หลังจากผ่านการปรับความคิด หรือปรับกระบวนทัศน์แล้ว ได้ลงมือปฏิบัติไประยะหนึ่ง(ลด เลิก ทดแทน) เท่านี้ ไม่ยั่งยืนตลอดไป คงต้องเสริมวิชาการด้านเทคนิคเรื่อง การเกษตร (พืช,สัตว์ และประมง) โดยการหาความรู้ เรื่อง พืช สามอย่าง ประโยชน์ สี่อย่าง ที่ในหลวงพระองค์ท่านเคยตรัสเอาไว้ หรือเรื่องสัตว์ กับประมง (พืช,สัตว์และประมง) โดยการนำเอาทฤษฏีใหม่มาใช้ (ต้องมีน้ำ 1 ใน 4 ในแปลงของเกษตรกร) เอาไว้ปลูกที่อยู่อาศัยและเล้าหมูเล้าไก่เป็ด ปลูกผลไม้ไว้กิน ผสานกับไม้ยืนต้น ควรมีแปลงผักเพื่อไว้รับประทาน แหล่งน้ำควรได้เลี้ยงปลา นาข้าวที่มีควรได้เลี้ยงปลาไว้ที่อายุสั้น ๆ อะไรทำนองนี้ครับ
เสริมด้วยวิชาการสร้างเสริมสุขภาพเกษตรกร (ขั้นตอนแรก ก่อนป่วยไปหาหมอ)เราต้องศึกษาเรื่องสมุนไพร ไว้สำหรับป้องกันโรค ป้องกันตัวจากโรคภัยไข้เจ็บ เช่นปลูกฟ้าทะลายโจร เอาไว้ คนกินไก่กินป้องกันหวัด ปลูกพริกข่าตะไคร้ เพื่อทำอาหาร ปลูกแคขาว แคแดงไว้สำหรับทานแก้ไข้หัวลม หรือ กระเพราขาว/แดง เพื่อแก้ไข้ ไล่ลมในท้อง เวลาฉุกเฉิน เป็นต้น
เสริมเรื่องการปลูกป่าชุมชน เรื่องการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ และป่า เพื่อจะได้ใช้สอย เพื่อการสาธารณประโยชน์ คิดถึงเพื่อนเกษตรกรคนอื่นบ้าง เข้าร่วมการประชุมของหมู่บ้านบ้างเพื่อได้ทำตัวเป็นประโยชน์กับคนอื่น ๆ กลายเป็นทางรอดของเกษตรกรในชุมชนนั้นได้ครับ
"จากครอบครัวเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงชุมชน พอโตอย่างมีระบบ กลายเป็นชุมชนเศรษฐกิจพอเพียง เลี้ยงอำเภอ อำเภอพอเพียง ก็เลี้ยงจังหวัด เลี้ยงประเทศ อะไรดี ๆ ก็จะเกิดอีกเยอะครับ"
ท่านผู้อ่านคงไม่เข้าใจว่า ถ้าประหยัด อดออม ไม่ฟุ่มเฟือย ทำกินทำใช้สำหรับตัวเอง ครอบครัว และชุมชน จะไปเหลืออะไร...................
บ้านหนองกลางดงสรุปแล้วว่า ครอบครัวรอด ชุมชนรอด ที่ดินไม่ตกไปอยู่ในมือของคนภายนอก หรือธนาคาร เกษตรกรทุกคนในชุมชนก็ย่อมสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ ได้อีก เพราะเกษตรกรชาวบ้านไม่ได้ปฏิเสธ การปลูกพืชเชิงเดี่ยวที่เขาเคยทำกันมาหลายสิบปี แต่เขาปฏิเสธค่าใช้จ่ายเรื่องปุ๋ย เรื่องยาเคมี โดยการทดแทนจากน้ำหมักชีวภาพทดแทนจากปุ๋ยอินทรีย์ หรืออื่น ๆ ก็ทำให้เกษตรกรชาวบ้านอยู่ได้แม้ราคาตกต่ำถึงที่สุดในรอบ 30 ปีที่ผ่านมาได้ ..............