ทุกนาทีเป็นของใหม่อยู่เสมอ


80ปีในหลวงเราร่วมใจกันทำความดีเพื่อพ่อ

ช่วงตุลาคมที่ผ่านมาข่าวในหลวงทรงพระประชวรและรับถวายการรักษาณ.โรงพยาบาลเศิริราชเป็นจุดสำคัญที่ดึงเวลาและความรู้สึกของฉันให้ออกห่างไปจากการเข้ามาแวะเวียนที่ในG2K...จนกระทั่งท่านได้เสด็จกลับวังไปแล้วและพระพี่นาง(ซึ่งท่านก็ประชวรด้วยอีกพระองค์หนึ่ง)มีพระอาการดีขึ้น..จิตใจของฉันจึงค่อยรู้สึกแช่มชื่นขึ้น...จนมีอารมณ์อยากเขียนและอ่านบันทึกมากขึ้น...

                           .

ช่วงที่ในหลวงยังทรงประทับอยู่ที่ในโรงพยาบาล..ฉันได้มีโอกาสแวะเวียนไปร่วมลงนามถวายพระพรแด่ทั้งสองพระองค์ในช่วงเวลาวันหยุดและตอนเย็นๆประมาณ6-7ครั้ง..แต่ช่วงเช้าเกือบ20กว่าวันฉันเลือกที่จะเดินผ่านเข้าไปไหว้อนุสาวรีย์พระราชบิดาในศิริราชก่อนไปท่าพรานนกเพื่อขึ้นเรือด่วนมาทำงาน..ถึงฉันจะไม่ได้ร่วมสะสมเสื้อสีชมพู80ปีเหมือนอย่างหลายๆคนกำลังนิยมอยู่ในขณะนั้นและขณะนี้

แต่ฉันก็รู้สึกตื้นตันใจทุกครั้งที่เห็นคนมากมายหลากหลายมาร่วมกันแสดงความจงรักและภักดีต่อในหลวงแม้ว่าบางทีบางกลุ่มนั้นอาจจะแสดงออกมาแบบแปลกๆไปสักหน่อยก็ตาม...

แต่ก็ถือว่าเป็นสีสันและบรรยากาศที่เครียดๆ(เพราะในหลวงไม่สบาย)ปนสดชื่นไม่น้อย(ที่เห็นเหมือนคนไทยรักและปรองดองกันอีกช่วงเวลาหนึ่ง)

..อยากจะขอเล่าย้อนอดีตไปยังช่วงวันที่21ตค.ปี2550ที่ผ่านมานี้..เป็นวันคล้ายวันสวรรคตครบ10ปีของสมเด็จย่า...สำหรับคนเพิ่งเสียแม่ไปได้20กว่าวันเช่นฉันก็มีบ้างที่คิดปรุงแต่งว่าในหลวงท่านน่าจะเศร้าและคิดถึงสมเด็จย่ามากๆแน่นอน..

ดังนั้นจึงต้องพยายามสร้างกุศลและทำดีต่างๆตลอดทั้งวันนั้นส่งใจและผลบุญถวายแด่ทั้งสามพระองค์(ในหลวง,พระพี่นาง,และสมเด็จย่า)

...เมื่อฉันทำได้ตามที่ตั้งใจก็มีความสุขและได้ข้อคิดอย่างหนึ่งจากการที่เคยได้อ่านหนังสือ"เวลาเป็นของมีค่า".ที่พระพี่นางท่านทรงเล่าประทานให้ได้รู้กันว่า...เพราะในหลวงท่านทรงทำตามที่พระชนนี(สมเด็จย่า)ได้ทรงอบรมไว้ในเรื่องของการใช้ชีวิตและเวลาแห่งชีวิต...ท่านจึงทรงเป็นมหาบุรุษและพระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักและยกย่องของคนทั่วไป.

..ฉันฉุกใจคิดย้อนกลับมามองที่ตัวเอง(ซึ่งขณะนั้นยังมีสะลึมสะลือด้วยไข้ใจอยู่บ้างบางครั้ง) ว่าขนาดในหลวงท่านรักสมเด็จย่ามากๆท่านยังอดทนต่อความทุกข์โศกที่สูญเสียและทรงงานช่วยเหลือประชาชนต่อไปอีกเหมือนเช่นเคย...หรือดูเหมือนว่ามากกว่าเดิมเสียอีก...ดังนั้นเจ้าความคิดประหลาดของฉันที่อยากจะลืมเวลาและแช่อิ่มใจอยู่กับความทุกข์นั้นจึงได้ค่อยสลายลงไป..

.ฉันขอสารภาพว่ามีบางครั้งที่ฉันรู้สึกผิดอย่างรุนแรงที่อยากจะเสาะหาความเพลิดเพลินใจมากกว่าจะมาคิดเสียใจที่แม่เพิ่งเสียชีวิตไป.

..ฉันเรียนปรึกษาเรื่องนี้กับอาจารย์จิตวิทยาบางท่าน...ท่านก็บอกว่าเป็นความรู้สึกสับสนของฉันเองและเป็นช่วงของการพยายามปรับตัวในการยอมรับความรู้สึกสูญเสีย

...เพราะตลอดชีวิตแม่พยายามสอนฉันให้เชื่ออย่างยิ่งว่าความรักเป็นเหมือนดั่งพลังหรือกำลังใจของชีวิต...ฉันไม่เคยรู้สึกเลยว่าเจ้าความเชื่อนี้มันสามารถเป็นดาบสองคมได้หากเราไม่มั่นคงเพียงพอในความรัก...

ฉันหมายความว่า..หากฉันรู้สึกว่าเมื่อแม่ตายไปแล้ว..เราไม่สามารถมองเห็นหรือสัมผัสกายหยาบของแม่ได้อีกแล้ว...ความรักที่เราเคยมีหรือเคยได้แลกเปลี่ยนกับแม่จะค่อยๆจางลงไปตามวันและเวลา..ฉันคิดว่านี่เป็นรักแบบที่เรายึดติดกับวัตถุ/รูปธรรมมากเกินไป...

และฉันไม่ต้องการที่จะรักแบบนั้น

ฉันยังอยากที่จะจดจำความรักที่เคยได้รับและมีอยู่กับแม่เอาไว้อยู่ในจิตใจของฉันตราบนานเท่านาน..

แต่ฉันก็ต้องยอมรับว่าการไม่มีร่างกายที่จับต้องได้ของแม่บางครั้งมันทำให้ฉันรู้สึกโหยหาและขาดความอบอุ่นในใจไปไม่น้อย

..แต่จิตวิญญาณแห่งความเป็นตัวตนบุคคลของแม่ยังคงมีอยู่รายรอบตัวของฉัน...

ฉันหวลนึกถึงตอนที่แม่สอนฉันกลางสายฝนไม่ให้ยึดติดกับอดีต..ให้รักที่จะอยู่กับปัจจุบันและไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค...

พลังแห่งความรักนั้นมันยังมีอยู่...และด้วยการลองมองย้อนไปถึงในหลวง  

ท่านรักแม่ท่านมากกว่าฉันหลายเท่าตัวนัก

                                            

แต่ท่านก็ไม่ปล่อยให้ความรักที่มีต่อสมเด็จย่าช่วงอดีตมาทำให้ท่านหยุดสร้างความรักช่วงปัจจุบันลงไปเลย...

                               

ในหลวงท่านทรงได้ปฏิบัติดังผู้รู้คุณค่ากาลเวลาอย่างยิ่งยวดในการถ่ายทอดความรู้แก่เราทั้งหลายว่า..."ทุกนาทีเป็นของใหม่เสมอที่เราจะสามารถแสดงความรักและความระลึกนึกถึงพ่อแม่ได้ด้วยการทำหน้าที่ที่มีอยู่ในปัจจุบันของตนให้เต็มที่ควบคู่ไปกับการรู้จักอดทนอดกลั้น และมีความเสียสละ รู้จักช่วยเหลือผู้อื่น ไม่เห็นแก่ตัว...

                          

หมายเลขบันทึก: 148300เขียนเมื่อ 22 พฤศจิกายน 2007 01:35 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 18:34 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

พี่ขวัญ...

ให้ตามดูจิต และสภาวะความคิดที่เกิดขึ้น...ทุกขณะจิต..พร้อมน้อมนำกฏแห่งไตรลักษณ์เข้ามา...พิจารณา(ปัญญา) ... ทุกอย่างนั้นล้วนเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา... ให้รู้ในระดับเข้าใจ(เกิดปัญญา)มากกว่าเป็นการรู้ในระดับความจำ (สัญญา)...

หากยังไม่เกิดในระดับปัญญา...ให้เพียรภาวนา...เกิดสติและสมาธิ... ท้ายสุดจะเคลื่อนเข้าสู่ระดับปัญญา เมื่อใด... พี่ขวัญจะเข้าใจกฏแห่งธรรมชาติ อย่างที่เรียกว่า "ลงใจ" ค่ะ

(^______^)

กะปุ๋ม

กะปุ๋ม

ขอบคุณค่ะในความเป็นห่วงและคำแนะนำที่มอบให้

งานช่วงนี้ก็คือเป็นนักมองและจับอารมณ์ที่พัดผ่านเข้ามาแต่ส่วนสมาธิและความเพียรจะไม่ค่อยคงที่หรือต่อเนื่องเท่าใดนัก...แต่จุดคลิก21ตค.นี่เป็นปัจจตังของพี่มากๆเลยเพราะรู้สึกทำให้สงบอาการไม่ได้ดังใจ หรือ คิดทำให้ตนเป็นเหยื่อได้อย่างชะงัดนัก..จากที่เคว้งและหน่ายต่อการหาคุณค่าและความรักใหม่ๆให้แก่ตน..ก็พลันมาพบความเข้าใจถึงสิ่งที่ตัวเองไม่คิดว่ามันใช่..นั่นคือการอยู่กับตนเองได้แม้ว่าจะไม่มีอะไรที่สมบูรณ์หรือเป็นอย่างที่ฝันไว้ทั้งหมด...ส่วนการยอมรับความสูญเสียหรือเห็นไตรลักษณ์ในทุกวันนี้ลึกลงในใจนั้นเฝ้าขอบคุณแม่ที่กรุณาเป็นครูให้ธรรมทานแก่ลูกแม้กระทั่งวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของแม่..เป็นวิธีที่สงบอัตตา และความประมาทในกาลเวลาของพี่ลงไปไม่น้อย..เห็นจุดโหว่ความขาว-ดำของตัวมากมายประเด็นที่ต้องจัดการสำหรับตัวพี่ในขณะนี้คือการรับมือกับคลื่นความรู้สึกผิดที่ไม่ได้ดูแลแม่อย่างที่อยากทำ..ดังนั้น การเรียกตัวเองให้อยู่กับปัจจุบันขณะอยู่เสมอ และเถียงกับอารมณ์เกรี้ยวกราดภายในเป็นงานที่พยายามลุยกับมันอยู่..หัวหอมของพี่ยังมีอีกหลายชั้นแต่ก็ไม่ท้อแท้ที่จะค่อยๆลอกมันออกมาพิจารณาค่ะ...

ปล.คิดถึงกะป๋มเสมอค่ะ

พีขวัญขา..

พิจารณาไปที่...นิวรณ์5 "อุทธัจจกุกกุจจะ"...อุทธัจจะ นั้นคือ ความฟุ้งซ่านของจิต

ส่วน "กุกกุจจะ" นั้นเกิดจากความกังวลใจ หรือไม่สบายใจถึงอกุศลที่ได้ทำไปแล้วในอดีต ว่าไม่น่าทำไปอย่างนั้นเลย หรือบุญกุศลต่างๆ ที่ควรทำแต่ยังได้ทำ ว่าน่าจะได้ทำอย่างนั้นอย่างนี้

วิธีแก้ "กุกกุจจะ" ทำได้โดยพยายามปล่อยวางในสิ่งนั้นๆ โดยคิดว่าอดีตก็ผ่านไปแล้ว คิดมากไปก็เท่านั้น อนาคตยังมาไม่ถึง เรามาทำปัจจุบันให้ดีที่สุดดีกว่า ตอนนี้เป็นเวลาทำกรรมฐาน เพราะฉะนั้นอย่างอื่นพักไว้ก่อน

(^______^)

กะปุ๋ม

หนูขวัญ

         ช่วงคุณแม่หมอเสีย จะรู้สึกว่าช่วงที่ท่านอยู่น่าจะทำโน่นทำนี่ให้แม่     หมอใช้การเสียของแม่เป็นสิ่งที่กระตุ้นให้เราทำดีๆต่อคนที่อยู่รอบข้างเพราะบางครั้งเราไม่ได้เตรียมตัวรับการจากไปอย่างรวดเร็วทำให้รู้สึกเสียดายเวลาที่ผ่านไปค่ะ

       หมออยากอ่านประสบการณ์ของขวัญที่สัมผัสกับผู้ป่วยเพราะเป็นความรู้ที่หมอไม่มีโอกาสได้สัมผัสเลยค่ะ

       ทุกสิ่งจากผู้ป่วยน่าจะสอนเราให้พัฒนาจิตมากขึ้นนะคะ

        คิดถึงเสมอค่ะ

                                                          อัจฉรา

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท