ตามรอยความคิดพระเจ้าอโศกไปสู่สถูปใต้ดิน.


จากปัญหาที่เกิดขึ้นนี้เอง ทำให้เกิดการทบทวนเรื่องราวต่างๆที่เคยสักแต่ว่าอ่านแล้วทรงจำไว้ โดยไม่ได้พิจารณาไตร่ตรองให้ถ้วนถี่เสียก่อน ว่า เรื่องราวเหล่านั้น เกิดขึ้นมาได้อย่างไรกัน มันดำเนินไปอย่างไรกัน? นี่คือทางเดินของจิตสัตว์ เราจะมาตามรอยความคิดกัน ไม่ใช่ตามรอยเท้าอย่างเดียว.

ถามว่า พระเจ้าอโศกไปสู่สถูปเก็บพระบรมธาตุใต้ดินนั้นได้อย่างไร? ท่านรู้ล่วงหน้าอย่างแจ้งชัดหรือ? หรือว่า ท่านสุ่มเดาไปตามข้อสันนิษฐาน ตามจินตนาการของพระองค์ โดยอาศัยข้อมูลแวดล้อมจากบุคคลต่างๆ.?

เมื่อพิจารณาเพื่อตอบปัญหานี้ เราก็จะเห็นทางเดินของความคิดของพระเจ้าอโศกว่า พระองค์ ไม่ได้ทราบแจ้งชัด ว่า พระบรมสารีริกธาตุที่จะบรรจุในวิหาร84,000แห่งนั้น พระองค์จะได้จากที่ใด. พระองค์มีแต่ความเชื่อเท่านั้น เป็นเครื่องนำหน้าก่อน. ศรัทธาย่อมสำคัญในการเริ่มต้นอย่างนี้ เพราะพระเจ้าอโศกเชื่อว่า พระองค์จะได้พระบรมสารีริกธาตุไปบรรจุในวิหาร84,000 และทำการบูชา.

หลังจากนั้นแล้ว พระองค์ก็เริ่มเสาะแสวงหาพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่ง สมัยนั้น สถูปใต้ดินแห่งนี้ เป็นสิ่งลี้ลับสำหรับคนมคธะ ไม่ใช่สิ่งที่ปรากฏแก่ใครๆ ไม่มีใครมีความรู้แจ้งชัดในเรื่องบรมสารีริกธาตุที่พระมหากัสสปะให้จัดเก็บไว้นั้นเลย.

เครื่องมือที่พระเจ้าอโศกมีอยู่ในตอนนั้นคืออะไร? ก็คือพระไตรปิฎก ที่บันทึกเหตุการณ์ การแบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น๘ส่วน ซึ่งพระมหากัสสปะให้สังคายนาไว้. และพุทธบริษัทผู้รู้จักพระไตรปิฎกในยามนั้น ก็รู้เรื่องเกี่ยวกับพระบรมสารีริกธาตุเพียงเท่านั้นจริงๆ.

ยกเว้นในพุทธบริษัทส่วนน้อย ที่ไม่ถือมั่นในเฉพาะพระไตรปิฎก หากแต่ตามพิสูจน์ว่า สืบค้นว่า พระบรมสารีริกธาตุในแต่ละเมืองนั้น ยังอยู่ดีหรือไม่ จาริกเคลื่อนย้ายจากที่ไหนไปสู่ที่ไหน ด้วยเหตุอะไรบ้าง และปัจจุบันไปอยู่ที่ไหน? ท่านเหล่านี้จะรู้ เพราะใส่ใจเสาะแสวงหา ไม่ได้รู้เพราะเหตุอื่น.

เป็นอันว่า พระเจ้าอโศก เมื่อสมัยเริ่มต้นคิดจะสร้างวิหาร84,000นั้น พระองค์ก็เชื่อว่า จะมีพระบรมสารีริกธาตุในสถูป8แห่งใน8เมือง ซึ่งก็จะมากพอที่จะแบ่งออกไปประดิษฐานในวิหารทั้ง84,000. แต่แล้ว ความจริงก็มาปรากฏชัด เมื่อ...

เมื่อพระองค์ให้เจ้าพนักงาน ไปขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุจากสถูปเก่าแก่ทั้งหลายเหล่านั้น ในทุกๆเมือง.. แต่ไม่พบอะไรเลย ไม่ได้อะไรเลย. พระบรมสารีริกธาตุเหมือนจะสูญหายไปแล้ว ข้อความในพระไตรปิฎกที่พระองค์เคยยึดถือไว้ด้วยความเชื่อนั้น มาถึงบัดนั้น มันใช้ประโยชน์ไม่ได้ เพราะสิ่งต่างๆมันเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย.

แล้วพระองค์จะทราบได้อย่างไรทีนี้ ว่าจะหาพระบรมสารีริกธาตุมาได้จากที่ไหน? ก็ต้องได้สอบถามจากหมู่พระภิกษุทั้งหลาย.

พิจารณาดูสิว่า ในสมัยนั้น มีพระอรหันต์มากมายหลายองค์ ล้วนแต่มีปรีชา ทรงปฏิสัมภิทา มีหูตาและปัญญาดี. เป็นต้นว่า พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระเป็นต้น แล้วพระเถระเหล่านั้น ไม่มีใครรู้เลยหรือ ว่าพระบรมสารีริกธาตุไปอยู่ที่ไหน? ทำไมไม่มีใครบอกพระเจ้าอโศก.

เรื่องราวในอรรถกถากลับกล่าวว่า พระเจ้าอโศกถามในที่ประชุมสงฆ์ แล้วก็ปรากฏว่า มีพระภิกษุแก่ๆรูปหนึ่ง อายุสักร้อยยี่สิบปี. บอกว่า ท่านก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน? แต่ว่า สมัยเด็กๆเป็นสามเณรนั้น พระผู้พ่อของท่านได้พาไปสักการะสถูปหิน(ปาสาณสถูป)เล็กๆในที่แห่งหนึ่ง ทั้งยังบอกกับท่านว่า "เณร ทรงจำตรงนี้ไว้ให้ดีๆนะ สถานที่แห่งนี้สำคัญมาก".

นี่มันเป็นอย่างไรกัน? ทำไมคนที่บอก ไม่ใช่พระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ ไม่มีใครไปถามพระอินทร์ให้เลยหรืออย่างไร? หรือว่า ไม่มีใครคิดออก ว่าจะต้องทำอย่างไร?

ทีนี้ พอพระเจ้าอโศกได้ฟัง พระองค์ก็จินตนาการออกปั๊ปเลยว่า ที่นั่นล่ะๆ ไม่ใช่ที่อื่น. นี่พระองค์รู้ได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าใครมาบอกนะ แต่พระองค์รู้เอง ด้วยอาศัยจินตนาการ.

ก็เพราะว่า ท่านมีจินตนาการนั่นเอง ท่านก็ให้พาไปยังที่ตั้งสถูปหิน แล้วก็ให้คนขุดสถูปนั้น. พอขุดลงไป ปรากฏว่า เห็นสถูปหินเป็นหินตัน ไม่เป็นโพรง ฐานไม่ได้ใหญ่ แต่ปรากฏว่า มีพื้นหินอยู่ข้างล่าง. ก็ให้พนักงานขุดเคาะๆดู ได้ยินเสียงว่ามันเป็นโพรงอยู่ข้างล่าง ก็ให้ทุบแผ่นหินนั้นเลยทีเดียว.

เมื่อทุบแผ่นหินเข้าไปแล้ว พระองค์ก็ได้เห็นสิ่งต่างๆที่พระมหากัสสปะให้สร้างไว้ เป็นไปโดยลำดับ. จนสุดท้าย ได้พระบรมสารีริกธาตุออกมาบูชา ทำให้กระจัดกระจายไปทั่วทั้งชมพูทวีป.

ทีนี้ ถามว่า ในวิสัยที่พระเจ้าอโศกเห็นนั้น ท่านจะเห็นไหมว่า การเก็บพระบรมสารีริกธาตุส่วนที่ปกปิดไว้นั้น พระมหากัสสปะให้เก็บซ้อนใส่ผอบใสสถูปอย่างละ8ชั้นๆ ในวัสดุหลายชนิด. เพราะพระองค์ไม่ได้ทุบสถูปออกมาดู ย่อมไม่รู้ แม้แต่เห็นก็ไม่ได้เห็น. แต่แล้ว เรื่องราวเหล่านั้น มันมาปรากฏเขียนไว้ในพระไตรปิฎกในสมัยต่อมาได้อย่างไร? บรรยายเสียละเอียด ว่า พระมหากัสสปะให้เก็บพระบรมสารีริกธาตุในผอบจันทน์เหลือง8ชั้น ซ้อนสถูปจันทน์เหลือง8ชั้น....จนนอกสุดเป็นสถูปผลึก มีขนาดประมาณเท่าสถูปในถูปารามในลังกาทวีป.

อันนี้ก็ไม่ยาก พระอรหันต์ในสมัยนั้น เมื่อมีเหตุปรากฏ ท่านหูตาปัญญาดีอยู่แล้ว อาศัยเหตุนั้น ก็ไปถามพระอินทร์เสียว่า เรื่องราวมันเป็นอย่างไรกัน. ก็จะได้ฟังเรื่องราวการเก็บพระบรมสารีริกธาตุอย่างละเอียด จึงรู้ว่า วิสสุกรรมเทพบุตรเป็นคนปิดห้องสถูปและประดิษฐ์หุ่นยนต์ยามไว้.

แล้วพระอรหันต์เหล่านั้น ก็จารึกไว้ในพระไตรปิฎกเพิ่มเติม ผนวกเกร็ดความรู้เรื่องเหตุการณ์ที่พระเจ้าอโศกได้กระทำแล้วนั้นโดยลำดับ และแม้แต่ที่พระมหากัสสปะทำไว้.

แต่ ทีนี้ เมื่อไปถามพระอินทร์แล้ว จะรู้ทุกซอกมุมไหมว่า พระมหากัสสปะยังให้ทำอะไรไว้อีก ทำไมให้เก็บพระบรมสารีริกธาตุพิเศษไว้อีกต่างหาก ทำไม่พระเจ้าอชาตศัตรูจึงจารึกข้อความไว้อย่างนั้น?

เรื่องที่ไม่สมควรจะเปิด คือ ควรปกปิดเป็นความลับ แม้ว่าพระอรหันต์จะถาม พระอินทร์ก็จะไม่ตอบให้ อาจจะเพราะไม่รู้ก็ได้ หรือเพราะรู้แต่เป็นความลับก็ได้ จึงไม่บอก. แม้พระอรหันต์เอง บางรูป แม้พระอินทร์ไม่บอก อาจตรวจสอบได้ด้วยญาณ แต่เมื่อรู้แล้ว ท่านรู้ว่า เป็นเรื่องความลับ แล้วท่านจะป่าวประกาศอยู่ไหม? เพื่ออะไร?

พระอรหันต์ท่านย่อมพิจารณาเรื่องประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ การเปิดเผยความรู้ประเภทนี้ อันไหนไม่ควรเปิด ท่านก็จะไม่เปิด แม้เปิดก็จะไม่มีผลในที่สาธารณะ และฝูงชนก็จะไม่ยอมรับเอง เพราะความลับก็คือความลับ.

นี่คือการตามรอยพระเจ้าอโศกมหาราชว่า ลำดับการเข้าไปรู้นั้น มันเป็นไปโดยลำดับ ไม่มีข้าม ไม่ใช่ว่า เรื่องสถูปใต้ดินนั้น เป็นเรื่องที่รู้อยู่ก่อนแล้ว ทีแท้แล้ว เพิ่งปรากฏในตอนนั้นเอง.

 

หมายเลขบันทึก: 154047เขียนเมื่อ 17 ธันวาคม 2007 00:19 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 มิถุนายน 2012 09:48 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท