มสชเขียนเมื่อ 6 กุมภาพันธ์ 2549 23:50 น. ()
แก้ไขเมื่อ 10 พฤษภาคม 2555 15:44 น. ()
ไม่ใช่ติดตามประมินผล แต่เป็น ติดตามให้กำลังใจ
คุณหมอชูชัย ศุภวงศ์
ทำโครงการที่น่าสนใจเกี่ยวกับการพิทักษ์สิทธิเด็ก
สามารถสร้างกลไกดูแลเรื่องนี้ในระดับจัหวัดรวม 10 จว
หนึ่งในนั้นคือ จว น่าน ที่หลายคนได้ยินก็จะบอกว่าไม่น่าแปลกใจ
เพราะที่นั่นมีชื่อเสียงเรื่องกลุ่มฮักเมืองน่าน
แต่คุณหมอโกมาตร ท้วงงว่าจริงๆแล้ว
กลุ่มฮักเมืองน่านไม่ได้เกิดขึ้นมาโดดหรอก
เมืองน่านเองน่าจะมีพื้นฐานทางสังคมวัฒนธรรมที่ทำให้การรวมกลุ่มอย่างที่เห็นเกิดขึ้นมาได้
คุณสุทธิพงษ์ จนท
สาธารณสุขที่มีบทบาทสูงในการเป็นผู้เชื่อมประสานเล่ากิจกรรม
และวิธีคิดในโครงการ
ตอนหนึ่งเขาบอกว่าในโครงการมีการทำระบบ่ติดตามที่ไม่ใช่
ติดตามประมินผล แต่เป็น ติดตามให้กำลังใจ
ฟังดูแล้วก็ให้รู้สึกดีใจที่เห็นว่ามีคนให้ความสำคัญกับการทำสิ่งที่ดี
ขนาดคิดคำพูดที่เหมาะสมให้
เพราะพวกเราก็พูดกันมานานว่าการติดตามงานนั้นความจริงเราอยากให้เป็นการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
ไม่ใช่จับผิด อยาให้ตามด้วยการเรียนรู ไม่ใช่การตำหนิ
และหลายคนก็รู้เหมือนๆกันว่า้ คนส่วนใหญ่กลัวเรื่องประเมินผล
สมัยนี้เขาพูดถึงสิ่งที่เรียกกันว่า empowerment evaluation
ก็แยะ
แต่เวลาพูดถึงการติดตามงานเพื่อช่วยสร้างการเรียนรู้
เราก็มักจะพูดเหมือนเดิมว่า ติดตามประเมินผล
แทนที่จะคิดตำเหมาะๆมาใช้แทน
เพิ่งมาได้ยินคำว่า
ติดตามให้กำลังใจก็เลยอยากเอามาเผยพร่ให้คนอื่นเอาไปใช้ต่อแทนคำว่า
นิเทศติดตาม หรือคำว่าติดตามประเมินผลอย่างที่ว่าไ้ว้
เข้าใจว่าคุณสุทธิพงษ์ คงไม่ว่านะครับ
ความเห็น
ดีจังค่ะ ขออนุญาติเอาไปใช้ในโครงการสูงอายุด้วยค่ะ
ผมทำ KM กับเครือข่ายประชาคมน่าน ขอยืนยันวัฒนธรรมองค์กร
ของน่านที่อิงความสัมพันธ์คน-คน
ยาวนานต่อเนื่องตั้งแต่ยุคท่ต้องพึ่งพาแรงงานเพื่อนบ้านในการเกี่ยวข้าว
แม้ว่าเมืองน่านมีที่ปลูกข้าวน้อยนิดแต่ตลอดประวัติศาสตร์น่านไม่เคยมีใครอดข้าวตาย
ไม่เคยมีขอทาน
นี่คือผลจากการจัดระบบความสัมพันธ์คนน่านที่จัดการความสัมพันธ์ให้ชิดแนบเช่นพี่น้อง
องค์กรประชาคมน่านจึงเป็น องค์กรไร้รูป
แต่มีปณิธานและมีความผูกพันอาทรกันและกันสูงมาก น่าจะจัดเป็น Chaordic
Organization แบบไทยๆ
ระยะ 5 - 10 ปีมานี้ มีบทเรียนใหม่ๆ
จากการประยุกต์การบริหารสำนักงานเลขานุการมาใช้กับความเคลื่อนไหวประชาคม
อาทิ ศูนย์ประสานงานประชาคมจังหวัดน่าน ซึ่งทำหน้าที่ "กองกลาง" หรือ "ตัววิ่ง"
เชื่อมความเคลื่อนไหวที่โน่นที่นี่ให้เกิดพลังร่วม
ศุนย์นี้ไม่มีประธานแต่มีหัวหน้าศูนย์หรือหัวหน้าคณะเลขาธิการ
พื้นที่งานอยู่ในชุมชนต่างๆ
คนที่ทำหน้าที่ตัววิ่งทุกท่านไม่มีค่าตอบแทนจากการทำประชาคม
ใครมีเงินเดือนก็ได้รับเงินเดือนเหมือนเก่า
ใครเป็นประชาชนก็ยังเป็นประชาชนเช่นเดิม
ด้วยเหตุฉะนี้ การจัดตั้งประชาคม ตามวาทะ "ไปทำประชาคมมาก่อน" หรือ
การตั้งประธานประชาคม ตั้งกรรมการ จึงเป็นเพียงเปลือก
ส่วนแก่นนั้นได้เล่าแล้วในสองย่อหน้าข้างต้น
ชาตรี เจริญศิริ