ย้อนรอยค่ายศึกษาพัฒนาชนบท หมู่บ้านอุ้มผางคี ตอนที่ 2


ไฟฉายน่ะ ไม่ได้ทำให้เราเห็นอะไรชัดไปทั้งหมดหรอก เราจะเห็นแต่ตรงที่มันส่องอยู่เท่านั้น แต่รอบข้างเราจะพร่ามัวไปหมดเพราะแสงจ้าของมัน..........ในคืนที่มืดสนิทด้วยไฟเทียม คุณจะมองเห็นทุกอย่างรอบตัวคุณด้วยไฟจากธรรมชาติ แล้วคุณก็จะปลอดภัยจากความมืด และไปถึงจุดหมายได้เหมือนๆ กัน

 

ต่อเนื่องจากการเดินทาง โดยรถไฟจากกรุงเทพฯ มาลงพิษณุโลกตอนตี 3 .....นั่งรถของ ตชด.มาจนถึงจังหวัดตากในตอนรุ่งสาง และเดินทางด้วยรถคันเดิมต่อเข้าไปยังอำเภออุ้มผาง ผ่านหุบเขาลำธารแมกไม้ ฯลฯ จนเมื่อเวลาประมาณ บ่ายสองโมงพอได้ ก็มาถึงตัวอำเภออุ้มผาง พอตรงนี้มันก็มีป้ายทางไปน้ำตกทีลอซู ลูกค่ายก็ยินดีปรีดาขากลับคงได้มาเที่ยวกัน 5555 ผมเลยพยายามบอกว่าอย่าเพิ่งดีใจ ยังไม่ชัวร์ๆ .....ถึงตรงนี้หลายคนที่สนิทกับผม เริ่มจะส่งเสียงอื้ออึงว่าถ้าไม่ได้ไปเที่ยวน้ำตก จะให้ผมแบกกระเป๋าทั้งหมดลงจากดอย ..... ตกลงผมผิดซะอย่างนั้น 

 

อำเภออุ้มผางเป็นอำเภอที่ไม่ใหญ่นัก มีร้านเล็กๆเป็นตึกแถว กับตลาดเพิงไม้ ถ้าจำไม่ผิดรถทัวร์ก็มาไม่ถึง รถไฟก็ไม่มี เพราะมันอยู่ในเขา เวลาคุณจะมาก็ต้องนั่งรถโดยสารมาลงแม่สอดแล้วต่อรถสองแถวที่เล่าให้ฟังมาที่นี่ อากาศไม่เย็นเพราะเริ่มบ่ายแล้ว.....เพื่อนผมบอกว่าเราจะไม่แวะเพราะเราสายมากแล้ว รถของเราขับผ่านตัวอำเภออุ้มผางและป้ายน้ำตกทีลอซู ไปยังตำบลชื่ออะไรผมก็ไม่แน่ใจ แต่ห่างจากตัวอำเภอประมาณ 15 กิโลเมตร เพื่อนผมบอกว่ารถของเราจะไปถึงตำบลที่ว่านี้ แล้วจะถ่ายสัมภาระลงรถกระบะเล็ก ส่วนคนก็จะลงเดินกัน เพราะเส้นทางต่อจากนั้นจะเป็นทางเล็กๆ ที่มีทั้งลำธาร เนินเขา ทุ่งหญ้า ซึ่งแคบและขรุขระ รถที่ขนของหนักไม่สามารถเข้าได้
ตำบลนี้เป็นทางผ่านเข้าไปยังหมูบ้านอุ้มผางคี ซึ่งก็แทบจะไม่มีอะไรนอกจากบ้านและต้นไม้ ทุกอย่างเป็นไม้เก่าๆ ที่เปื้อนสีแดงจากดินลูกรัง คนที่อยู่ส่วนใหญ่ก็เป็นคนแก่และเด็ก คนหนุ่มสาวคงลงไปทำงานในตัวอำเภอกันหมด ซึ่งก็เป็นลักษณะทั่วไปของท้องถิ่นห่างไกล
เพื่อนผมเรียกทุกคนมารวมกันเพื่อบอกสิ่งที่เราจะต้องทำกันต่อไป ซึ่งคือการเดินด้วยเท้าเข้าไปยังหมู่บ้าน เป็นระยะทางประมาณ 9 กิโลเมตร..........ทุกคนที่พร้อมจะมาลุยอยู่แล้วก็ไม่มีใครบ่น บางคนชอบเพราะนั่งรถกันจนจะเป็นลมอยู่แล้ว พวกเราก็เริ่มเดินกันในเวลาประมาณบ่าย 2 กว่าๆ
ข้อดีของการเดินคือการที่เราได้พูดคุยกับพี่ๆ ลูกค่าย ได้รู้จัก และเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากเขา รู้ความต้องการ และบอกกล่าวสิ่งที่เขาจะต้องเจอ ในการมาค่ายคราวนี้ เมื่อสนิทกันมากขึ้น เราก็ทำงานกันง่ายขึ้น .....ถือว่าโชคดี ที่พวกพี่ๆ ลูกค่ายค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ และเข้าใจถึงหัวใจของการออกค่าย จะเหลือก็แต่จับตาดูการทำงานของน้องๆ คนทำค่าย และแนะนำว่าจุดไหนบกพร่องอย่างไร ในขณะที่มีการประชุมในแต่ละวัน..........อืมม พี่เขารู้มากว่าผมอีก
เส้นทางเดินเท้าก็ขึ้นๆ ลงๆ บางทีก็เข้าไปในป่าที่มีต้นไม้สูงท่วมหัว บางทีก็ต้องเดินแหวกทุ่งหญ้าคมๆ บางทีก็ต้องเอามือจับขาเดินขึ้นเนินชันๆ บางทีก็ต้องใช้คำว่าปีน (รถจะไม่ใช้ทางนี้ แต่จะอ้อมไปอีกทาง) หรือบางทีก็ต้องถลกขากางเกง เดินผ่านลำธารเล็กๆ หรือข้ามสะพานที่ทำด้วยไม้ซุงใหญ่ๆ ที่ไม่มีราว..........9 กิโลเมตร ยังมีอะไรที่ต่างๆ กันขนาดนี้ แล้วชีวิตคนที่มันยาวนับแสนล้านกิโลเมตร ไม่แปลกเลยที่จะโลดโผนโจนทะยาน มีเรื่องราวไม่ซ้ำแบบให้สนุกตื่นเต้น
อากาศเริ่มเย็น แดดสีขาวก็เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้มๆ 9 กิโลทางเรียบมันคงจะไม่ลำบากนัก แต่ 9 กิโลที่เราเดินกันวันนี้ มันเป็น 9 กิโลแม้ว ที่ต้องเดินขึ้นๆลงๆ เลยทำให้เราเสียเวลากันพอสมควร เวลาประมาณ 6 โมงกว่าๆ เราก็เดินไปถึงที่หมายของเรา
หมูบ้านอุ้มผางคี เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ของชาวกระเหรี่ยง ทีมีอาชีพทำนาและทำไร่ ถ้าจำไม่ผิด มีสมาชิกหมู่บ้านประมาณ 100 คน อยู่บนยอดเขาที่เป็นแหล่งกำเนิดของลำธารและแม่น้ำเล็กๆ ที่เราเดินผ่านมา ซึ่งคงไม่ต้องบอกว่าน้ำในลำธารในหมู่บ้านนี้ใสแค่ไหน..........ครั้งแรกที่เราเดินถึงทางเข้าหมู่บ้าน เราจะต้องเดินข้ามลำธารตรงจุดพวกเขาเอาไว้ซักผ้า .....สาบาน ผมไม่เคยเห็นน้ำในธรรมชาติที่ไหน ใสเท่านี้มาก่อน เท้าที่อยู่ใต้น้ำชัดเจนเห็นแม้กระทั่งเล็บขบ เพื่อนผมบอกว่า คนที่นี่ใช้น้ำจากลำธารนี้ในกิจกรรมทุกอย่าง ทางตำรวจตระเวนชายแดนได้มาทำระบบน้ำ เช่นก๊อกน้ำ ห้องน้ำ หรือถังเก็บน้ำไว้ โดยดูดน้ำมาจากลำธารนี้ ซึ่งก็ปลอดภัยและสะอาดมากๆ ..........คนเมืองเอาสารเคมีทำน้ำให้สะอาดเพื่อนำมาใช้.....คนต่างจังหวัด เอามือตักน้ำจากลำธารดื่ม อาบน้ำในลำธาร.....ความสุขจากการปราศจากสารตกค้างคงทำให้คนที่นี่มีชีวิตที่สดใสสดชื่น และมีสุขภาพดีกว่าพวกเรามากนัก
ไม่มีเวลาคิดอะไรมาก เพราะใกล้จะมืดแล้ว เราต้องรีบเข้าไปพบผู้ใหญ่บ้าน เพื่อรับสัมภาระและเตรียมการที่อยู่ที่พัก.....ผู้ใหญ่บ้านชื่ออะไรผมจำไม่ได้จริงๆ แต่เป็นคนที่มีอัธยาศัยดีมากๆ เป็นลุงตัวเล็กๆ ที่เต็มไปด้วยร่องรอยของการทำงาน..........คุณลุงพร้อมชาวบ้านออกมาต้อนรับเราที่ลานหน้าบ้าน และกล่าวอะไรนิดหน่อยพอเป็นพิธี เพราะรู้ว่าพวกเราเหนื่อยกันมาก จึงส่งต่อให้พวกผมคนทำค่ายให้จัดการต่อ แล้วพบกันพรุ่งนี้เช้าอีกที
ผมเองไม่ทราบการจัดระบบการอยู่อาศัยและการทำงานในค่ายซักเท่าไหร่ เพราะผมไม่ได้ทำงานในส่วนนี้ เพราะฉะนั้นผมก็รู้พร้อมๆ กับลูกค่ายตอนนี้เอง ว่าทางชาวบ้านได้กรุณาให้เราได้พักที่บ้านพวกเขา..........เพื่อนผมก็จัดการโดยให้มี staff ประจำบ้านๆละ 1 คน..... ก็ออกมาได้ 13 หรือ 14 บ้านได้ แล้วลูกค่ายทั้งหมดก็จะถูกแบ่งไปพักในแต่ละบ้านในจำนวนเท่าๆ กัน ก็ออกมาได้บ้านละ 3 คนบ้าง 4 คนบ้าง..........ผมเป็น staff ค่ายคนหนึ่ง ได้รับมอบหมายให้ประจำบ้านหลังที่ 7 และลูกค่ายในบ้านผมก็มี 3 คน เป็น ผู้หญิงทั้งหมด มาจากคณะบัญชี 1 คน และศิลปะศาสตร์ 2 คน ก็เป็นพี่ปี 4 ทั้งหมด.....ดูไม่มีพิษมีภัย หน้าตาก็น่ารักดี คงจะไม่มีปัญหาอะไร ..........เวลาเกือบ 2 ทุ่ม (หรือเกือบ 3 ทุ่ม ไม่แน่ใจ) ผมกับพี่ๆ ก็เดินไปกับชาวบ้านคนหนึ่งที่มารับ.....ที่นี่ไม่มีไฟฟ้า เราก็ใช้ไฟฉายเดินกันในเวลากลางคืน.....แต่มีชาวบ้านคนหนึ่งบอกว่า ไฟฉายน่ะ ไม่ได้ทำให้เราเห็นอะไรชัดไปทั้งหมดหรอก เราจะเห็นแต่ตรงที่มันส่องอยู่เท่านั้น แต่รอบข้างเราจะพร่ามัวไปหมดเพราะแสงจ้าของมัน..........ในคืนที่มืดสนิทด้วยไฟเทียม คุณจะมองเห็นทุกอย่างรอบตัวคุณด้วยไฟจากธรรมชาติ แล้วคุณก็จะปลอดภัยจากความมืด และไปถึงจุดหมายได้เหมือนๆ กัน.......... เท่สุดๆไปเลยครับพี่น้อง 555..... คือเขาไม่ได้พูดเป๊ะๆแบบนี้หรอกนะครับ แต่ผมจับใจความออกมาได้ประมาณนี้..... ผมก็เลยลองดับไฟฉายดู ซึ่งแน่นอนว่าแรกๆ ตามันก็จะพร่าเพราะปรับแสงไม่ทัน แต่พอเราเริ่มชินกับความมืด เราก็เห็นอย่างที่เขาบอก เห็นก้อนหิน ก้อนดิน เห็นรั้วเห็นบ้าน เห็นทุกอย่างที่ถึงแม้จะเป็นสีออกเทาๆ แต่ก็ชัดเจนดีจริงๆ .....แสงธรรมชาติที่พี่เขาว่า คงจะเป็นแสงจันทร์ วันนี้เป็นวันพระจันทร์เต็มดวงพอดี เราเลยเห็นอะไรได้ชัดๆ แบบนี้..........ผมเลยเงยหน้าไปมองพระจันทร์.....นอกจากพระจันทร์เต็มดวงที่สวย และกลมเหมือนลูกบอลแล้ว ผมยังเห็นดาวอีกด้วย..........ในกรุงเทพฯ ผมเห็นดาวไม่กี่ดวง ถ้าว่างมากและมีคนจ้างซักพันนึงให้ผมนับดาวใน กทม. ผมคงนับเสร็จได้ในคืนเดียว .....แต่ที่หมู่บ้านนี้ ดาวมีเป็นล้านดวงเลยครับ มันเยอะมากๆ คงเพราะไม่มีแสงเทียมจากเสาไฟ สปอตไลท์ หรือไฟฉายมาบดบังพวกมัน .....ผมพูดกับพี่ๆ ที่จะพักกับผม เขาก็บอกว่ามันสวยมากจริงๆ แต่พอดีบ้านเขาก็อยู่ต่างจังหวัดเลยไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมาก.....เสร่อจริงๆ คนกรุงเทพฯ ผมพูดกับตัวเอง
เดินมาซักร้อยเมตรกว่าๆ เราก็มาถึงบ้านของเรา คนที่พาเรามาเป็นลูกสาวของบ้านนี้ อายุ 18 หรือ 19 นี่แหละ มีลูกแล้ว 1 คน ผมถามว่าทำไมมีลูกเร็ว เขาบอกไม่มีอะไรทำ ...-_-... ก็ไว้จะคุยกันมากกว่านี้ แต่วันนี้คงจะนอนกันก่อน เพราะเหนื่อยกันมาก เขาบอกว่าบ้านหลังนี้มีพ่อแม่ของเขากับน้องสาวเขาอีก 2 คนพักอยู่ ตัวเองอยู่กับสามีที่บ้านหลังเล็กที่สร้างแยกออกไปด้านหลัง พ่อแม่ของเขาฟังภาษาไทยได้ แต่พูดภาษาไทยไม่ได้ เขาบอกคนแก่ที่นี่พูดไทยไม่ได้ แต่คนรุ่นๆ อย่างพวกเขาได้ไปโรงเรียน พวกเขาเลยได้เรียนภาษาไทย..........ที่นี่มีโรงเรียนอยู่บนเนินเขาของหมู่บ้าน มีตั้งแต่ชั้น ป.1-ป.6 มีครูประจำ 1 คน
ผมกับลูกค่ายก็นอนกันตรงเฉลียงบ้าน โดยพี่ 3 คนนอนอยู่มุมหนึ่ง ผมก็แยกออกมานอนอีกด้าน โดยทางคุณลุงและคุณป้าได้จัดที่นอนให้เรียบร้อยแล้ว.....ผมไม่เห็นตัวท่านเพราะนอนกันหมดแล้ว เมื่อจัดระเบียบตัวเองกันเรียบร้อย น้องที่พาเรามาก็ขอตัวไปนอน.....พวกผมก็เหนื่อยโคตร ไม่ต้องคิดเรื่องอาบน้ำเลย หลับตาก็หมดสติแล้ว.....ผมกับพวกพี่ๆ จึงจับกลุ่มคุยกันเล็กน้อย พอให้รู้จักกัน และก็เข้านอนโดยไม่ต้องดับไฟหัวเตียง และไม่ต้องตั้งเวลาปิดทีวี
ขอบคุณที่ตามอ่านนะครับ เป็นคนที่เขียนเยิ่นเย้อมากต้องขอโทษด้วย ความทรงจำที่ดีบางทีมันก็มีข้อจำกัดที่เวลาเหมือนกัน ผมขอเล่าเพียงเท่านี้ก่อน แล้วมีโอกาสจะมาเขียนเพิ่มครับ

 

 

หมายเลขบันทึก: 153672เขียนเมื่อ 15 ธันวาคม 2007 01:28 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:58 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (1)

สวัสดีค่ะ

มีเรื่องดีๆ  ที่อยากแลกเปลี่ยน  แต่ตัวอักษรเล็กมากอ่านยาก  เลยอ่านยังไม่จบค่ะ  ไว้ปรับปรุงแล้วจะกลับมาอ่านใหม่นะคะ

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท