การวัดความยากจน(ทางเศรษฐกิจ) ดูได้หลายทาง เช่น ด้านรายได้ ด้านรายจ่าย ด้านสินทรัพย์กับหนี้สิน แต่ไม่ว่าจะวัดด้านใดก็มีข้อพึงระวังในการตีความ
ในประเทศพัฒนาแล้ว คนจะมีรายได้ค่อนข้างแน่นอนก็มักจะดูด้านรายได้
การดูด้านรายจ่ายจะสัมพันธ์โดยตรงกับการกินการอยู่ซึ่งจะเชื่อมโยงโดยตรงกับสวัสดิการ
ประเทศกำลังพัฒนา คนจำนวนมากมีรายได้ไม่แน่นอน แต่รายจ่ายพื้นฐานเพื่อการดำรงชีวิตนั้นมีอยู่แน่ๆ ก็เลยใช้รายจ่ายขั้นต่ำเพื่อการดำรงชีวิต เป็นเกณฑ์ คนในบริบทสังคมเดียวกัน จะมีรายจ่ายขั้นต่ำเพื่อการดำรงชีวิตในระดับใกล้เคียงกัน ใครมีรายจ่ายต่ำกว่านี้ (คิดทั้งที่เป็นตัวเงินและไม่เป็นตัวเงิน) แสดงว่า มีไม่พอกินแน่ๆ จัดเป็นคนจน
การดูด้านรายจ่ายจึงเหมือนจะไม่สนใจแหล่งที่มาของรายได้ ด้วยเหตุนี้ การมีญาติพี่น้องคอยช่วยเหลือ มีกองทุนหมุนเวียนให้กู้ยืม มีระบบสวัสดิการที่ทำให้เราสามารถใช้จ่ายขั้นต่ำเพื่อการดำรงชีวิตได้ ก็น่าจะถือว่ามีผลช่วยลดความยากจนได้....แต่อาจไม่ยั่งยืน (ย่อหน้านี้เราตีความเอง)
ดร.สมชัยบอกว่า ประเทศไทยวัดความยากจนจากด้านรายได้ พบว่าปี 2549 มีคนจนประมาณ 10% แต่หากวัดด้านรายจ่าย จะมีคนจนน้อยกว่านี้
ทว่า... "คนจน" ก็มีหลายประเภท
ทั้ง "จนชั่วคราว" "จนเรื้อรัง" "เสี่ยงที่จะจน"
บางครั้งเราก็มองความยากจนจากสาเหตุ เช่นบอกว่า คนจนคือคนที่ไม่มีที่ทำกิน
สาเหตุความยากจน มีทั้งจากพฤติกรรม จากกระบวนการ จากโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคม
ที่เรียกว่า "พฤติกรรมการใช้เงิน" นั้น อาจนำไปสู่การจนชั่วคราว จนถาวร หรือไม่จนก็ได้ เรื่องมันเกี่ยวๆพันๆกันอยู่
ความยากจนจึงเป็นเรื่องอีรุงตุงนังที่แก้ปมได้ยาก บางคนไม่ได้ "จนจริง" แต่ "จนโดยเปรียบเทียบ" ก็มี ประเด็นหลังเป็นเรื่องของการกระจายรายได้และบานปลายไปเป็นความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจสังคมได้
ประเทศไทยลดความยากจนได้ก็จริง แต่มีความเหลื่อมล้ำด้านรายได้แย่ลงจนเลวร้ายติดอันดับโลก ปี 2549 กลุ่มคนรวยสุดมีมากกว่ากลุ่มคนจนสุดถึง 16 เท่า
(ผู้สนใจสามารถหาอ่านงานของ ดร.สมชัย จิตสุชน ดร.ณรงค์ เพ็ชรประเสริฐ ดร.ปราณี ทินกร เพิ่มเติมได้)
"สาเหตุความยากจน มีทั้งจากพฤติกรรม จากกระบวนการ จากโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคม"
"จนชั่วคราว" "จนเรื้อรัง" "เสี่ยงที่จะจน"
น่าสนใจดีคะ แยกแยะประเภท....
สงสัยนะคะ....
๑. - ถ้าประเทศกำลังพัฒนา อย่างเรา ใช้ "รายจ่ายขั้นต่ำเพื่อการดำรงชีพ" เป็นเกณฑ์กำหนดคนจน และจะแสดงจำนวน "คนจน" น้อยลง (...เป็นmain ของการแก้ปัญหา)
๒. - แต่สาเหตุของความจนที่เห็นอยู่ในปัจจุบันมีทั้ง เกิดจากพฤติกรรมการบริโภค ที่บริโภคเกินตัวมีการเปรียบเทียบกับคนที่รวยกว่า และเกิดทั้งจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจสังคม ที่เปลี่ยนจากเกษตรเป็นอุตสาหกรรม ซึ่งทั้ง ๒ สาเหตุ ล้วนทำให้มีการบริโภคที่ฟุ่มเฟื่อยมากขึ้น นำไปสู่ปัญหาหนี้สินและคิดไกลไปถึงการทำให้มีคนจนเพิ่มขึ้น และแน่นอนว่าเป็นจำนวนที่ต่างจากเกณฑ์แรก
ลักษณะเช่นนี้เราจะแก้ปัญหาตรงจุดไหน
ต้องขอบคุณอาจารย์มากนะคะ
การ load ข้อมูลเอกสาร ของ TDRI มาอ่าน ถึงจะสนใจแต่ก็ไม่ค่อยมีชีวา เท่าใดนัก
การเข้ามาอ่านสิ่งที่เล่าให้ฟังและอื่นๆ อีกมากมาย แบบนี้ รู้สึกรื่นรมย์มากๆ ค่ะ
ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาเยี่ยมเยียนและแลกเปลี่ยนความเห็นนะคะ
ขออนุญาตตอบรวมๆในประเด็นต่างๆที่ตั้งข้อสังเกตกันมา ค่ะ
ลักษณะ สาเหตุ ผล ของความยากจนมีหลากหลายมากค่ะ กลุ่มคนจนที่รัฐควรให้ความสนใจมากที่สุดคือ คนจนถาวร หรือจนเรื้อรัง ซึ่งมักเป็นกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงโอกาสในหลายๆด้านอย่างคนอื่นเขา
ส่วนจนเพราะพฤติกรรม เช่น ฟุ้งเฟ้อ ติดอบายมุข ถ้ามีกระบวนการทางสังคมที่กำกับดูแลได้ก็จะดี เช่น สังคมไม่ยกย่องคนตรงที่ความมั่งมี ความหรูหรา พฤติกรรมฟุ้งเฟ้อถูกรังเกียจ ไม่ยกย่องคนรวยที่เป็นเจ้าของบ่อน ฯลฯ ก็จะแก้ปัญหาได้บ้าง
แต่ปัญหาสำคัญคือ สังคมเราถลำไปตรงนั้นแล้ว จะแก้อย่างไร
ส่วนจนเพราะกระบวนการ ก็เช่น ถูกโกง หรือการคอรัปชั่น หรือการมีนโยบายที่ไม่เป็นธรรม ก็ทำให้เกิดคนรวย-คนจนได้
สำหรับจนเพราะโครงสร้างนั้น มีตั้งแต่ ความเสี่ยงจากลักษณะการผลิตและราคาสินค้าเกษตรที่ต้องขึ้นกับดินฟ้าอากาศ ลักษณะการตลาดของเกษตรกรรายย่อยที่จำเป็นต้องพึ่งพ่อค้าคนกลาง หรือ การที่ภาคเกษตรเติบโตช้ากว่าภาคอุตสาหกรรมและบริการเพราะเมื่อคนในประเทศมีรายได้ต่อหัวเพิ่มขึ้นก็จะหันไปใช้จ่ายนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น (โดยกินข้าวได้เท่าเดิม) หรือ แม้แต่โครงสร้างทางสังคมที่มีแบ่งชั้นวรรณะ หรือแม้แต่ส่วนบุคคลที่พิการ สูงอายุทำงานไม่ไหว ลูกหลานไม่ดูแล ก็สร้างปัญหาความยากจนได้ทั้งสิ้น