ตั้งแต่ผมได้ทำงานในมหาวิทยาลัยขอนแก่นมากว่า ๓๐ ปี นั้น
ผมได้เริ่มทำงานอยู่ใต้ร่มบารมีของอาจารย์รุ่นพี่ และผู้อาวุโสกว่า มาเกือบ ๒๐ ปี จึงค่อยๆขยับขยายตัวเองออกมาทำงานติดต่อโดยตรงกับต่างชาติ
และเริ่มทำงานที่เป็นอิสระกับเพื่อนต่างชาติแบบเคียงบ่าเคียงไหล่มาตลอดช่วง ๑๐ กว่าปีที่ผ่านมา
ทำให้ผมได้สร้างฐานงานตามแนวคิดของผมโดยอิสระมาในรูปแบบที่ทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาชน องค์กรพัฒนาเอกชน หน่วยราชการที่เกี่ยวข้องกับสายงานที่ทำ องค์กรพัฒนาต่างประเทศ และแหล่งทุนต่างๆทั้งภายในและจากต่างประเทศ
<p></p><p>ทีมประเมินโครงการจาก Comprehensive Impact Assessment Program ของ CGIAR ถ่ายรูปร่วมกับชาวบ้านกลุ่มเกษตรอินทรีย์ อ. เลิงนกทา ยโสธร ที่เป็นหนึ่งในจำนวนกว่า ๒๐ กลุ่มที่ผมทำงานวิจัยเชิงปฏิบัติการในชุมชน เมื่อวันที่ ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐</p><p>ทำให้ผมได้แสดงผลการทำงานของประเทศไทยให้ต่างชาติได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเองในประเด็นสำคัญ คือ</p><p> · ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง </p><blockquote>
o ที่แสดงถึงการเข้าใจตัวเอง เข้าใจธรรมชาติ เข้าใจสังคม และเข้าใจโลก
o และสามารถดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ได้อย่างมีความสุข มีศักดิ์ศรี มั่นคง และเป็นธรรมกับทุกคน
o มีการอนุรักษ์ และใช้ทรัพยากรอย่างประหยัด คุ้มค่า มีประสิทธิภาพ แต่พอเพียงต่อการดำรงชีวิตของแต่ละคน
o เป็นวิถีชีวิตที่ใครก็ทำได้ และไม่จำกัดเชื้อชาติ ศาสนา สังคม และวัฒนธรรม
</blockquote><p>· การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น</p><blockquote>
o ที่ทำให้เกิดการกระจายการพัฒนาสู่ชนบทได้ทั่วถึง
o มีการพัฒนาที่สอดคล้องกับความต้องการของคนในท้องถิ่น แม้ชนบทห่างไกล
o มีการพัฒนาทั้งโครงสร้างพื้นฐาน แหล่งน้ำ และอาชีพอย่างทั่วถึง
</blockquote><p>· ความเข้มแข็งขององค์กรภาคประชาชน</p><blockquote>
o มีการรวมกลุ่มเพื่อการแลกเปลี่ยนเรียนรู้
o มีการพัฒนาภูมิปัญญาพื้นบ้าน
o มีระบบการพัฒนารองรับโครงการต่างๆจากภาครัฐที่สอดประสานกัน
o มีการคิดค้นความรู้เพื่อการเสนอแนะต่อการพัฒนานโยบายในภาครัฐ
o สามารถเชื่อมโยงการเมืองทุกระดับมาสนับสนุนการพัฒนากลุ่มและชุมชน
o เป็นแกนนำในการจัดการความรู้แบบธรรมชาติ
</blockquote><p> </p><p> ทีมประเมินโครงการเยี่ยมแปลงเกษตรอินทรีย์พ่อวิจิตร บุญสูง (ประธานเครือข่ายข้าวอินทรีย์อีสาน) ที่บ้านโสกขุมปูน อำเภอกุดชุม ยโสธร ๑๘ ตุลาคม ๒๕๕๐</p><p>ทั้งสามประเด็นหลักข้างต้นที่กล่าวมานี้ เป็นสิ่งที่ผมใช้เป็นฐานในการทำงาน ที่ทำให้เพื่อนต่างชาติได้ใช้กรณีของประเทศไทยเป็นตัวอย่างในการพัฒนาระดับโลก </p><blockquote><p>· มีการส่งคนมาดูงาน ฝึกอบรม ทั้งระดับชาวบ้าน นักวิจัย และผู้บริหาร </p></blockquote><blockquote>
· มีการนำผลงานที่ทำในประเทศไทยไปแสดงในระดับโลก
· มีการอ้างอิงความสำเร็จของการทำงานในประเทศไทยเป็นแนวทางในการทำงานระดับนานาชาติ
· มีการส่งทีมประเมินผลงานมาเรียนรู้ และประเมินผลงานขององค์กรของเขาที่ทำในประเทศไทย
</blockquote><p>และโครงการที่ผมเป็นหัวหน้าโครงการที่ได้รับการยกย่องระดับองค์กร CGIAR และ กลุ่มศูนย์การพัฒนานานาชาติ (Consultative group centers) ที่กำลังตีพิมพ์ ก็คือ </p><blockquote>
· การสนับสนุนการพัฒนานโยบายการจัดการทรัพยากรน้ำเพื่อการพัฒนาระบบเศรษฐกิจพอเพียงในระดับครัวเรือนของเกษตรกร
· การพัฒนาระบบการจัดการทรัพยากรดิน และน้ำในระบบเกษตรอินทรีย์
</blockquote><p>และตอนนี้ ผมกำลังเน้นการทำงานและเผยแพร่แนวคิดของการจัดการความรู้แบบธรรมชาติ </p><p>ที่นักวิจัยและพัฒนานานาชาติกำลังให้ความสนใจที่จะใช้การจัดการความรู้ของไทยเรา เป็นแบบอย่างในการพัฒนา และการขยายผลการทำงานที่เป็นรูปธรรม ควบคู่ไปกับการ “ตีพิมพ์” ที่เน้นการเผยแพร่ “ข้อมูล” สู่ภายนอก </p><p>และเขามองเห็นว่า “การจัดการความรู้แบบธรรมชาติ” เป็นเส้นทางตัวอย่าง </p><p>ที่จะแก้ไขปัญหา “ข้อมูลท่วมหัวเอาตัวไม่รอด” ของสังคมยุคใหม่</p><p>ที่ ข้อมูลมากมาย เปิดดูเมื่อไหร่ก็ได้ จนไม่รู้จะหยิบอะไรมาใช้ </p><p>และยังมีปัญหา ไม่รู้ว่า อะไรมีประโยชน์ ไม่มีประโยชน์กับใคร </p><p>ในช่วงนี้ เขาเริ่มมองเห็นแล้วว่า </p><p> มีแต่“การจัดการความรู้แบบธรรมชาติ” เท่านั้นที่จะช่วยได้ </p><p>เราน่าจะเร่งทำกันนะครับ</p>
ไม่มีความเห็น