มีคนมักตั้งคำถามว่า "มาทำวิจัยเรื่ององค์กรการเงินชุมชนแล้วเกี่ยวข้องอะไรกับสิ่งแวดล้อม"
ผู้ทำวิจัยมีความคิดเห็นว่า สิ่งแวดล้อม คือ ทุกสิ่งที่อยู่รอบตัวเรา เพราะฉะนั้นก็ต้องเรียนรู้ทุกๆสิ่งซึ่งมีความสัมพันธ์กันอย่างแยกไม่ออก ไม่ว่าจะเรียนรู้เรื่องอะไรถ้ามีปัญญาก็สามารถนำไปประยุกต์ได้ ตอนนี้กำลังเสริมสร้างปัญญาอยู่
หากจะกล่าวถึง สิ่งแวดล้อม โดยภาพใหญ่จะประกอบไปด้วย สิ่งไม่มีชีวิต (สิ่งแวดล้อมทางกายภาพ) และสิ่งมีชีวิต (สิ่งแวดล้อมทางชีวภาพซึ่งในชีวิตทุกชีวิตก็จะมีเรื่องของการหมุนเวียนทางเคมีเข้ามาเกี่ยวข้องเสมอ) หากแบ่งตามการเกิดก็จะแบ่งได้ ๒ แบบคือ เกิดตามธรรมชาติ เกิดโดยมนุษย์สร้างขึ้นซึ่งต้องใช้ทรัพยากรที่เกิดตามธรรมชาติ
เมื่อมนุษย์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมในส่วนของสิ่งมีชีวิตที่ธรรมชาติสร้างขึ้นมา และมนุษย์เองก็เป็นผู้ให้ความสำคัญกับ "ตัวเรา" มากที่สุด เพราะฉะนั้นอะไรก็ตามที่อยู่รอบตัวมนุษย์ จะถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อความอยู่รอดและความสะดวกสบายทั้งนั้น
ทรัพยากรธรรมชาติที่มนุษย์นำมาใช้อยู่ทุกวันนี้ปริมาณเริ่มลดน้อยลงอย่างรวดเร็ว เพราะมนุษย์มีจำนวนมากขึ้นอีกทั้งมีความต้องการอย่างไม่จำกัด(ไม่เพียงพอ) สิ่งทีจะนำมาใช้ในการแลกเปลี่ยนทรัพยากรต่อกันมีควายุ่งยากมากยิ่งขึ้น แต่เดิมเอาทรัพยากรมาแลกกันโดยตรง มีการวิวัฒนาการมาเรื่อยๆโดยต้องมีการใช้สิ่งของที่เป็นตัวแทนในการแลกเปลี่ยน รูปร่างหน้าตาและค่าของสิ่งแลกเปลี่ยนก็ถูกเปลี่ยนแปลงมาตามยุคสมัย จนกระทั่งปัจจุบันสื่อกลางการแลกเปลี่ยนคือ"เงิน" ปิ๊งแว๊บขึ้นมาว่าสิ่งที่ทำน่จะนำมาประยุกต์เข้ากับเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อมที่สอนอยู่ทุกวันนี้ได้
เริ่มเข้าเรื่องเข้าราวว่าจะทำวิจัยเรื่ององค์กรการเงินไปทำไม เพราะปัจจุบัน "เงิน" ถูกจัดเป็นดัชนีชี้วัดประเภทของมนุษย์อีกเครื่องมือหนึ่ง เรื่องของเงิน ทรัพยากร มนุษย์เริ่มผสมปนเปกันอย่างแยกไม่ออก เงินมาก ทรพยากรที่จะใช้ได้ก็มีมาก คนมากทรัพยากรที่ต้องแบ่งมีปริมาณน้อยลง เงินมากคนยิ่งต้องแข่งขันกันมากขึ้น เพื่อให้ได้ทรัพยากรมาใช้ มันเป็นเรื่องที่สับสนวกวนเมื่อเปลี่ยนจากมนุษย์มาเป็นคน ยิ่งคนยิ่งแยกไม่ออกเพราะมันจะเป็นเนื้อเดียวกัน บางคนมองว่ามีเงินมากจะเป็นเจ้าของทุกสิ่งทุกอย่างได้มากที่สุด
ยิ่งเขียนยิ่งสับสน ยิ่งคิดยิ่งวกวนจนแยกไม่ออกระหว่างคน กัน สิ่งแวดล้อม คนกับเงิน คนกับสัตว์ คนกับต้นไม้ คนกับฯลฯ
ไม่มีความเห็น