ค่าบำรุงรักษาทางปัญญา


ความเรียง นำเสนอบทรำพึงรำพันว่าด้วย ต้นทุนทางปัญญาของผู้คนในสังคมไทย กับภาระผูกพันอันงดงาม ด้วยความรักมุมมองต่อการอ่าน ต่อหนังสือที่รักในดวงใจ และต่อบทระทดท้อใจในราคาหนังสือของประเทศไทย ที่คนไทยต้องแบกรับภาระเหล่านี้ ในฐานะค่าบำรุงรักษาทางปัญญา

ค่าบำรุงรักษาทางปัญญา

เคยได้อ่านได้ฟังผู้คนและเพื่อนฝูงบอกเล่า

หรือบ่อยครั้งนั่งถามตัวเองว่า

ราคาที่ต้องจ่ายไปขณะซื้อหนังสือนั้น ถือเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต หรือเป็นความฟุ่มเฟือยในชีวิตกันแน่ สำหรับความรักความประทับใจ และความงอกเงยงอกงามของความรู้สึก ยามได้อ่านเรื่องราวจากอักษร

หรือยามได้เดินทางไปในโลกแห่งความรู้ ความรู้สึก

เพราะสำหรับผมแล้ว คำตอบมีเพียงคำตอบเดียวในการซื้อหนังสือ

ผมไม่เคยเสียดาย ไม่เคยรำลึกถึงความสูญเสียในชีวิตจากการได้ซื้อหนังสือ อาจรับรู้บ้างว่า เป็นหนึ่งในภาระชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น ตามแต่ราคาหนังสือ ตามแต่ละช่วงขณะชีวิต หากช่วงใดมีพลังในการอ่านมาก ช่วงนั้นก็จะยังผลมาถึงหนังสือที่ต้องซื้อตามไปในแต่ละเดือน

อ่านมากก็ซื้อมากอ่านน้อยก็ซื้อน้อย

อ่านประทับใจก็อยากเผื่อแผ่ให้คนรอบข้างได้อ่าน

หากเล่มใดอยากอ่านแต่ไม่อยากซื้อ ก็ต้องหยิบยืมกันบ้าง

เล่มใดญาติมิตรเพื่อนฝูงซื้อแล้วก็ขออ่าน ให้ดีดีก็ขอดีดี ให้ไม่ดีก็พยายามหว่านล้อม โดยอ้างหลักการว่า ทรัพยากรของโลกนั้นมีจำกัด ดังนั้นจึงควรเผื่อแผ่ และบ่อยครั้งอ่านไปจนประทับใจ กระทั่งยึดหนังสือของเพื่อนเป็นหนังสือในดวงใจตนเอง จนต้องถูกตามทวงในทุกครั้งเมื่ออยู่ท่ามกลางวงเพื่อนฝูง โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเสียงกระแหนะกระแหน และบทสรุปในข้อกล่าวหาว่าอมหนังสือ

สำหรับผมแล้ว

หนังสือเป็นฐานทางปัญญาอันสำคัญ

 

 

นอกเหนือจากการฟัง พูด อ่าน เขียน เดินทางไกล เล่นดนตรี สวดมนต์ ตั้งสติ และวาดรูป ที่สามารถนำพาให้เราเข้าใจสิ่งที่ผ่านไปผ่านมาในชีวิต พยายามปรับตัวเข้ากับความรู้สึกนึกคิดของผู้คนรอบข้าง เข้าใจถึงภายในและภายนอก

อาจยังเหลือหนทางทำความเข้าใจที่ยังทำไม่ได้

แต่พยายามจะทำ

ในการนั่งสมาธิ หรือพยายามมีสติให้ได้ในแต่ละขณะลมหายใจ

 

หนังสือถือเป็นเพื่อนสนิท ที่นำพาผมไปสู่โลกอันกว้างใหญ่

ได้เดินทาง ได้หัวเราะ ได้ฮึกเหิม ได้ร้องไห้ และอีกมากมายของพลังที่หนังสือนำพาออกมา ดังนั้นสำหรับภาระที่ติดตามมานั้น ผมพยายามจะจัดระบบให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต หางานหาอาชีพหารายได้จากการอ่าน เพื่อเป็นฐานมาต่อยอดให้มีพลังในการซื้อหาหนังสือต่อไป

ผมมักมีคำถามในใจเสมอ

ยามที่ใครต่อใครอธิบายถึงภาระในการซื้อหนังสือ

ผมมักจะถามตัวเองว่า วันเวลาส่วนใหญ่ในชีวิต กับค่าบำรุงรักษาความงามของร่างกาย หน้าตา และภาระในการปรากฎตัวในสังคม เมื่อเปรียบกับค่าบำรุงรักษาทางปัญญา ที่มักเกิดขึ้นจากการซื้อหนังสือ อย่างใดมีภาระที่มากมายกว่ากัน

ผมพบว่า

ค่าบำรุงรักษาทางปัญญา กลับกลายเป็นสิ่งซ่อนเร้นเสมอ เมื่อเปรียบโดยตรงต่อการรักษาหน้าตา ถือเป็นภาระที่หนักหนาเพิ่มขึ้นสำหรับผู้คนที่เสพติดตัวอักษร แม้ในท่ามกลางต้นทุนของงานสร้างสรรค์

 

ผมก็พบว่า

ในระบบคิดของสังคมไทย ไม่ได้ให้ค่าความสำคัญของการอ่าน ไม่ได้จัดต้นทุนของค่าหนังสือไว้ แม้แต่ในสังคมงานสร้างสรรค์ทางธุรกิจ

เรามีงบบันเทิง งบเดินทาง แต่เราไม่มีงบปัญญา

เราไม่มีงบในการซื้อหนังสือ หรือมีบ้างในบางองค์กรแต่ก็น้อยแห่งเต็มที เพราะบางองค์กรคิดว่าเป็นภาระส่วนบุคคล ในการงอกความคิดให้ออกมาได้ ดุจงอกจากปล้องไผ่ เหมือนนั่งกินข้าวแล้วคิดได้ หรือมองว่างานสร้างสรรค์ควรออกมาในรูปใด และเหมือนลูกกำพร้าที่ไม่มีใครสนใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาเติบโต ปีกกล้าขาแข็งจนสร้างตัวตนได้ จึงจะมีคนสนใจ

แต่ช่วงขณะของการเติบโตทางปัญญาจากการอ่าน

ก็ดูแลกันเอง ดูแลไปตามยถากรรมก่อน

เป็นภาระส่วนบุคคล

ในท่ามกลางสังคมแห่งการสร้างสรรค์ในสังคมไทย ท่ามกลางการคิด ค่าบำรุงรักษาทางปัญญา นับเป็นสิ่งหลบหายหลบเร้น หรือมักไปซ่อนเร้นอยู่ในความไม่เข้าใจของผู้คน

อาจมีบ้างเข้าใจว่าหนังสือเป็นจุดเริ่มต้น

แต่คิดว่าไม่ใช่ภาระโดยรวมขององค์กร

ดังนั้นถ้าจะรักการอ่าน ก็ต้องบำรุงการอ่านด้วยตนเอง ไม่ใช่เรื่องราวขององค์กร จะคิดได้จะเข้าใจจะงอกงาม ค่อยมาใช้ประโยชน์ร่วมกัน แต่ขณะที่ยังคิดไม่ได้งอกไม่ออก ยังไม่สร้างสรรค์พอ ก็ดูแลตัวเองไปพลางๆก่อน

 

ไม่นับรวมกับดูหนังฟังเพลง ฟังเสวนา เดินทางท่องเที่ยว

หรือกิจกรรมสร้างสรรค์ทางปัญญามากมาย ที่คิดว่าผู้คนที่ละเอียดอ่อนต่อวัฒนธรรม ย่อมเข้าใจได้ว่า จะยังประโยชน์ เพื่อสามารถต่อยอดฐานของสิ่งที่รู้ในหัว กับการงอกขึ้น เพื่อไปสู่สิ่งใหม่ได้อย่างไร

ไม่รู้เป็นอะไร

เมื่อถึงครางานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติทีไร

ยิ่งคิดก็ยิ่งถอนหายใจ

ผมมักจะคิดว่า ทำไมไม่มีเงินมากมาย เหลือพอที่จะเที่ยวเดินจับจ่ายหนังสือได้ตามปรารถนา มากกว่าเดินไปตั้งสติไป ว่าเล่มใดมีพลังอ่านก่อนก็ซื้อ เล่มใดอยากมากแต่ไม่มีพลังก็ผ่อนผัน ผ่อนปล่อยตนเองไปก่อน หยิบจับมาอ่านแล้ววางลง จัดลำดับสิ่งที่จะอ่านให้ได้ เหมือนจัดลำดับชีวิต

ทำไมหนอ

ผมถึงต้องตั้งสติในงานสัปดาห์แห่งชาติทุกคราไป

ยิ่งคิดยิ่งเหนื่อยใจ

 

ทำอะไรไม่ได้ก็คว้าหนังสือเล่มเก่าที่อ่านค้าง แอบซุกซ่อน หรืออ่านแล้วประทับใจออกมาอ่านใหม่ให้หนำใจ อ่านเข้าไป และอ่านเข้าไป

เหมือนนั่งเตือนตนอย่างมีสติ

เท่าที่มีก็อ่านให้มากเข้าไว้

อ่านหนอ อ่านหนอ

 

หมายเลขบันทึก: 141227เขียนเมื่อ 23 ตุลาคม 2007 20:41 น. ()แก้ไขเมื่อ 11 กุมภาพันธ์ 2012 21:10 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (5)

ค่าบำรุงรักษาทาง (ถนนหนทาง) เป็นค่าใช้จ่าย ค่าสร้างทางเป็นต้นทุนและมีมากกว่าค่าบำรุงรักษาทางปัญญา?

ผมชอบซื้อหนังสือ แต่ไม่ติดยึดกับสังคม ผมว่าวิธีคิดของสังคมและวิธีคิดของคนต่างกัน และการให้คุณค่าของคนและสังคมต่างกัน

ปริมาณสื่อสิ่งพิมพ์มีมูลค่ามหาศาลในแต่ละปี (ผมไม่มีตัวเลขข้อมูลแต่รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น)

สิ่งเหล่านี้ต้องการคนอ่าน และค่าใช้จ่ายในการอ่าน

แต่บางครั้งเป็นค่าใช้จ่ายไม่ได้เป็นต้นทุน

 

  • การอ่าน     เป็นการสร้างปัญญา 
  • การคิด       เป็นการบำรุงรักษาปัญญา
  • การสร้าง    ก็น่าจะเป็นการใช้ปัญญา
  • การอ่าน การคิด การสร้าง (ประดิษฐ์ หรือเขียน)  ก็เพื่อป้องกัน "ปัญญาทึบ"  ครับผม

ยิ่งอ่าน.............ยิ่งรู้

ยิ่งดู................ยิ่งเห็น

ยิ่งทำ..............ยิ่งเป็น

โอ้คนหนึ่งหละคะที่ไม่ชอบซื้อหนังสือเลย  แต่ชอบอ่านคะ    อ่านในเน็ตมากกว่า   แต่ถ้าเล่มไหนชอบจริงๆ ถึงจะซื้อคะ  แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะไม่ได้พัฒนาปัญญาเราหรอกนะคะ  ความรู้ไม่ใช่มีเฉพาะในหนังสือ   ถ้าเราจะหาความรู้สักอย่างไม่จำเป็นต้องในหน้งสือก็ได้   มันขึ้นอยู่กับว่า  เราอยากรู้อยากจะพัฒนาอะไรมากกว่า   แล้วจึงหาจากแหล่งที่รู้

 P

sasinanda
ตอนนี้   โลกหนังสือกำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

ต่อไป   เทคโนโลยีสมัยใหม่กำลังสร้าง E-Book หรือจอคอมพิวเตอร์ขนาดเท่าหนังสือ ที่สามารถเลือกอ่านหนังสือได้เป็นร้อยเป็นพันเล่ม ปัจจุบันยังดูเป็นจอที่มีแสงสว่างอยู่

  แต่สำหรับคนจำนวนมากซึ่งรวมทั้งดิฉันด้วย

ด้วยไม่มีอะไรจะมาแทนที่หนังสือแบบเก่าดั้งเดิมได้ ที่ผู้อ่านสามารถสัมผัสกระดาษ  ให้ความ รู้สึกเป็นมนุษย์มากค่ะ

  ปัจจุบัน  Google  ได้ร่วมมือกับห้องสมุดมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ในสหรัฐอเมริกาหลายแห่ง แปรเปลี่ยนเนื้อหาของหนังสือมีค่าจำนวนมากเป็นระบบดิจิตอล ซึ่งจะทำให้เราสามารถอ่านได้ฟรีผ่าน Website ของ Google

เห็นด้วยครับ maintainance ทางปัญญา (ชอบจังเลยคำนี้)

 

พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท