บริจาคโลหิต


บริจาคโลหิต ณ สหราชอาณาจักร

ได้อ่านบันทึกของ ท่าน ปฏิจจชน เรื่อง "เลือดไหล หัวใจหลั่ง : อารมณ์และความคิดของคุณเป็นอย่างไร...ขณะนอนให้เลือด" click link แล้วรู้สึกดีมากๆ อิ่มเอิบใจที่ยังมีคนดีๆ อย่างท่านอยู่ในโลกใบนี้ เลยทำให้มีแรงบันดาลใจที่จะเขียนบล็อกของตัวเองบ้าง ถึงแม้ว่าจะมีเรื่องอื่นๆ ให้เขียนเยอะแล้วแต่ก็ไม่เคยเขียนถึงการบริจาคโลหิตของตัวเองเลย บันทึกนั้นมีอะไรที่เหมือนๆ กับตนเองที่เคยประสบมาคือ แรกๆ การบริจาคโลหิต ก็เพื่อที่จะทำบุญ อธิฐานเพื่อให้ได้สิ่งนั้นสิ่งนี้ แต่หลังๆ ก็เริ่มจะไม่มีอะไรจะอธิฐาน ก็เริ่มรู้สึกเฉยๆ แค่อยากจะบริจาค ก็แค่นั้น

แต่การบริจาคโลหิตที่เมืองไทยกับที่ประเทศอังกฤษแตกต่างกันบ้าง เนื่องจากเราเองบริจาคที่เมืองไทยมา 23 ครั้งแล้วก็ต้องเป็นอัน ระหกระเหเร่ร่อนมาเรียนต่อไกลถึงเมืองแมนเชสเตอร์ประเทศอังกฤษ ก็เลยอยากจะถ่ายทอดประสบการณ์การบริจาคโลหิตที่ประเทศสหราชอาณาจักรไว้ จะได้อ่านประกอบความรู้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ที่บริจาคโลหิตที่นี่ ซึ่งตรงกับวันเกิดพอดี มีเรื่องเร้าใจเล็กน้อย

ประเทศอังกฤษ จะมีศูนย์รับบริจาคโลหิต ชื่อว่า National Blood Service หรือ NBS เว็บไซต์ www.blood.co.uk ดูเป็น .co ก็ออกจะเป็นทางการค้าอยู่ แต่จริงๆ ที่นี่ก็คล้ายๆ กับสภากาชาดไทยนั่นแหละ คนไปบริจาคโลหิต ก็ไม่ได้ไปขาย คนรับโลหิตก็ต้องเสียเงินค่าตรวจ ฯลฯ แต่ก็ไม่ใช่ค่าเลือดอยู่ดี ศูนย์รับบริจาคโลหิตที่เมืองแมนเชสเตอร์มีหลายแห่ง แต่ที่คุ้นเคยจะเป็นที่ Norfolk House ซึ่งอยู่กลางเมือง กลางย่านการค้า Andale ที่หลายคนคุ้นเคยกันดี

ไปแรกๆ หายากอยู่เหมือนกัน เพราะที่นี่เค้าจะติดป้ายเล็กๆ ทางเข้าก็เล็กๆ แต่พอไปยืนหน้าประตู ก็รู้สึกว่าประตูออกจะบานใหญ่อยู่ ทำกับแก้วทั้งบาน นึกว่าจะหนัก แต่จริงๆ เบาหวิวเลย ข้างในค่อนข้างจะอุ่นสบาย ถ้าเทียบกับอากาศข้างนอก หนาวๆ อย่างนี้ ข้างนอกประมาณ 8-9 องศาเซลเซียส 

ครั้งแรกของการบริจาคโลหิต ยุ่งยากนิดหน่อย ที่ว่ายุ่งยากนิดหน่อย ก็ตรงที่ต้องไปนั่งที่โต๊ะลงทะเบียน ให้พยาบาลตัวใหญ่ๆ ใจดีๆ คีย์ชื่อ นามสกุล และอื่น อีกมากมาย โดยพยาบาลจะเป็นคนถามข้อมูลทั่วไปก่อน ปัญหาก็คือ ที่อยู่ของเราเนี่ย มันไม่มีในระบบฐานข้อมูลของ ทาง blood.co.uk อ้าว พยาบาลเลยบอกว่า ไม่เป็นไรเค้าค่อยใส่ลงไปให้ทีหลัง เสร็จจากการถูกสัมภาษณ์ ก็ต้องไปกรอกข้อมูลการบริจาคเลือด ลงในแบบฟอร์ม ที่ต้องกรอกทุกครั้งก่อนบริจาคเลือด โดยข้อมูลทั่วไป จะถูกพิมพ์ลงไปให้อย่างเรียบร้อย

พยาบาลจะหยิบแฟ้มเล่มโต ประกอบการตอบคำถามขนาดหนาประมาณ 1 นิ้วมาให้อ่าน ซึ่งหากขี้เกียจอ่านให้บอกพยาบาลว่าอ่านมาแล้วผ่านทางเว็บไซต์ เพราะมันเหมือนกัน ตัวคำถามที่มีเยอะมากจะเป็นข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพ และประวัติส่วนตัวเกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงต่างๆ ซึ่งตรงนี้เค้าจะย้ำมากว่าต้องกรอกด้วยตนเอง คำถามแต่ละข้อจะมีคำตอบ Yes และ No ซึ่งต้องระวังในการตอบคำถาม ให้ถูกต้อง เมื่อกรอกเสร็จเรียบร้อยก็ลงชื่อ ส่งฟอร์มนั้นให้พยาบาล เพื่อเข้าสู่ขั้นตอนต่อไป พยาบาลก็จะเรียกชื่อเพื่อเข้าไปตรวจความเข้มข้นของเลือด ซึ่งก่อนตรวจ พยาบาลจะ ทวนคำถามอีกครั้งเพื่อให้ตอบยืนยันอีกครั้ง

เมื่อผ่านอย่างไม่มีปัญหาก็จะเจาะเลือดที่นิ้ว เพื่อตรวจความเข้มข้นของเลือด หรือการตรวจเหล็กในเลือด นั่นเอง ก็จะมีน้ำยาสีฟ้ากับสีเขียว เหมือนกับของไทย อันหนึ่งสำหรับผู้หญิงอันหนึ่งสำหรับผู้ชาย แต่จำไม่ได้ว่าอันไหน เป็นของใคร เพราะครั้งก่อนเร้าใจมาก เนื่องจากต้องหยดถึงสามครั้ง พร้อมเขย่า เลือดถึงจะจม แต่ครั้งนี้ทีเดียวผ่าน เมื่อตรวจผ่าน พยาบาลจะไม่ให้รอนาน เพราะกลัวจะหนีซะก่อน เอ้ยไม่ใช่ กลัวจะเสียเวลา ก็จะเรียกขึ้นเตียงเลย ซึ่งส่วนใหญ่พยาบาลจะถามว่า ครั้งก่อนบริจาคแล้วมีปัญหาอะไรหรือเปล่า และครั้งนี้จะบริจาคข้างซ้ายหรือขวา

ครั้งก่อนบริจาคซ้ายคราวนี้เลยบริจาคข้างขวา แล้วสิ่งที่ตื่นเต้นก็คือ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่เห็นเข็มขนาด 16G ชัดๆ เพราะปกติพยาบาลจะเอาผ้าก๊อตปิดไว้ หรือปิดตา เลยไม่เคยเห็น แต่ครั้งนี้เห็นเต็มๆ ตอนเจาะ ทำให้รู้สึกหวิวๆ ใจไม่ดีตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว แต่ทุกอย่างก็ผ่านมาได้ และอย่าถามนะว่าเจ็บไม๊ ตอนนี้ชินซะแล้วบอกได้แค่ว่าพยาบาลที่นี่ก็ฝีมือมาก ไม่พลาดเลย ไม่ต้องควาญให้ร้องครวญคราง 

เทคโนโลยีถุงเลือดที่นี่ก็สุดยอดมาก เพราะไม่ต้องมัดสายยาง และตัด จากถุงเลือดเพื่อถ่ายลงหลอดทดลองเพื่อเอาไปตรวจ แต่จะมีสายพิเศษ ซึ่งเลือดจะไหลลงสู่ถุงเล็กๆ ที่มีเข็มอยู่ โดยจะใช้วิธี นำหลอดทดลองที่เป็นสูญญากาศบรรจุน้ำยากันเลือดแข็งตัว มากดลงไป แล้วเลือดจะถูกดูดเข้าไปโดยอัตโนมัติ ซึ่งครั้งแรกจะถูกเก็บไป 5 หลอด  แต่ครั้งหลังนี้เพียง 3 หลอด อันนี้จะขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของแต่ละคน ซึ่งจะต้องตรวจมากตรวจน้อยไม่เท่ากัน ถุงเลือดที่นี่ขนาดเท่ากันหมด คือ 470 cc ซึ่งหากคิดไปแล้วก็มากกว่าที่เคยบริจาคที่เมืองไทยเล็กน้อย

เวลาในการให้เลือดครั้งนี้ ยาวนานกว่าทุกครั้ง อันนี้ไม่ทราบเพราะอะไร แต่ใช้เวลาเกือบ 15 นาที  เมื่อเลือดจะเต็มถุง เครื่องชั่งจะร้องโดยอัตโนมัติ และพยาบาลจะมาถอดเข็ม ซึ่งการถอดเข็มนี้ก็ไม่เหมือนกับของไทย เพราะเข็มจะถูกถอดโดยพลาสติกที่มีกลไกการดึงกลับ แบบไม่ต้องใช้มือถอด ซึ่งปลอดภัยมาก ไม่มีทางที่จะไปบาดพยาบาลได้ เมื่อถอดเข็มออกแล้ว พยาบาลจะใช้ผ้าก๊อตกดเอาไว้ และเปลี่ยนมือให้เรากดแทน โดยวิธีกดนั้น คือ ใช้นิ้วชี้และนิ้วกลางของมืออีกข้างกดลงไปโดยให้นิ้วโป้งอยู่ตรงข้อศอกพอดี และห้ามพับแขน พยาบาลจะมีนาฬิกาเล็กๆ เอาไว้ตั้งเวลา ซึ่งเมื่อถอดเข็มออกแล้วต้องกดไว้ประมาณ 2 นาที แล้วจะเปิดแผลให้กำมือ เพื่อดูว่าเลือดหยุดหรือไม่ หากหยุดแล้วจะปิดสก๊อตเทปให้ ซึ่งสก๊อตเทปที่ปิดเป็นสก๊อตเทปพิเศษ ทำกับผ้า แล้วแกะออกยากมาก ตอนแกะนี่น้ำตาไหลยิ่งกว่าโดนเข็ม 16G ซะอีก หลังจากนั้นจะให้พักอีก 2 นาที จึงจะอนุญาตให้ลุกไปทานของว่างได้

ของว่างก็จะมี Hot Drink เครื่องดื่มร้อนๆ แต่จะไม่มีกาแฟ พร้อมขนม ซึ่งจะทานเท่าไร่ก็ได้ แต่จะไม่มีคนมาบริการให้ แต่หากต้องการกาแฟแบบ ไม่มีคาเฟอีน ก็สามารถขอได้ บริจาคโลหิตที่นี่จะไม่มียาเสริมธาตุเหล็กให้ อันนี้ไม่ทราบว่าเพราะอะไร และท่านจะไม่ได้อะไรกลับมาเลย จริงๆ นอกจากความอิ่มใจ อ้อ คราวก่อนได้กระดาษแผ่นเล็กๆ มาแผ่นหนึ่งบอกข้อควรปฏิบัติหลังบริจาคโลหิต หลังบริจาคก็ไม่ควรจะออกกำลังกายหักโหม และควรดื่มน้ำมากๆ คราวนี้กระดาษแผ่นเล็กนั้นไม่ได้ ได้พวงกุญแจอันเล็กๆ มาอันหนึ่ง ซึ่งเขียนว่า Blood Donor B+ 0845 7 711 711 ข้างหลังเป็นเบอร์โทรศูนย์นั่นเอง

การบริจาคโลหิตครั้งนี้พิเศษตรงที่มีคนขับรถไปส่งถึงที่ แต่ที่พลาดคือ หลังจากบริจาคโลหิตแล้ว เค้าไม่ให้ออกกำลังกายหักโหม เราก็ไม่ได้ออกกำลังกายหักโหม แต่พอดีเป็นวันเกิดก็เลยไปเดินซื้อของ shopping นั่นแหละ พอสองชั่วโมงผ่านไป ผ่านมื้อเที่ยงโดยไม่ได้ทานอะไร กำลังจะกลับบ้านแล้วเชียว ยืนอยู่ที่ป้ายรถเมลล์ ก็เกิดอาการตาพร่า และค่อยๆ มืดลงๆ จนดับ ล้มลงที่ตรงป้ายรถเมล์ คนขับรถเมล์ตกใจมาก เรียกรถพยาบาลมา แต่รถพยาบาลมาไม่ทันจะถึง ฟื้นซะก่อน อู๊ยอายมากค่ะ

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สองที่วูบหลังจากบริจาคโลหิต ครั้งแรกสมัยเรียน บริจาคแล้วไปออกค่าย วันนั้นไม่เป็นไร แต่ตอนเช้าตื่นมา แล้วก็วูบเหมือนกัน แต่ครั้งนั้นรู้ทันนั่งลงทันซะก่อน คราวนี้ไม่ทันนั่ง เพราะไม่คิดว่าจะวูบ อาจจะเป็นที่อากาศค่อนข้างเย็นมาก เส้นเลือดคงหดตัว เลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ วันหลังต้องระวัง แต่อันนี้ก็มิอาจทำให้ข้าพเจ้าเลิกที่จะบริจาคโลหิต ได้ เพียงแต่ต้องดูแลตัวเองให้ดีกว่านี้ และจริงๆ เค้าน่าจะเตือนว่าบริจาคโลหิตแล้วห้าม shopping นะคะ

หมายเลขบันทึก: 148294เขียนเมื่อ 21 พฤศจิกายน 2007 23:56 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 มิถุนายน 2012 14:04 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (6)

ขอขอบพระคุณอาจารย์ศศลักษณ์...

  • ก่อนอื่นขอกราบอนุโมทนาในกุศลเจตนา.... สาธุ สาธุ สาธุ

มีการศึกษาพบว่า ถ้าเราดื่มน้ำก่อนบริจาค 2 แก้ว โอกาสเป็นลมจะลดลง 50%

  • วิธีนี้ดี ทว่า... อาจเพิ่มอาการคลื่นไส้ได้
  • วิธีที่ดีกว่า คือ... ให้ดื่มน้ำเต็มที่จนปัสสาวะสีเหลืองจางทุกวัน โดยเฉพาะก่อนบริจาค 1 วัน + หลังบริจาค 2 วัน

ฝรั่ง...

  • ฝรั่งส่วนใหญ่กินเนื้อ และกินอาหารที่มีธาตุเหล็กสูงกว่าคนไทย ทำให้แทบไม่มีความจำเป็นต้องให้ยาบำรุงเลือดชดเชย
  • ปัญหาของเขาตรงข้ามกับเรา...
  • คนไทยมักจะขาดธาตุเหล็ก ฝรั่งมีแนวโน้มจะมีมากเกิน

ขอกราบอนุโมทนาครับ... สาธุ สาธุ สาธุ

เรียนอาจารย์ศศลักษณ์...

  • เรียนเสนอให้กด 'enter' บ่อยๆ เพื่อให้อ่านง่ายขึ้น
  • ตามทฤษฎี... ย่อหน้าในบล็อกไม่ควรเกิน 2-3 บรรทัด เนื่องจากการอ่านบนจอจะยากกว่าอ่านบนกระดาษ
  • เรียนเสนอให้นำภาพจากอังกฤษมาลงด้วย รับรองว่า คนรออ่านเพียบ...

ขอขอบพระคุณ และขอกล่าวสาธุการอีกครั้ง... สาธุ สาธุ สาธุ

  • ขอนับถือน้ำใจอันประเสริฐของอาจารย์ศศลักษณ์  ผู้เสียสละส่วนตนเพื่อส่วนรวม
  • ขออวยพรให้อาจารย์พบแต่สิ่งดี ๆ ตลอดชีวิต
  • โลกนี้คงน่าอยู่หากมีคนอย่างอาจารย์
  • ขออนุโมทนาบุญด้วยนะคะ

ขอบคุณอาจารย์มากที่แนะนำวิธีตรวจสอบเลือดว่าหยุดไหลหรือยังด้วยการกำมือ เพราะผมในฐานะผู้ทำหน้าที่เจาะ พบปัญหาเลือดไหลที่รอยแทงอยู่บ่อย จะนำไปลองดู

ได้ความรู้เพิ่มเติม

ขอบคุณค่ะ

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท