โซ(ละหู่)
และถ้าจะพยายามเทียบกับคำพม่าที่ใกล้เคียงทั้งเสียงและความหมาย
คำมุโซอาจจะเพี้ยนมาจากคำ อะแมส่า v,ciak / Q@mE^3Sa /
"หาเนื้อ<เนื้อ-หา"
นอกจากนี้ภาษาพม่ายังมีคำว่ามุโซ(,6C6bt)ที่คล้ายกับชื่อเผ่ามูเซอในภาษาพม่า
แต่มีความหมายว่า "พ่อหม้าย,แม่หม้าย"
ซึ่งไม่น่าจะเกี่ยวข้องกับคำเรียกมูเซอ นอกจากนี้
พม่าเรียกเผ่าลีซออีกชื่อหนึ่งว่า ยอยิง (gpkp'N) ฝรั่งมักเขียนว่า
Yawyin, Yaw-yen หรือ Yaoyen เป็นชื่อที่เรียกตามพวกกะฉิ่น
ส่วนคำว่าตองสู หรือที่พม่าเขียนว่า g9k'Nl^ / tGLOu / นั้น
มีความหมายตามศัพท์ว่า "ชาวดอย<ดอย,ภูเขา+ผู้" แต่จะหมายถึง
"ชาวไร่ผู้ปลูกงา ถั่ว ข้าวโพด และฝ้าย" ด้วย
ชาวพม่าและประเทศเมียนมา
อันที่จริงเป็นเรื่องไม่ง่ายนักที่จะตอบให้ชัดเจนว่าชนเชื้อสายพม่าต่างจากคนเผ่าอื่นอย่างไร
เพราะประเทศพม่ามีชนหลายเผ่าพันธุ์อาศัยอยู่ร่วมกันและมีการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมต่อกันมายาวนาน
ทั้งที่เป็นผู้รับมาแต่แรกและเป็นผู้ให้ในภายหลัง
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้เพียงว่า
คนพม่าคือคนที่มีเชื้อสายพม่าและพูดภาษาพม่าเป็นภาษาแรกมาแต่กำเนิด
และหากพิจารณาจากวิถีชีวิตของชาวพม่าในปัจจุบัน
พม่ามีธรรมเนียมนิยมอันเนื่องด้วยพุทธศาสนานิกายเถรวาทเป็นส่วนใหญ่
(ประเทศพม่ามีผู้ถือพุทธราว ๘๕ %)
มีความเชื่อเรื่องเทพนัต(o9N)อย่างฝังแน่น
และดำรงความเป็นอยู่อย่างพม่าไว้ได้อย่างมั่นคง เช่น
ชาวพม่านิยมนุ่งโสร่ง นุ่งซิ่น โพกผ้า พกลูกปะคำ ทาแป้งตะนะคา
นิยมกินถั่ว ดื่มน้ำชา กินหมาก และชอบอาหารรสมัน ดังนี้เป็นต้น
ตามความเชื่อที่สืบทอดกันมาของพม่า
กล่าวว่ากษัตริย์พม่าสืบเชื้อสายมาแต่ศากยวงศ์
และเชื่อว่าเมืองแห่งแรกของชนเผ่าพม่าในแผ่นดินเมียนมา เริ่ม ณ
เมืองตะกอง(9gdk'Nt) ดังคำกล่าวว่า e,oN,kv0 9gdk'Ntd แปลว่า
“จุดเริ่มของเมียนมา มาแต่ตะกอง” อย่างไรก็ตามนักวิชาการ อาทิ
ศาสตราจารย์ลูช (G.H. Luce) สันนิษฐานว่า ชนเผ่าพม่าน่าจะเริ่มรกราก ณ
พื้นที่เจ้าก์แซ ซึ่งอยู่ตอนล่างเมืองมัณฑะเล
จึงอาจกล่าวขัดกับความเชื่อเดิมของพม่าได้ว่า e,oN,kv0 gdykdNCPNd
ความว่า “จุดเริ่มของเมียนมา อยู่ที่เจ้าก์แซ”
เป็นไปได้ว่าคนเชื้อสายพม่าคงเริ่มตั้งหลักแหล่งอยู่ทางตอนกลางของประเทศตามแถบลุ่มแม่น้ำเอราวดี
แล้วจึงค่อยๆแพร่กระจายไปสู่ดินแดนรอบนอกโดยเฉพาะทางตอนใต้และทางตะวันตกเฉียงใต้
และจากหลักฐานทางภาษา
พออนุมานได้ว่าบรรพบุรุษของพม่ามีหลักแหล่งดั้งเดิมอยู่แถบตะวันตกเฉียงใต้ของจีน
ซึ่งเป็นบริเวณที่ยังคงมีพวกโลโลหรือพวกยี (Yi)
กลุ่มชนร่วมเชื้อสายกับพม่าอาศัยอยู่
จากนั้นชาวพม่าจึงอพยพไปทางตะวันตก
แล้วค่อยๆเคลื่อนย้ายลงมาตามลุ่มแม่น้ำเอราวดี
และรวมตัวกันจนเป็นปึกแผ่น
โดยสร้างเมืองพุกามขึ้นที่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเอราวดีตอนกลาง
ประวัติศาสตร์พม่าได้เริ่มปรากฏเป็นหลักฐานชัดเจน ณ ที่แห่งนี้
เมื่อราวต้นคริสตศตวรรษที่ ๑๑ เป็นต้นมา
อารยธรรมพม่าเจริญมาด้วยการหลอมรวมมรดกจากชนหลายเผ่าพันธุ์
ศาสตราจารย์ลูช(๑๙๘๕)กล่าวว่าชนชาติฉิ่น แตะ และกันตู
ถือเป็นสหายของชนชาติพม่า
มอญมอบอารยธรรมด้านพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาทและตัวอักษร
พยูถ่ายทอดมรดกทางศิลปะและสถาปัตยกรรม
ปะหล่องกับละว้าแถบเจ้าก์แซและมีนบู
รวมถึงกะเหรี่ยงให้ความรู้แก่พม่าในด้านชลประทานและการทำนา
และพม่าสืบศาสนาพุทธและพราหมณ์จากอินเดีย
ดังนั้นพม่าจึงเป็นดุจรูปธรรมของร่องรอยความหลากหลายทางอารยธรรมจากชนหลายเผ่าพันธุ์
ประวัติศาสตร์พม่าจำแนกได้ ๓ สมัย คือ สมัยราชวงศ์ สมัยอาณานิคม
และสมัยเอกราช ในสมัยราชวงศ์เป็นสมัยที่พม่าปกครองด้วยระบอบกษัตริย์
ซึ่งมี ๓ ราชวงศ์คือราชวงศ์พุกาม (ค.ศ.๑๐๔๔-๑๒๘๗)
ราชวงศ์ตองอู(ค.ศ.๑๔๘๖-๑๗๕๒) และราชวงศ์คองบอง(ค.ศ.๑๗๕๒-๑๘๘๕)
ในสมัยราชวงศ์นั้น
ราชธานีของพม่าส่วนใหญ่ตั้งอยู่ไม่ห่างจากเขตเจ้าก์แซมากนัก ได้แก่
เมืองพุกาม อังวะ รัตนสิงห์(ชเวโบ) อมรปุระ และมัณฑะเล
มีเพียงในสมัยราชวงศ์ตองอูเท่านั้นที่พม่าเคยย้ายเมืองหลวงมาอยู่ทางตอนใต้
คือที่เมืองตองอูบนลำน้ำสะโตงและเมืองหงสาวดีบนลำน้ำพะโค
เพราะในชั้นต้นพม่าต้องหนีภัยจากพวกไทใหญ่ที่เข้ามาครอบครองดินแดนเจ้าก์แซตั้งแต่ครั้นพุกามล่มลง
ต่อมาชาวพม่าได้มารวบรวมซ่องสุมผู้คนอยู่ที่เมืองตองอูอันเป็นเมืองชัยภูมิสำคัญใกล้เขตแดนของชาวกะเหรี่ยง
จนสามารถปราบได้มอญทางตอนใต้และย้ายราชธานีจากเมืองตองอูมาตั้งที่กรุงหงสาวดีอันเป็นราชธานีของมอญมาก่อนและเป็นเมืองท่าค้าขายทางทะเลที่สำคัญในขณะนั้น
ภายหลังราชวงศ์ตองอูพยายามขยายอำนาจเข้าครอบครองเมืองท่าสำคัญบนฝั่งตะวันออกของทะเลอันดามัน
อันมีเมืองเยและเมืองทวายเป็นอาทิ
ซึ่งส่งผลให้เกิดกรณีพิพาทกับกรุงศรีอยุธยา
ครั้นสิ้นรัชกาลพระเจ้าบุเรงนอง ไทยได้ประกาศอิสรภาพจากพม่า
ประกอบกับสถานการณ์ไม่สงบภายใน
เป็นเหตุให้ผู้นำพม่าราชวงศ์ตองอูต้องย้ายราชธานีจากหงสาวดีกลับคืนตองอู
และคืนสู่เขตเจ้าก์แซอีกครั้งหนึ่ง
ราชธานีพม่าจึงอยู่แถบนั้นเรื่อยมาจนสิ้นสมัยราชวงศ์คองบองในปลายคริสตศตวรรษที่๑๙
ก่อนที่พม่าจะตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษทั้งประเทศนั้น
พม่าได้ทำสงครามกับอังกฤษถึง ๓ ครั้ง คือ ค.ศ.๑๘๒๔, ๑๘๕๒ และ ๑๘๘๕
จากสงครามครั้งแรกทำให้พม่าสูญเสียอัสสัม มณีปุระ ยะไข่ และตะนาวศรี
ครั้งที่สองเสียเมืองพะโคและย่างกุ้งแก่อังกฤษ
และต้องเสียดินแดนทั้งประเทศพร้อมกับอวสานของราชบัลลังก์พม่าหลังจากพ่ายสงครามกับอังกฤษในครั้งที่สาม
พม่าเพิ่งมาได้รับเอกราชเมื่อหลังสงครามโลกครั้งที่สองในปีค.ศ.๑๙๔๘
แต่ก็นับเป็นเอกราชที่ไร้เอกภาพ
เพราะพม่าต้องประสบกับปัญหาสงครามกลางเมืองจากกองกำลังอิสระของชนส่วนน้อยที่ต้องการปกครองตนเอง
และจากการคุกคามของลัทธิคอมมิวนิสต์
ด้วยเหตุนี้พม่าจึงได้ลิ้มรสประชาธิปไตยเพียงแค่ ๑๔ ปี
ก็ถูกทหารทำการปฏิวัติเมื่อปี ค.ศ.๑๙๖๒
สภาปฏิวัติของนายพลเนวินปกครองพม่าราว ๑๓ ปี
จากนั้นจึงนำพม่าฟูมฟักอยู่ในระบอบสังคมนิยม นับแต่ปี ค.ศ. ๑๙๗๔
กินเวลาราวอีก ๑๔ ปี พม่าจึงห่างหายไปจากสายตาชาวโลกนับเนื่องราว ๒๖
ปี จนมีการเรียกร้องประชาธิปไตยครั้งสำคัญเมื่อปี ค.ศ.๑๙๘๘
พม่าจึงหวนมาปรับท่าทีในทางการเมืองใหม่อีกครั้งหนึ่ง
ด้วยการประกาศเปิดประเทศรับการลงทุนจากภายนอก
และดำเนินวิถีเศรษฐกิจตามกลไกตลาด
ขณะเดียวกันยังให้ความสำคัญต่อความมั่นคงของประเทศ
และเอกภาพของชนในชาติ
อีกทั้งต่อต้านการแซกแซงทางการเมืองจากภายนอก
ปัจจุบันประเทศพม่าได้ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศเป็น Union of Myanmar
หรือ "สหภาพเมียนมา" ซึ่งเขียนด้วยอักษรพม่าเป็น
exPNg5k'N06e,oN,kO6b'N'"g9kN อ่านว่า ปยี่ถ่องซุ เมียนหม่า
นัยหงั่งด่อ
ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากเหตุการณ์รุนแรงในการเรียกร้องประชาธิปไตยเมื่อปี
ค.ศ. ๑๙๘๘
และเหตุที่รัฐบาลได้ประกาศเปลี่ยนชื่อประเทศใหม่นี้ก็คงเพื่อสร้างเอกภาพขึ้นในนาม
และยังเป็นการแสดงท่าทียึดมั่นในแนวทางชาตินิยม ด้วยเห็นว่า Burma
เป็นคำที่ต่างชาติกำหนดเรียกกันเอง จึงถือเป็นสำเนียงต่างด้าว
ชื่อประเทศใหม่ของพม่าคือเมียนมานั้นจะใช้บ่งชี้ทั้งดินแดน ประชาชน
และวัฒนธรรมของประเทศโดยส่วนรวม ในขณะที่คำว่า "พม่า"
หรือที่กำหนดใหม่ว่า Bamar แทนคำ Burman
จะหมายถึงเฉพาะชนเชื้อสายพม่าที่ต่างจากชนเผ่าอื่นๆ คำ Burma,
Burmese และ Burman จึงเป็นคำที่พม่าขอเลิกใช้
ชาวพม่าท้องถิ่น
ในประวัติการสร้างชาติของสหภาพพม่านั้น
คนเชื้อสายพม่านับว่าได้รับสำคัญมากที่สุด
และถือเป็นชนพื้นเมืองที่กลุมอำนาจรัฐไว้อย่างเบ็ดเสร็จ
สำนึกของความเป็นสหภาพพม่านั้นจึงเป็นสำนึกของชนที่ร่วมเชื้อสายพม่าเป็นหลัก
ชื่อประเทศจึงหนีไม่พ้นที่จะใช้นามที่บ่งชี้กลุ่มชาติพันธุ์พม่าดังกล่าวมาข้างต้น
แต่ถ้าพิจารณาในความเป็นพม่าที่ถือเป็นแม่แบบทางวัฒนธรรมหลักของพม่าแล้ว
มักจะหมายเอารูปแบบชีวิตของชนชาติพม่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ตอนกลางตลอดลำน้ำอิระวดี
หากพ้นจากพื้นที่ดังกล่าว ก็จะเป็นพื้นที่ดั้งเดิมของชนเชื้อชาติอื่นๆ
อย่างไรก็ตาม ในพื้นที่รอบนอกของลำน้ำอิรวดีนั้น
ยังมีชนพื้นเมืองเชื้อสายพม่าอาศัยอยู่เช่นกัน
หากแต่ว่าชนเหล่านั้นพูดสำเนียงท้องถิ่นของตนต่างไปจากสำเนียงภาษาพม่ามาตรฐาน
ซึ่งก็อยู่ในระดับที่สื่อสารกันได้ไม่ยากนัก
หากจำแนกชนชาติพม่าตามสำเนียงภาษาแล้ว อาจจำแนกได้ ๘ กลุ่มหลักๆ
ได้แก่ ชาวพม่าที่พูดภาษาพม่าสำเนียงย่างกุ้ง
ภาษาพม่าสำเนียงนี้มีจำนวนผู้พูดมากที่สุด
และถือว่าสำเนียงย่างกุ้งเป็นสำเนียงแม่แบบหรือสำเนียงมาตรฐาน
ส่วนมากพูดกันในแถบลุ่มน้ำเอราวดีตอนล่าง
นอกจากชนพม่าที่พูดสำเนียงย่างกุ้งแล้ว
ก็มีชนเชื้อสายพม่าที่พูดสำเนียงต่างๆกันไปอีก ๗ สำเนียง ได้แก่
สำเนียงยะไข่(i-6b'N) สำเนียงอิงตา(v'Ntlkt) สำเนียงทวาย(5kt;pN)
สำเนียงยอ(gpk) สำเนียงตองโย(g9k'NU6bt) สำเนียงดะนุ(TO6)
และสำเนียงโพน(z:oNt)
ชนพม่าพื้นเมืองที่พูดสำเนียงท้องถิ่นที่รู้จักกันดีคือ
ชาวพม่าสำเนียงยะไข่ ชาวพม่าสำเนียงทวาย และชาวพม่าสำเนียงอิงตา
ทั้งสามกลุ่มมีจำนวนผู้พูดค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับชาวพม่าสำเนียงท้องถิ่นอื่นๆ
(ยกเว้นสำเนียงย่างกุ้ง)
สำเนียงยะไข่พูดกันในรัฐยะไข่ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของพม่า
สำเนียงทวายพูดอยู่ทางจังหวัดตะนาวศรี ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของพม่า
และสำเนียงอิงตาพูดอยู่ทางภาคตะวันออก
รอบๆทะเลสาปอินยาทางตะวันตกเฉียงใต้ของรัฐฉาน
เชื่อกันว่าชาวทวายคือชาวพม่าที่มาจากยะไข่
ส่วนชาวอิงตาเป็นพวกทวายที่อพยพขึ้นไปอยู่ทางตอนบน
สาเหตุที่มีการอพยพย้ายถิ่นกันนี้ยังไม่อาจยืนยันได้
แต่มีการสันนิษฐานกันว่า
ชาวทวายคือพวกยะไข่ที่เดินทางข้ามทะเลมากว้านซื้อมีดแถบตะนาวศรี
เพราะคำว่า ทวายหากเขียนเป็นภาษาพม่าจะเขียนว่า 5k;pN / thawE ~ d@wE
/ คำนี้อาจมาจากคำว่า Tkt;pN / da^wE / ซึ่งแปลตามศัพท์ว่า
"(ผู้)ซื้อมีด"
อย่างไรก็ตามทางฝ่ายไทยก็สันนิษฐานตามภาษาไทยว่าคำนี้น่าจะมาจาก
"ท่าหวาย" ซึ่งหมายถึงถิ่นที่มีการขนส่งหวายข้ามทะเลอันดามัน
นับเป็นชื่อหนึ่งที่พม่าลากไปไทยลากมา
ส่วนชาวอิงตานั้นเข้าใจว่าอาจเป็นพวกทวายที่หนีภัยสงครามจากกรุงศรีอยุธยา
แล้วอพยพขึ้นไปทำมาหากินที่ทะเลสาปอินยา
หรือไม่ก็อาจเป็นพวกที่ถูกพม่ากวาดต้อนไปเป็นเชลย
ลักษณะเด่นของชาวอิงตาคือปลูกบ้านและเพาะพืชสวนในทะเลสาป
คัดพายเรือด้วยเท้า ส่วนชื่ออิงตาจะเขียนเป็นภาษาพม่าว่า v'Ntlkt /
Qi^LOa^ / แปลว่า "ชาวทะเลสาป" และชาวไทใหญ่มักเรียกพวกอิงตาว่า
"ม่านหนอง"
ในด้านภาษานั้น ภาษาพม่าสำเนียงยะไข่ สำเนียงทวาย และสำเนียงอิงตา
ยังหาหลักฐานยืนยันความเกี่ยวพันกันได้ไม่ชัดเจน
พบเพียงว่าภาษาทั้งสามต่างมีร่องรอยของภาษาพม่ายุคโบราณอยู่บ้าง
คือยังคงรักษาเสียงบางเสียงที่สูญหายไปแล้วในภาษาพม่าสำเนียงย่างกุ้ง
เช่น พยัญชนะ ร / r / พบเฉพาะในสำเนียงยะไข่ และพยัญชนะควบกล้ำ ล / l
/ จะพบในสำเนียงทวายและอิงตา
อันที่จริงภาษาพม่าท้องถิ่นต่างๆมีความแตกต่างกันไม่มากนัก
และสามารถสื่อความหมายเข้าใจกันได้ไม่ยาก อย่างไรก็ตาม
หากจะกล่าวว่าภาษาพม่าท้องถิ่นใดมีความแตกต่างจากภาษาถิ่นอื่นมากที่สุดนั้น
เมื่อพิจารณาระบบเสียงแล้วคงอาจสรุปได้ว่าภาษาพม่าสำเนียงย่างกุ้งนี่เองที่ต่างจากภาษาพม่าท้องถิ่นอื่นๆ
เพราะสำเนียงย่างกุ้งได้สูญเสียและแปรเปลี่ยนเสียงบางเสียงไปมาก
ในขณะที่ภาษาพม่าท้องถิ่นอื่นยังคงรักษาลักษณะดั้งเดิมไว้ได้มากกว่า
ส่วนภาษาพม่าท้องถิ่นที่มีความแตกต่างจากภาษาพม่าสำเนียงย่างกุ้งมากจนยากต่อการสื่อความหมายนั้นน่าจะเป็นภาษาพม่าสำเนียงยะไข่
เพราะภาษายะไข่ยังคงรักษาเสียง / r / ไว้ได้เกือบทุกตำแหน่ง
ทั้งในตำแหน่งพยัญชนะต้นและในตำแหน่งพยัญชนะควบกล้ำ ดังเช่นคำว่า iab
/ Si# / แปลว่า "มี" และคำว่า e-'N / chiL / แปลว่า "ยุง"
ทางยะไข่จะออกเสียงตรงตามตัวเขียนเป็น / hri# / และ / khrGL /
ตามลำดับ ซึ่งถ้าไม่มีภาษาเขียนหรือกฎการปฏิภาคเสียงมายืนยัน
ก็คงต้องเข้าใจว่าเป็นคำต่างภาษาเลยทีเดียว
ด้วยเหตุที่ภาษาพม่าสำเนียงยะไข่ยังคงเสียง ร / r / ไว้ได้
จึงกล่าวได้ว่า หากต้องการสะกดคำที่มีอักษร / r / และ / y /
อย่างถูกต้อง ก็ควรดูที่การออกเสียงของชาวยะไข่
และจากการที่ภาษาพม่าสำเนียงยะไข่มีความแตกต่างจากภาษาพม่า
อีกทั้งการที่ยะไข่อยู่ห่างไกลจากศูนย์กลางอำนาจรัฐโดยมีเทือกเขาอาระกันโยมากั้นแยกจากแผ่นดินพม่าตอนกลาง
ประกอบกับยะไข่เคยมีอิสระในทางการเมืองและเคยตกเป็นอาณานิคมของอังกฤษมาตั้งแต่สมัยที่พม่าเสียดินแดนครั้งแรก
ยะไข่จึงถูกมองว่าเป็นชนเผ่าที่อยู่นอกกลุ่มพม่า
ในสมัยสังคมนิยมยะไข่จึงถูกกำหนดให้เป็นรัฐหนึ่งของสหภาพพม่าเฉกเช่นรัฐชนส่วนน้อยอื่นๆ
ด้วยเหตุที่สำเนียงพม่ามาตรฐานเป็นสำเนียงที่พูดกันทางตอนล่างซึ่งไม่ใช่ศูนย์กลางของอารยธรรมพม่ามาแต่เดิม
จึงเชื่อกันว่าสำเนียงพม่าแท้ๆน่าจะอยู่ทางตอนบนของประเทศ ณ
บริเวณตอนกลางของแม่น้ำเอราวดีที่โอบอ้อมเขตเจ้าก์แซ
คือนับแต่เมืองพุกามขึ้นไปจนถึงเมืองมัณฑะเลซึ่งเป็นราชธานีสุดท้ายของพม่า
ชาวพม่ามักบอกว่าหากต้องการฟังสำเนียงพม่าขนานแท้ก็ให้ไปฟังชาวบ้านแถบมัณฑะเลพูด
อย่างไรก็ตามภาษาพม่าที่มัณฑะเลกลับฟังดูไม่ต่างไปจากภาษาพม่าสำเนียงย่างกุ้งมากนัก
ที่พอสังเกตเห็นความแตกต่างได้บ้าง เช่น
ภาษาพม่าที่มัณฑะเลฟังดูเหน่อๆและนุ่มนวลกว่าภาษาพม่าที่ย่างกุ้ง เช่น
คนย่างกุ้งจะพูด 0ktxj "โปรดกิน<กิน+ปัจจัยแสดงความสุภาพ" ว่า
[ซาบ่า] แต่คนมัณฑะเลจะพูดแบบเอื้อนท้ายเสียงฟังเป็น [ซาบ๊า]
ดังนี้เป็นต้น ซึ่งถ้าเทียบความเหน่อกับภาษาท้องถิ่นในประเทศไทย
ก็ยังเทียบไม่ได้กับเวลาคนภาคกลางฟังคนสุพรรณบุรีพูด
เพราะคนสุพรรณเหน่อในระดับคำ
แต่คนมัณฑะเลมักจะเหน่อที่การลากเสียงท้ายประโยคจึงฟังดูไพเราะและนุ่มนวลกว่าภาษาพม่าตอนล่าง
อาจกล่าวได้ว่าภาษาพม่าท้องถิ่น
มีความแตกต่างกันที่วรรณยุกต์ไม่มากนัก
ความแตกต่างระหว่างถิ่นที่เห็นได้ชัดมักจะเป็นที่เสียงพยัญชนะต้นและเสียงสระ
อย่างไรก็ตามความแตกต่างระหว่างภาษาพม่าท้องถิ่นคงจะดำรงอยู่ได้อีกไม่นาน
เพราะอิทธิพลของภาษาพม่าสำเนียงย่างกุ้งได้ทำให้ภาษาท้องถิ่นหลายแห่งแปรเปลี่ยนไปสู่สำเนียงมาตรฐานมากขึ้นเรื่อยๆ
ส่วนชนเชื้อสายพม่าที่พูดภาษาพม่าสำเนียงท้องถิ่นอีก ๔ สำเนียง ได้แก่
สำเนียงยอ สำเนียงตองโย สำเนียงดะนุ และสำเนียงโพน นั้น
อาศัยในพื้นที่ตอนบนของพม่า
นับจากภาคมะเกวทางด้านตะวันตกของแม่น้ำอิรวะดี ผ่านภาคมัณฑะเลตอนกลาง
ไปจนถึงรัฐฉานทางด้านตะวันออก
ที่จริงชาวพม่ากลุ่มเหล่านี้มีจำนวนไม่มากนัก
และอยู่กระจายเฉพาะพื้นที่เท่านั้น แต่ก็เป็นกลุ่มที่น่าสนใจ
เพราะอยู่ในพื้นที่ชายขอบของราชธานีโบราณของพม่า ซึ่งได้แก่ อังวะ
และมัณฑะเล ดังนั้นนักประวัติศาสตร์ นักภาษาศาสตร์
และนักมานุษยวิทยาน่าจะให้ความสนใจศึกษากลุ่มชนเหล่านี้
เพราะในภาษาท้องถิ่นดังกล่าวพบว่ามีร่องรอยของภาษาพม่าโบราณอยู่ด้วย
และอีกประการหนึ่งบางกลุ่มมีสถานภาพอย่างชนกลุ่มน้อย
เพราะอาศัยอยู่ท่ามกลางชนพื้นเมืองกลุ่มอื่น ๆ
การทำความเข้าใจลักษณะทางวัฒนธรรมพม่า
และความเป็นมาทางชาติพันธุ์ของชนชาติพม่าที่แท้จริงนั้น
นอกจากจะศึกษาร่วมไปกับชนพื้นเมืองเผ่าต่างๆในสหภาพพม่าและประเทศไทยแล้ว
จึงยังสามารถศึกษาจากชนพื้นเมืองเชื้อสายพม่าสำเนียงต่างๆ
ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศสหภาพพม่าได้อีกทางหนึ่งด้วย
วิรัช
นิยมธรรม