1 เป้าหมายขั้นสุดท้ายของนโยบายการเงินไทยมีอะไรบ้างและปัจจัยรัฐบาลของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรใช้เครื่องมือของนโยบายการเงินใดบ้างเป็นหลักในการบริหารประเทศ
ตอบ ธนาคารแห่งประเทศไทยดำเนินนโยบายการเงินภายใต้กรอบเป้าหมายเงินเฟ้อแบบยืดหยุ่น (Flexible Inflation Targeting) มาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2543 ซึ่งหมายความว่า ธปท. ไม่ได้ให้ความสำคัญกับการดูแลอัตราเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว แต่ ธปท. ยังให้ความสำคัญกับการดูแลการขยายตัวทางเศรษฐกิจ รวมทั้งเสถียรภาพด้านอื่นๆ อาทิ ภาคธุรกิจ ภาคครัวเรือน ภาคสถาบันการเงิน และตลาดการเงินด้วย
ปัจจัยที่รัฐบาลใช้บริหารประเทศ
กนง. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเห็นชอบร่วมกันที่จะยังคงใช้อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเฉลี่ยรายไตรมาสที่ร้อยละ 0.5 -3.0 ต่อปี ซึ่งเป็นเป้าหมายเงินเฟ้อต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2552 โดยเห็นว่ายังคงเป็นเป้าหมายที่มีความเหมาะสมในการช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจไทยมีเสถียรภาพและเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะต่อไป ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติเป้าหมายดังกล่าวเมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2553
กรณีที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเคลื่อนไหวออกนอกช่วงเป้าหมาย
ข้อตกลงร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังได้กำหนดไว้ว่า
“กรณีที่อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเคลื่อนไหวออกนอกช่วงเป้าหมาย ตามที่ได้ตกลงร่วมกันไว้ ให้ กนง. ชี้แจงสาเหตุ แนวทางแก้ไข และระยะเวลาที่คาดว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานจะกลับเข้าสู่ช่วงที่กำหนดไว้โดยเร็ว รวมทั้งให้รายงานความคืบหน้าของการแก้ไขปัญหาเป็นระยะตามสมควร”
2 ท่านคิดว่าตลาดการเงินในส่วนของตลาดทุนนั้นควรมีทิศทางในการพัฒนาอย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบจากการไหลเข้าออกของกระแสเงินเสรี
ตอบ การพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศย่อมต้องอาศัยเงินทุนเป็นปัจจัยสำคัญ ตลาดทุนช่วยให้ธุรกิจต่างๆ ทั้งที่เพิ่งเริ่มก่อตั้งและที่ต้องการขยายธุรกิจสามารถจะระดมทุนมาได้โดยการออกหุ้นและนำมาจำหน่ายในตลาดทุน วิธีระดมทุนเช่นนี้มีข้อดีต่อธุรกิจ คือ เป็นเงินทุนระยะยาว และในกรณีของการระดมทุนเป็นตราสารหนี้ก็จะมีภาระดอกเบี้ยน้อยกว่ากู้จากสถาบันการเงิน การนำหุ้นออกขายในตลาดทุน ทำให้ธุรกิจที่ออกหุ้นสามารถใช้เป็นเงินทุนในการขยายธุรกิจในอนาคต
ส่วนด้านของผู้ที่ต้องการลงทุนการนำเงินมาซื้อหลักทรัพย์ก็อาจจะได้รับประโยชน์สูงกว่านำเงินไปฝากธนาคาร เมื่อเวลาผ่านไปราคาหุ้นมีแนวโน้มที่จะสูงขึ้นจากผลการดำเนินงานที่ดีของธุรกิจผู้ลงทุนก็จะได้รับกำไรมากขึ้น อย่างไรก็ตามการลงทุนซื้อหลักทรัพย์ในตลาดทุนก็มีอัตราความเสี่ยงเช่นกัน ทั้งนี้เพราะผลกระทบจากปัจจัยภายนอกที่เราไม่สามารถควบคุมได้ อาจทำให้ราคาหุ้นตกต่ำลง แต่ถ้าเลือกถือหุ้นที่มีผลประกอบการดีก็อาจจะได้รับผลตอบแทนในรูปของเงินปันผลที่จ่ายในอัตราคุ้มค่ากับการลงทุน
โลกที่มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนแบบเสรี
โลกของเราทุกวันนี้แตกต่างจากโลกที่อยู่ในตำราของนักเศรษฐศาสตร์ค่อนข้างมาก กระแสโลกาภิวัฒน์ได้ทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของสินค้า เงินทุน และข้อมูลข่าวสาร ข้ามพรมแดนไปมาอย่างรวดเร็ว ภาวะเศรษฐกิจของแต่ละประเทศจึงได้รับอิทธิพลจากภาวะเศรษฐกิจโลกด้วย ปัจจุบันยังไม่มีนักเศรษฐศาสตร์คนไหนที่สามารถสร้างแนวคิดหรือหลักการอะไรที่จะใช้อธิบายความเป็นไปของระบบเศรษฐกิจที่ได้รับอิทธิพลจากโลกภายนอกมากถึงขนาดนี้
ระบบเศรษฐกิจในตำราเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ที่เราได้เรียนกันมักจะตั้งอยู่บนสมมติฐานว่าระบบเศรษฐกิจเป็นระบบปิดที่ ไม่มีการติดต่อกับโลกภายนอกมากนักโดยเฉพาะอย่างยิ่งไม่มีการไหลเข้าออกของเงินทุนระหว่างประเทศ แต่ โรเบิร์ต มัลเดล (Robert Mundell: 1932-) นักเศรษฐศาสตร์ชาวแคนาดาเจ้าของรางวัลโนเบลดูเหมือนจะเป็นคนแรกๆ ที่พยายามบุกเบิกเรื่องนี้ และสามารถสร้างแนวคิดที่สามารถอธิบายระบบเศรษฐกิจแบบเปิดได้อย่างชัดเจนและน่าสนใจมาก
ตามแนวคิดของมัลเดล เศรษฐกิจของประเทศส่วนใหญ่ในโลกอาจมองได้ว่าเป็นระบบเศรษฐกิจขนาดเล็กแบบเปิด (small open economy) หมายความว่าเป็นระบบเศรษฐกิจที่มีการพึ่งพาการค้าระหว่างประเทศมาก ทำให้ต้องมีนโยบายเสรีเรื่องการไหลเข้าออกของเงินทุน การไหลเข้าออกของเงินทุนอย่างรวดเร็วจะทำให้ประเทศเหล่านี้ได้รับอิทธิพลจากความผันผวนของเศรษฐกิจโลกมาก มัลเดลอธิบายว่า การไหลเข้าออกของทุนได้อย่างเสรีจะทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงภายในประเทศเหล่านี้วิ่งเข้าหาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของโลก เนื่องจากเงินทุนข้ามชาติจะวิ่งออกจากบริเวณที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำไปสู่บริเวณที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงเพื่อแสวงหาผลตอบแทนทำให้อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะวิ่งเข้าหากัน ปรากฎการณ์นี้จะส่งผลกระทบต่อการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจภายในประเทศ
สมมติว่ามีประเทศเล็กๆ ประเทศหนึ่งที่มีการติดต่อกับโลกภายนอกมากๆ พยายามส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนด้วยการใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบผูกไว้กับค่าเงินสกุลหลักของโลก ได้แก่ เงินดอลล่าร์สหรัฐฯ ในขณะเดียวกันก็เปิดให้มีการไหลเข้าออกของเงินทุนได้อย่างเสรี เพื่อเป็นการอำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุนต่างประเทศอีกทางหนึ่ง ปกติแล้วในการผูกค่าเงิน ธนาคารกลางของประเทศนี้จะต้องใช้ทุนสำรองเข้าไปซื้อ(ขาย)เงินของประเทศตัวเองในตลาดโดยใช้ทุนสำรองที่มีอยู่เพื่อรักษาระดับอัตราแลกเปลี่ยน การลดลง(เพิ่มขึ้น)ของเงินทุนสำรองจะส่งผลทำให้ปริมาณเงินในระบบเศรษฐกิจภายในประเทศลดลง(เพิ่มขึ้น) ตามไปด้วยเสมอ ดังนั้นธนาคารกลางจึงไม่มีอิสระในการควบคุมปริมาณเงินในประเทศเนื่องจากปริมาณเงินภายในประเทศต้องเพิ่มหรือลดไปตามการดูแลอัตราแลกเปลี่ยน
เพื่อลดผลกระทบของปริมาณเงินภายในประเทศจากการดูแลค่าเงิน ธนาคารกลางอาจใช้วิธีทำธุรกรรมหักล้าง (Sterilization) การดูแลค่าเงินโดยการซื้อ(ขาย)พันธบัตรในตลาดพันธบัตรร่วมด้วยเพื่อให้ปริมาณเงินในประเทศที่เปลี่ยนไปเพราะการดูแลค่าเงินกลับมาอยู่ที่จุดเดิมก่อนที่ธนาคารกลางจะใช้นโยบายการเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศอีกที
อย่างไรก็ตาม ในระบบเศรษฐกิจแบบเปิด แม้ธนาคารกลางจะพยายามทำธุรกรรมหักล้างก็จะไม่ได้ผล เนื่องจากมีการไหลเข้าออกของเงินทุนได้อย่างเสรี ไม่ว่าธนาคารกลางจะพยายามทำให้อัตราดอกเบี้ยภายในประเทศเป็นเท่าไร ก็มีจะมีเงินทุนไหลเข้าและออกเพื่อทำให้อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงภายในประเทศวิ่งเข้าหาอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงของโลกอยู่ดี ธนาคารกลางจึงสูญเสียความสามารถในการบริหารจัดการระบบเศรษฐกิจภายในประเทศโดยใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยจากการเปิดเสรีเรื่องเงินทุน
ถ้าหากประเทศนี้ยังต้องการมีนโยบายอัตราดอกเบี้ยเป็นของตนเองอยู่ ประเทศนี้จะต้องเปลี่ยนไปใช้นโยบายควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุน หรือมิฉะนั้นก็ต้องหันไปใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแทน อัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวจะช่วยป้องกันอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศไม่ให้วิ่งเข้าหาอัตราดอกเบี้ยของโลกได้เพราะ เมื่อธนาคารกลางประกาศลดดอกเบี้ยเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เงินทุนจะไหลออกจากประเทศไปหาที่ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า แต่การไหลออกของเงินทุนจะทำให้ค่าเงินอ่อนลงด้วย เมื่อค่าเงินอ่อนลง การส่งออกก็จะดีขึ้น เมื่อการส่งออกดีขึ้น เศรษฐกิจภายในประเทศก็จะดีขึ้นตาม การลดดอกเบี้ยจึงช่วยทำให้เศรษฐกิจภายในประเทศดีขึ้นได้ผ่านทางการส่งออกที่ดีขึ้น นโยบายดอกเบี้ยจึงยังคงมีประสิทธิผลอยู่
มัลเดลสรุปว่า ในระบบเศรษฐกิจแบบเปิด ประเทศจะไม่สามารถมีเป้าหมายสามอย่างต่อไปนี้ได้พร้อมกัน จำเป็นต้องสละเป้าหมายใดเป้าหมายหนึ่งออกไปเพื่อให้อีกสองเป้าหมายที่เหลือเป็นไปได้
1. นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่
2. นโยบายเปิดเสรีเรื่องการไหลเข้าและออกของเงินทุน
3. นโยบายอััตราดอกเบี้ยสำหรับบริหารจัดการเศรษฐกิจภายในประเทศ
ก่อนที่ประเทศไทยจะเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง ประเทศไทยเคยใช้นโยบายอัตราแลกเปลี่ยนแบบผูกค่าเงิน และมีการควบคุมการไหลเข้าออกของเงินทุนมาก่อน ซึ่งทำให้ประเทศไทย
สามารถมีนโยบายอัตราดอกเบี้ยของตัวเองได้ แต่อยู่ดีๆ การมีการผ่อนคลายเรื่องการไหลเข้าออกของเงินทุนผ่านทาง BIBF เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักลงทุน ทำให้นโยบายอัตราดอกเบี้ยใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป เมื่อธนาคารแห่งประเทศไทยพยายามแก้ไขปัญหาเงินเฟ้อสูงด้วยการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในประเทศ ความปั่นป่วนของปริมาณเงินภายในประเทศก็เกิดขึ้น เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยในบ้านเราสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยนอกประเทศมาก เงินทุนต่างประเทศพากันไหลเข้ามาเก็งกำไรส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง เงินที่ไหลเข้ามาทำให้ปริมาณเงินในประเทศเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเกิดภาวะฟองสบู่ในตลาดสินเชื่อและเกิดการเก็งกำไรในตลาดสินทรัพย์ประเภทต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ตลาดอสังหาริมทรัพย์ จนฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์แตกในเวลาต่อมา
ปัจจุบัน ประเทศไทยหันมาใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวแล้ว ทำให้ประเทศไทยสามารถมีนโยบายอัตราดอกเบี้ยเป็นของตัวเองได้ทั้งที่ปล่อยให้มีการไหลเข้าออกของเงินทุนได้อย่างเสรีตามแนวคิดของมัลเดล ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวเป็นระบบที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เพราะทุกวันนี้นักค้าเงินข้ามชาติมีเงินทุนรวมกันมากกว่าเงินทุนสำรองของประเทศใดๆ ในโลก การปกป้องค่าเงินด้วยการผูกค่าเงินจึงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากเพราะจะตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีค่าเงินในที่สุด ทุกวันนี้ประเทศไทยก็มีการติดต่อกับโลกภายนอกเป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยมีการส่งออกเป็นจำนวนมหาศาล การปล่อยให้มีการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีจึงนับว่าเป็นนโยบายที่เหมาะสมกับประเทศไทยด้วย
หากพิจารณาจากแนวคิดของมัลเดล ทุกวันนี้ ถ้าหากประเทศไทยยังต้องการใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยในการบริหารจัดการเศรษฐกิจภายในประเทศ ประเทศไทยก็ควรปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนลอยตัวอย่างแท้จริง การพยายามแทรกแซงค่าเงินให้อ่อนกว่าความเป็นจริงเพื่อเป็นการสร้างความได้เปรียบในการส่งออกจะส่งผลให้้้นโยบายดอกเบี้ยภายในประเทศขาดประสิทธิภาพ
. . . .นอกจากนี้ มัลเดลยังค้นพบด้วยว่า ภายใต้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวและการไหลเข้าออกของเงินทุนอย่างเสรี การใช้นโยบายการคลังเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจจะใช้ไม่ได้ผลเนื่องจากเมื่อรัฐบาลกู้เงินมาใช้จ่ายเพิ่มขึ้น ดอกเบี้ยในประเทศก็จะเพิ่มขึ้น ทำให้มีเงินทุนจากต่างประเทศไหลเข้ามามาก ค่าเงินก็จะแข็ง ทำให้การส่งออกแย่ลง เมื่อการส่งออกแย่ลงก็จะไปหักล้างผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรัฐบาล นโยบายการคลังจึงไม่มีประสิทธิภาพ ประเทศที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวและมีการไหลเข้าออกของเงินทุนได้อย่างเสรีจึงควรใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยเป็นเครื่องมือหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ และใช้นโยบายการคลังให้น้อยที่สุด
ในทางตรงกันข้ามประเทศที่เลือกใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบคงที่แต่มีการไหลเข้าออกของเงินทุนอย่างเสรี นโยบายการเงินจะเป็นนโยบายที่ไม่มีประสิทธิภาพอย่างที่กล่าวมาแล้ว ในกรณีเช่นนี้ รัฐบาลควรหันมาใช้นโยบายการคลังเป็นเครื่องมือหลักในการกระตุ้นเศรษฐกิจแทนจะได้ผลมากกว่า เพราะการกู้เงินของรัฐบาลจะไม่ทำให้ค่าเงินแข็งภายใต้ระบบนี้
. . . .
แนวคิดของมัลเดลยังช่วยทำให้เราเข้าใจว่า สำหรับประเทศที่ใช้ระบบอัตราแลกเปลี่ยนแบบลอยตัวอย่างแท้จริงโดยปราศจากการแทรกแซงใดๆ จากธนาคารกลาง และมีการไหลเข้าออกของเงินทุนได้อย่างเสรี การขาดดุลการค้าจะถูกชดเชยด้วยการไหลเข้าของเงินทุนเป็นจำนวนที่เท่ากันเสมอ (ถ้าขาดดุลการค้าก็จะเกินดุลบัญชีทุนเป็นจำนวนเท่ากัน หรือถ้าเกินดุลการค้าก็จะขาดดุลบัญชีทุนเป็นจำนวนเท่ากันด้วย) ในทางตรงกันข้าม การได้ดุลการค้าก็จะถูกหักล้างด้วยการไหลออกของเงินทุนเป็นจำนวนที่เท่ากันด้วย ประเทศที่ใช้ระบบนี้จึงมีดุลการชำระเงินของประเทศที่สมดุลเสมอ และการที่ประเทศเหล่านี้จะขาดดุลการค้ามากหรือน้อย (ซึ่งหมายถึงจะมีเงินทุนไหลเข้าออกมากหรือน้อยด้วยโดยอัตโนมัติ) จะไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการส่งออกสินค้า (เพราะค่าเงินแข็งและอ่อนตามความเป็นจริง อัตราแลกเปลี่ยนจึงไม่มีผลต่อการส่งออก) แต่จะขึ้นอยู่กับส่วนต่างระหว่างอัตราดอกเบี้ยในประเทศ กับอัตราดอกเบี้ยของโลกเป็นสำคัญ หากธนาคารกลางใช้นโยบายอัตราดอกเบี้ยต่ำเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศ เงินจะไหลออกมาก ทำให้ประเทศต้องได้ดุลการค้าโดยอัตโนมัติ (เพราะดุลการค้าต้องชดเชยกับเงินที่ไหลออกเสมอ) ในทางตรงกันข้าม หากธนาคารกลางกำหนดอัตราดอกเบี้ยในประเทศให้สูงกว่าอัตราดอกเบี้ยโลก เงินก็จะไหลเข้า ทำให้ประเทศต้องขาดดุลการค้าด้วย เพราะฉะนั้นในระบบเศรษฐกิจแบบเปิด การได้ดุลการค้าจะไม่ใช่สิ่งที่บ่งบอกถึงความสามารถในการส่งออกของประเทศเหมือนอย่างที่เคยเข้าใจกันอีกต่อไป แต่หมายถึง ในช่วงเวลานั้น มีเงินไหลออกจากประเทศ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยภายในประเทศถูกกำหนดไว้ให้ต่ำกว่าอัตราดอกเบี้ยของโลก
3 สถาบันการเงินระหว่างประเทศมี ไอเอ็มเอฟ เอโอบี และworld Bank มีส่วนต่อการพัฒนาเศรษฐกิจไทยอย่างไรเมื่อเปรียบเทียบกับธนาคารออมสิน ธอส และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย
วัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง IMF คือ จัดการและควบคุมระบบการเงินของโลกและช่วยเหลือประเทศที่เผชิญกับวิกฤตเศรษฐกิจ โดยจะประสานการทำงานกับกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติของแต่ละประเทศ หน้าที่หลักของ IMF มีอยู่ 3 ประการคือ
1. จัดระบบการเงินโลก
2. กำกับกติกาทางเศรษฐกิจของโลก เพื่อให้เกิดความมั่นคงมีเสถียรภาพ
สร้างเงินซึ่งเป็นเงินสำรองระหว่างประเทศ เป็นเงินที่เป็นกลาง ไม่ได้เป็นเงินของประเทศใดประเทศหนึ่ง Development Bank - ADB) ADB เป็นสถาบันการเงินเพื่อการพัฒนาแบบพหุภาคีที่อุทิศให้กับการลดความยากจนในภูมิภาคเอเชีย
world Bank เพื่อช่วยเหลือประเทศสมาชิกที่ได้รับความเสียหายจากสงครามโลกครั้งที่สอง โดยให้สมาชิกกู้ยืมไปเพื่อบูรณะซ่อมแซมและพัฒนาประเทศ ต่อมาได้ขยายขอบเขตของการบริการออกไปเป็นการสนับสนุนการลงทุนเพื่อการพัฒนาและเพิ่มผลผลิตในประเทศที่กำลังพัฒนา เพื่อยกระดับชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศสมาชิก ตามลักษณะกิจการที่จะลงทุนและตามความจำเป็นและยังช่วยเหลือสมาชิกด้วยการให้บริการด้านความรู้และคำแนะนำเกี่ยวกับการวางแผนการลงทุนและบริหารการเงิน
ธนาคารออมสิน
หน้าที่ของธนาคารออมสิน
1) หน้าที่ด้านการออมสิน
(1) รับฝากเงินออมสิน ผู้ฝากเงินประเภทนี้เป็นหน่วยราชการ องค์การธุรกิจ
วัดหรือบุคคลธรรมดา โดยผู้ฝากจะต้องมีอายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไป และจะต้องฝากเงิน
ครั้งละไม่ต่ำกว่า 1 บาท
(2) ออกสลากออมสินพิเศษ สลากออมสินพิเศษราคาฉบับละ 20 บาท
(3) เพื่อผู้กู้จักได้สร้าง ขยาย หรือซ่อมแซมอาคารของตนเอง
(4) เพื่อผู้กู้จักได้ไถ่ถอนจำนองอันผูกพันที่ดินหรืออาคารของตนเอง
(5) เพื่อผู้กู้จักได้ไถ่ถอน ซึ่งการขายฝากที่ดินหรืออาคารของตนเอง
(6) เพื่อผู้กู้จักได้ใช้ในการลงทุนจัดการเคหะ
2) รับจำนำหรือจำนองทรัพย์สิน เพื่อเป็นประกันเงินกู้ยืม
3) รับฝากเงินที่ต้องจ่ายคืนเมื่อทวงถามหรือเมื่อสิ้นระยะเวลาที่กำหนดไว้
4) กิจการของธนาคารตามพระราชกฤษฎีกา
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธอน.)
ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย จัดตั้งขึ้นตาม
พระราชบัญญัติ ธอน. โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังเป็นผู้ดูและรับผิดชอบ
การดำเนินงานของธนาคาร เนื่องจากในปัจจุบันธุรกิจการนำเข้า และส่งออกของ
ประเทศไทยมีจำนวนมากขึ้น ผู้ประกอบธุรกิจจึงมีความต้องการให้รัฐบาลได้มีส่วน
ช่วยเหลือ ในด้านการค้าระหว่างประเทศให้มากขึ้น วัตถุประสงค์ของ ธสน. จัดตั้งขึ้น
เพื่อให้การสนับสนุน ส่งเสริม การนำเข้า การส่งออก การลงทุนโดยดำเนินการต่าง ๆ
ที่ไม่เป็นการแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ อันได้แก่
1) การให้สินเชื่อ เพื่อสนับสนุนการส่งออกของประเทศ
2) การค้ำประกัน ให้บริการค้ำประกันแก่ผู้ส่งออกที่มีหลักทรัพย์ไม่เพียงพอขอกู้
จากสถาบันกรเงินอื่น
3) การรับประกัน ให้บริการรับประกันแก่ผู้ส่งออก กรณีผู้ซื้อไม่สามารถชำระเงิน
ให้แก่ผู้ส่งออกได้
4) การรับช่วงตั๋วสัญญาใช้เงินจากสถาบันการเงินที่ให้กู้ระยะสั้นแก่ผู้ส่งออก
5) การเข้าร่วมลงทุนในกิจการต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนการนำเข้าสินค้าจาก
ประเทศไทย และร่วมลงทุนในกิจการในประเทศเพื่อสนับสนุนการส่งออกสินค้าของ
ประเทศไทย
เมื่อปี พ.ศ. 2490 รัฐบาลได้ตั้ง ธนาคารเพื่อการสหกรณ์ขึ้น เพื่อทำหน้าที่เป็นแหล่ง เงิน ทุนอำนวยสินเชื่อ แก่สหกรณ์ทั้งหลาย ที่มีอยู่ในประเทศไทยขณะนั้น ธนาคาร เพื่อการสหกรณ์ ดำเนินงานให้กู้เงินแก่สหกรณ์มาจนถึง พ.ศ. 2509 รัฐบาลจึงได้พิจารณาจัดตั้ง ธนาคารขึ้นใหม่ เพื่อทำหน้าที่แทน ธนาคารเพื่อการสหกรณ์ โดยมีเหตุผลดังนี้ ธนาคารเพื่อการสหกรณ์ ไม่มีอำนาจในการให้เงินกู้แก่เกษตรกร ที่ไม่ใช่สมาชิกสหกรณ์ซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนมาก ธนาคารเพื่อการสหกรณ์ ไม่ได้ทำหน้าที่ในการพิจารณาคำขอกู้ ธนาคารเพื่อการสหกรณ์ ไม่ได้ทำหน้าที่ให้สินเชื่อแบบกำกับแนะนำ และยังไม่มีหน่วยงานใดทำหน้าที่นี้ได้ การดำเนินงานและองค์การของธนาคารเพื่อการสหกรณ์ยังไม่ได้รับ การรับรองจากต่างประเทศ จึงเป็นเหตุให้ กำลังเงินธนาคารไม่เพียงพอ ด้วยเหตุผลดังกล่าว รัฐบาลจึงได้จัดตั้ง ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2509 โดยให้เป็นสถาบันระดับชาติ มีฐานะเป็น รัฐวิสาหกิจ สังกัดกระทรวงการคลัง ทำหน้าที่อำนวยสินเชื่อ ให้แก่เกษตรกร อย่างกว้างขวาง ทั้งในด้านเกษตรกรโดยตรงและสถาบันเกษตรกร
เป็นธนาคารที่จัดตั้งขึ้นโดย ในหลวงมีพระบรมราชโองการ ให้จัดตั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อจะได้ช่วยให้บริการทางการเงินด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร เพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัย ตามสมควรแก่อัตภาพ และสามารถตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า รัฐบาล และสังคม ภายใต้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ก้อจะมีบริการเงินฝาก เงินกู้ สินเชื่อ ผ่อนผันประนอมหนี้ และรับชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆแต่หลักๆเกี่ยวกับเงินกู้ ก้อจะเป็นกู้ซื้อบ้าน กู้เพื่อผู้ประกอบการ
ซึ่งจะเห็นได้ว่าสถาบันการเงินระหว่างประเทศมี ไอเอ็มเอฟ เอดีบี และworld Bank มีแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาลตั้งอยู่บนพื้นฐาน
ของการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ รัฐบาลเน้นการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานทาง
กายภาพ การสร้างความแข็งแกร่งให้ตลาดทุนภายในประเทศ และการพัฒนาบรรยากาศการลงทุน
ให้เอื้อต่อการลงทุนของภาคเอกชน นอกจากนี้ ยังมีความจำเป็นที่รัฐบาลจะต้องจัดตั้งกลไกการคุ้มครอง
ทางสังคมอย่างเป็นระบบ เพื่อช่วยเหลือผู้ว่างงานและผู้ด้อยโอกาสกลุ่มอื่นๆ รวมทั้งคนยากจน เด็ก
ผู้สูงอายุ และผู้พิการ
อีกทั้งยังช่วยในการพัฒนาประเทศไทยในเรื่องการรักษาเสถียรภาพทางการเงินระหว่างประเทศให้ดีขึ้นและช่วยแก้ไขปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจในภาวะที่ตกต่ำและถดถอยให้มีการพัฒนายิ่งๆขึ้นไปและยังเป็นตัวช่วยในการให้กู้ยืมเงินเพื่อไปพัฒนาประเทศอีกด้วย
ซึ่งแตกต่างจากโดยธนาคารดังกล่าวที่กล่าวมาข้างต้นจะช่วยเหลือโดยการเน้นที่ตัวบุคคลเมื่อเกิดปัญหาทางการเงินสำหรับคนที่ขาดแคลนขึ้น ผู้ประกอบธุรกิจจึงมีความต้องการให้รัฐบาลได้มีส่วน
ช่วยเหลือ ในด้านการค้าระหว่างประเทศให้มากขึ้น เพื่อให้การสนับสนุน ส่งเสริม การนำเข้า การส่งออก การลงทุนโดยดำเนินการต่าง ๆ
ที่ไม่เป็นการแข่งขันกับธนาคารพาณิชย์ให้จัดตั้งธนาคารอาคารสงเคราะห์เพื่อจะได้ช่วยให้บริการทางการเงินด้านที่อยู่อาศัยอย่างครบวงจร เพื่อให้ประชาชนได้มีที่อยู่อาศัย ตามสมควรแก่อัตภาพ และสามารถตอบสนองความคาดหวังของลูกค้า รัฐบาล และสังคม ภายใต้แนวทางเศรษฐกิจพอเพียง ก้อจะมีบริการเงินฝาก เงินกู้ สินเชื่อ ผ่อนผันประนอมหนี้ และรับชำระค่าสาธารณูปโภคต่างๆแต่หลักๆเกี่ยวกับเงินกู้ ก้อจะเป็นกู้ซื้อบ้าน กู้เพื่อผู้ประกอบการ
4 ท่านคิดว่าเมื่อจบการศึกษาแล้วท่านจะต้องการเข้าสู่ตลาดตลาดแรงงานใดในทางการ การเงินและการธนาคารให้เหตุผลประกอบด้วยว่าเป็นเพราะที่มีความรู้อย่างดีในเนื้อหาใดบ้าง
ตอบ เจ้าหน้าที่ฝ่ายสินเชื่อ
1. พื้นความรู้ เจ้าหน้าที่สินเชื่อที่ดี ควรจะมีความรู้ในด้านต่างๆ เช่น บัญชี การเงิน เศรษฐศาสตร์ การจัดการและการบริหาร การตลาด กฎหมายเชิงพาณิชย์ ซึ่งอาจจะเรียนรู้เพิ่มเติมได้โดยการฝึกอบรมทั้งภายในและภายนอกหรือจากประสบการณ์ (On the Job Training) ก็ได้ โดยใช้ความรู้ด้านต่างๆ ในการวิเคราะห์สินเชื่อ และจัดทำงบการเงินจำลอง เพื่อศึกษาและประเมินฐานะทางการเงินตลอดจนผลการดำเนินงานของผู้ขอสินเชื่อ โดยอาศัยข้อมูลในอดีตที่ผ่านมาเป็นสมมติฐานในการจัดทำ
2. การวางแผน เจ้าหน้าที่สินเชื่อต้องศึกษาข้อมูลและวางแผนรายละเอียดของข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผู้ขอสินเชื่อ เพื่อให้ประหยัดเวลาในการเจรจาสินเชื่อและทำให้การตกลงสินเชื่อเป็นไปได้อย่างราบรื่น รวมทั้งต้องมีการติดตามงานสินเชื่อที่ดีอีกด้วย
3. ความรู้ทางด้านภาษาต่างประเทศ ในปัจจุบันจะเห็นว่า ทั่วโลกมีการติดต่อการค้าระหว่างกัน ทำให้เกิดการพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจ จึงมีความจำเป็นที่เจ้าหน้าที่สินเชื่อควรจะมีความรู้ทางภาษาต่างประเทศ เพื่อให้เหมาะสมและสอดคล้องในกรณีที่ลูกค้าผู้ขอสินเชื่อเป็นชาวต่างประเทศ หรือกรณีที่ธุรกรรมของลูกค้าจำเป็นต้องอาศัยสินเชื่อต่างประเทศ
4. การมีหัวการค้า เนื่องจากรายได้หลักที่จะได้รับการให้สินเชื่อ คือ อัตราดอกเบี้ยที่ตกลงกันระหว่างผู้ให้สินเชื่อและผู้ขอสินเชื่อ ดังนั้น เจ้าหน้าที่สินเชื่อจะต้องทราบต้นทุนของเงินกู้ที่จะปล่อยสินเชื่อว่าอยู่ในระดับใด เพื่อที่จะได้สามารถต่อรองกับผู้ขอสินเชื่อได้ อันนำซึ่งประโยชน์สูงสุดแก่หน่วยงานของตน
5. มีบุคลิกภาพและความสามารถในการแก้ปัญหา ควรเป็นบุคคลที่มีอารมณ์มั่นคง มีความเป็นกันเอง เป็นผู้นำ ตัดสินใจได้ดี มีวิจารณญาณในการพิจารณาและสามารถแก้ปัญหาต่างๆ ได้ สามารถสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าได้ และสามารถอธิบายให้ลูกค้าเข้าใจและพอใจได้ รวมถึงต้องมีความสามารถในการปรับตัว มีความสนใจศึกษาและติดตามภาวะเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ที่จะมีส่วนช่วยให้การปฏิบัติงานด้านสินเชื่อมีประสิทธิภาพ
6. หาข้อมูลและวิเคราะห์ เจ้าหน้าที่สินเชื่อต้องรู้จักแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ และสามารถบอกแหล่งของข้อมูลนั้นๆ ได้ รวมทั้งสามารถวิเคราะห์ข้อมูลต่างๆ ที่ได้รับมา
7. การนำเสนอ สามารถนำเอาข้อมูลที่รวบรวมมาได้และเกี่ยวข้องกับงานสินเชื่อมา จัดทำรายงานเพื่อนำเสนอ รวมทั้งรายงานผลการวิเคราะห์สินเชื่อต่อผู้บริหารองค์กรให้เข้าใจได้
8. ชอบงานและซื่อสัตย์ เจ้าหน้าที่สินเชื่อควรจะเป็นบุคคลที่มีไหวพริบดี ฉลาดทันคน และที่สำคัญต้องมีความซื่อสัตย์ต่องานของตนเอง เพื่อให้การปฏิบัติงานด้านสินเชื่อเป็นไปอย่างถูกต้อง
5 ท่านเคยใช้บริการโรงรับจำนำบ้างหรือไม่และให้แสดงความคิดเห็นว่าควรมีอะไรปรับปรุงแก้ไขขึ้นบ้าง
. ตอบ โรงรับจำนำ เป็นธุรกิจขนาดเล็กที่ปล่อยเงินกู้ในวงเงินที่ต่ำมาก ลูกค้าที่มาใช้บริการส่วนใหญ่จะเป็นคนที่มีฐานะยากจนในปัจจุบันโรงรับจำนำ มี 3 ประเภท ได้แก่
7.1 โรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยเอกชน เช่น อยู่ในรูปของห้างหุ้นส่วนจำกัด
7.2 โรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยกรมประชาสงเคราะห์
7.3 โรงรับจำนำที่ดำเนินการโดยเทศบาลที่เรียกว่า สถานธนานุบาล
-ไม่เคยใช้บริการโรงรับจำนำ ควรมีการปรับปรุงในเรื่องดอกเบี้ยโรงรับจำนำบางแห่งซึ่งเป็นของเอกชนจะคิดดอกแพงเป็นอย่างมากซึ่งแตกต่างจากสถานธนานุบาลที่คิดดอกน้อยสำหรับคนยากจนแต่ส่วนมากซึ่งยอมรับว่าคนส่วนใหญ่เลือกบริการแบบของเอกชนเพราะมีเยอะเดินทางสะดวกและมีความจำเป็นอย่างมากก็ต้องจำใจเข้าใช้บริการอยากให้ลดดอกเบี้ยในการรับฝากลงพอๆกันกับของรัฐเพราะยังไงคนก็ต้องใช้บริการโรงรับจำจำอยู่เรื่อยๆ
สถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร โดยมติคณะรัฐมนตรี ในคราวประชุมปรึกษาเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2503 มอบหมายให้กระทรวงมหาดไทยรับนโยบายไปจัดตั้งสถานธนานุบาล (โรงรับจำนำ) เพื่อเป็นการช่วยเหลือ ประชาชนผู้เดือดร้อนและยากจน จะได้ไม่ต้องไปกู้ยืมเงิน จากเอกชนโดยเสียดอกเบี้ยในอัตราสูง และแม้จะมีทรัพย์ไปจำนำ เพื่อเอาเงินมาใช้จ่าย ยามจำเป็น ก็ถูกโรงรับจำนำเอกชน เอารัดเอาเปรียบเกินควรได้ ดังนั้น กระทรวงมหาดไทย จึงได้จัดตั้งสถานธนานุบาลขึ้นเองส่วนสถานธนานุบาลกรุงเทพมหานคร ไม่ต้องปรับปรุงแล้วเพราะมีการวางแผนจัดการในการช่วยเหลือประชาชนดีแล้ว
6.บริษัท เอไอเอ จำกัดและบริษัทสินมั่นคงประกันภัย จำกัดมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรสำหรับผู้ต้องการความคุ้มครอง
• มีการให้ความคุ้มครองบริษัทประกันภัยและบริษัทประกันชีวิต เป็นสถาบันทางการเงินที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ผ่อนหนักเป็นเบาได้ สถาบันนี้ไม่ค่อยประสบผลสำเร็จเพราะขาดการประชาสัมพันธ์ และประชาชนไม่เห็นผลประโยชน์ที่พึงได้รับจากการนำเงินไปลงทุน ทำให้หลายบริษัทล้มเหลวและในที่สุดขาดความมั่นคงให้กับผู้ประกันภัย
เปิดแบบประกันชีวิตใหม่ AIA Sure Saving 350 (Par) เงินคืน ตลอดสัญญารวมทั้งสิ้น 350% + เงินปันผล
•
บริษัท เอไอเอ จำกัด
เอไอเอปลื้มผลตอบรับกรมธรรม์ยูนิเวอร์แซลไลฟ์ ซื้อภายในสิ้นปีนี้ รับผลตอบแทนปีแรกรวม 7%