ช่วงหลัง 14 ตุลาเราตั้งพรรคขึ้นในมหาวิทยาลัยส่งทีมงานชิงตำแหน่งนายกองค์การนักศึกษา และก็ได้รับเลือก กิจกรรมหนึ่งที่เราทำคือจัดค่ายจรขึ้นในพื้นที่ อ. แม่ทา จ. ลำปาง เป็นหมู่บ้านชนบทที่ห่างจากตัวอำเภอไปไม่ไกลมากนัก
ผู้สนใจส่วนใหญ่เป็นเพื่อนๆ น้องๆฝั่งสวนดอก ไม่ว่าคณะแพทย์ พยาบาล ทันตแพทย์ เทคนิคการแพทย์ เภสัช มีคณะสังคม มนุษย์ วิทยาศาสตร์ เกษตร และศึกษาบ้าง รวมทั้งสิ้นประมาณ 20 กว่าคน เราไม่ได้ไปก่อสร้างถาวรวัตถุอะไร แต่เราจะสร้างคน โดยเราไปพักที่โรงเรียนใหม่แห่งหนึ่งในหมู่บ้าน ที่ติดกับป่าเห้ว (ป่าช้า) ห้องน้ำก็ไม่มี ผู้ชายต้องปีนรั้วข้ามไปเอาฝาโลงศพที่เขาทิ้งในป่าเห้วมาประกอบเป็นห้องส้วมแบบง่ายๆ ไม่มีไฟฟ้าเราใช้เทียนและตะเกียง เวลาจะไปห้องน้ำทีก็ยกโขยงกันไปเป็นกำลังใจ อิ อิ
รูปแบบค่ายเน้นการศึกษาชนบท โดยจัดแบ่งชาวค่ายออกเป็นกลุ่มย่อย กลุ่มละ 4-5 คน ผสมกันทั้งชายและหญิง ก่อนไปเราตกลงกันว่าให้ทุกกลุ่มออกไปใช้ชีวิตกับชาวบ้านเป็นเวลา 1 สัปดาห์ แล้วกลับมาพบกันที่โรงเรียนแห่งนี้ มาคุยแลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน
กลุ่มเรามีน้องพยาบาลผู้หญิงไปด้วย 1 คน เราเดินตั้งแต่สายวันนั้นจนเกือบค่ำ ต่างก็เหนื่อยอ่อนเพราะคิดไม่ตกว่าจะไปนอนที่ไหนกัน ระหว่างทางที่เราเดินไปเราสังเกตว่ามีเสียงดังเหมือนกบไฟฟ้าใสไม้ เมื่อเราเดินเข้าใกล้เสียงเหล่านั้นก็หยุดเงียบหมดอย่างผิดสังเกต เราบอกทุกคนหยุดปรึกษากันก่อนว่าจะเอาอย่างไรดีค่ำคืนนี้ บางคนเสนอไปพักวัด บางคนเสนอไปบ้านผู้ใหญ่บ้าน และบางคนบอกย้อนกลับไปนอนที่โรงเรียน
ไม่มีข้อสรุป ขณะนั้นมีเกวียนบรรทุกอ้อยมาเต็มและจอดลงใกล้ๆ ผู้อยู่บนเกวียนบังคับวัวเทียมเกวียนมานั้นเป็นสตรี ผมจึงออกไปคุยด้วยพร้อมกับถามว่าตัดอ้อยเอามาทำอะไร เอามาจากไหน ปลูกเมื่อไหร่ ปลูกกี่ไร่ มีแรงงานกี่คน ค่าจ้างเท่าไหร่ น้ำท่าดีไหม ฯลฯ ขณะที่เราตั้งคำถามเราก็ช่วยเขาขนอ้อยลงจากเกวียน เพื่อนๆ น้องๆเห็นต่างก็มาช่วยกัน พร้อมกับแนะนำตัวว่า เราเป็นนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยปิดเทอมเลยออกเยี่ยมชนบท
เมื่อเจ้าของเกวียนทราบเช่นนั้น และจากพฤติกรรม สีหน้าที่เราแสดงออก เธอก็ออกปากถามว่าแล้วจะไปนอนที่ไหนกันคืนนี้ เราบอกยังไม่มีที่นอน แค่นั้นเอง เธอก็ชวนทั้งหมดไปนอนที่บ้านเธอ ทีมเราดีใจกันว่าคืนนี้มีที่นอนแล้วเรา ตกค่ำ หลังจากอาบน้ำเสร็จไม่รู้ว่าใครต่อใครมากับเต็มบ้านไปหมด หลังจากคุยกันจึงทราบว่า ชาวบ้านเขาอยากรู้จักว่าคนแปลกหน้าเป็นใครมาเดินในหมู่บ้าน เมื่อทราบต่างก็โล่งอก เพราะ บ้านนี้ทำไม้เถื่อน โดยเอาท่อนไม้สักบ้าง ตอไม้สักบ้างมากลึงทำลูกกรงขายบ้าง ทำเป็นของใช้ต่างๆบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งผิดกฎหมาย และเขานึกว่าเราคือสายตำรวจมาสืบ...
วันต่อๆมาเราเดินไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ตอนค่ำเราเห็น “พิธีลงข่วง” ของท้องถิ่น คือ ลูกสาวเกือบทุกบ้านจะเอาเสื่อมาปูที่ลานดินหน้าบ้านมีตะเกียง เอาเครื่องแยกเมล็ดฝ้ายมาทำการแยกฝ้ายที่เรียกว่า “อีดฝ้าย” เราเห็นเด็กวัยรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ เดินมาเป็นกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้างมานั่งลงคุยกับสาวหน้าบ้านนั้น เป็นทำนองเกี้ยวสาว พูดจาหยอกล้อกัน เอาผลไม้ เอาน้ำมาสู่กันกิน เสียงหัวเราต่อกระซิกกัน ส่วนพ่อแม่ก็นั่งจุดตะเกียงอยู่บนบ้าน นานเข้าก็กระแอมเสียทีหนึ่ง นัยว่ามีพ่อแม่นั่งฟังหนุ่มสาวคุยกันอยู่นะ
เด็กหนุ่มกลุ่มใหม่เดินมา กลุ่มเดิมก็ลุกจากไปบ้านอื่นๆต่อ ไม่เห็นมีตีกัน ไม่เห็นมีทะเลาะแย่งสาวกัน ไม่เห็นฉุดพรากอนาจารกัน กลุ่มเราบางคนก็เดินไปคุยกับสาวบ้าง บ้างก็ขึ้นบนเรือนไปคุยกันพ่อแม่ เมื่อครบวันที่ เจ็ด เราก็เดินทางกลับไปที่โรงเรียนรวมกลุ่มกัน ต่างมีเรื่องราวมาคุยเก ทับกันสนุกสนานว่าพบสิ่งนั้นสิ่งนี้
เราใช้เวลาที่โรงเรียนนั้นอีก 2 วันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและเข้าเยี่ยมลาผู้นำท้องถิ่น เราทราบว่าวันนี้จะมีการเอาศพสาวตายทั้งกลม มาทำตามประเพณีที่ป่าเห้วข้างโรงเรียนที่พักเรานี้ พวกเราตื่นเต้น ทั้งกลัวทั้งอยากดูประเพณีท้องถิ่น เมื่อพิธีแห่ศพมาเรารวมกลุ่มกันไปดูประเพณีโดยเฉพาะเพื่อนๆที่เป็น แพทย์ พยาบาล ต่างบอกว่า โชคดีนี่เป็นกรณีศึกษา บ่ายวันนั้นแดดจัดมาก เราไปคอยที่ป่าช้าอยู่แล้ว และสัปเหร่อมาเตรียมสถานที่ไว้หมดแล้วพร้อมจะรับศพ
เราเห็นซุ้มทางผ่านเขาเอาใบมะพร้าวมาทำเป็นครึ่งวงกลม ทุกคนต้องผ่านประตูนี้เท่านั้น เราเห็นถังน้ำส้มป่อยวางอยู่ข้างๆประตูใบมะพร้าวนั้น มีน้ำเต็มสำหรับล้างหน้าก่อนเดินออกจากประตูนั้นกลับบ้านและห้ามเหลียวหลังมามองกองฟอนเผาศพอีก เมื่อศพมาถึงสัปเหร่อเอาศพออกจากโลง แล้วทำพิธีทางไสยศาสตร์ท้องถิ่น คือเอาตะปูหมอ(สัปเหร่อ)มาตอกที่มือสองข้าง ตอกที่หน้าผาก บอกว่าเป็นการสกัดจุดมิให้วิญญาณออกไปอาละวาด แล้วหมอก็ทำพิธีเอาเคียวหมอผ่าท้องศพเอาเด็กในท้องออกมา เขาบอกว่าต้องแยกแม่แยกลูก เอาลูกฝัง แต่เอาแม่เผา.....ฯลฯ ผมยืนดูไม่เท่าไหร่ก็เป็นลมล้มพับตรงนั้นเอง เดือดร้อนน้องหมอหิ้วมานอนดมยาดมที่โรงเรียน
คืนนั้นเรามานั่งคุยกัน แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ท่ามกลางกลิ่นกองฟอน นี่คือกิจกรรมบางส่วนของนักศึกษาสมัย หลัง 14 ตุลา เราทำเช่นนี้หลายรุ่น เปลี่ยนสถานที่ไปกัน เราพบว่า นักศึกษาที่ก่อนและหลังเข้าค่ายจรนั้นมีทัศนคติต่อชนบท ต่อสังคม ต่อการทำหน้าที่ของตนเองเปลี่ยนไป หลายคนบอกว่า เขาไม่เคยเข้าใจชนบทมาก่อนเลยว่ามีวิถีชีวิตจริงอย่างไร ฯลฯ และเขาบอกว่า เราจะจบออกไปรับใช้สังคมตามบทบาทหน้าที่ของวิชาชีพแต่ละคนอย่างเข้าใจ
เราคุยกันยาวนาน ยันสว่าง แต่ปรากฏว่าคืนนั้นไม่มีใครเข้าห้องน้ำเลยครับ....
14 ตุลาปีนี้ที่ผ่านมา คิดถึงเพื่อนค่ายจรครั้งนั้นๆ….
เป็นอย่างไรกันบ้างเพื่อนรัก
วันต่อๆมาเราเดินไปอีกหมู่บ้านหนึ่ง ตอนค่ำเราเห็น “พิธีลงข่วง” ของท้องถิ่น คือ ลูกสาวเกือบทุกบ้านจะเอาเสื่อมาปูที่ลานดินหน้าบ้านมีตะเกียง เอาเครื่องแยกเมล็ดฝ้ายมาทำการแยกฝ้ายที่เรียกว่า “อีดฝ้าย” เราเห็นเด็กวัยรุ่นเล็กรุ่นใหญ่ เดินมาเป็นกลุ่มเล็กบ้างใหญ่บ้างมานั่งลงคุยกับสาวหน้าบ้านนั้น เป็นทำนองเกี้ยวสาว พูดจาหยอกล้อกัน เอาผลไม้ เอาน้ำมาสู่กันกิน เสียงหัวเราต่อกระซิกกัน ส่วนพ่อแม่ก็นั่งจุดตะเกียงอยู่บนบ้าน นานเข้าก็กระแอมเสียทีหนึ่ง นัยว่ามีพ่อแม่นั่งฟังหนุ่มสาวคุยกันอยู่นะ
เอามาแลกเปลี่ยนด้วยครับ
ภาพจิตรกรรมฝาผนังวัดโพธาราม จังหวัดมหาสารคามครับ ประกอบเรื่องเล่าตอนนี้ได้ดีมาก ๆ ออตชอบรูปนี้มากครับ
ท่านครูบาครับ
เป็นกิจกรรมที่อ่านแล้ว...?ไม่เข้าใจเท่าไหร่สงสัยสมัยนกกับพี่มันคงต่าง กัน .....ฮิฮิฮิ
บันทึกนี้เป็นเหตุการณ์(ประวัติศาสตร์ ) และเป็น อุดมการณ์ อย่างที่ครูบาพูดจริง ๆ ครับ ผมคิดประเด็นนี้อยู่เหมือนกัน
เราศึกษาความรู้ แต่ไม่ศึกษาชีวิต
เราศึกษาเหตุการณ์ แต่ไม่สนอุดมการณ์
เรื่องภาพเขียนฝาผนังที่คุณออตนำมา มันเชื่อมโยงได้จริง ๆ ครับ ที่อีสานยังมี คำพูดนี้อยู่นะครับ "ลงข่วง" แต่วิธีการก็เปลี่ยนไปตามยุคสมัยอยู่บ้าง
ขอบคุณครับ
สวัสดีครับ 5. รัตน์ชนก
สวัสดีน้องออต
สวัสดีครับน้อง 7. mr. สุมิตรชัย คำเขาแดง
เรียนคุณหมอคนชอบวิ่งครับ
คุณบู๊ท ครับ
AAR มันย่อมาจากอะไรนะ ช่วยบอกเป็นวิทยาทานให้ด้วย อยากรู้ครับ
ถ้าออกค่ายไปตามหมู่บ้านกันวันนี้จะได้เก็บภาพคนหนุ่มสาว กำลังเดินพูดอยู่คนเดียวกับอะไรน้าที่เขาเสียบเข้าไปในรูหู หรือไม่ก็มีสายรุงรัง ทั้งเสียบหู ทั้งห้อยคอ ในรูปแบบขอสื่อสารไร้พรมแดน คุยแบบไม่อั้น แต่ก็อย่างน้อยได้สัมผัสกับบรรยากาศของท้องทุ่งและป่าเขาได้บ้าง ชีวิตความเป็นอยู่ ติดหูติดตา มาเป็นความทรงจำเล็ก ๆ ก็ยังดีครับ
ยอดเยี่ยมเลยเพื่อน "นิคม"
ขออภัยตอบช้าไป
AAR= After Action Review
BAR=Before Action Review
เป็นศัพท์ที่ใช้ในวงการ KM=Knowledge Management จริงๆเราใช้มานานแล้ว แต่ก่อนเราเรียกการประชุมเตรียมงานก่อนดำเนินงาน(BAR) และเมื่อเสร็จสิ้นการดำเนินงานก็มานั่งสรุปบทเรียนหาจุดบกพร่องหาจุดที่จะทำให้ดีที่สุดในการดำเนินการครั้งต่อไป (AAR)
ดังนั้น หลังการจัดสัมมนา, ประชุม, workshop, ฝึกอบรม, ก็ควรทำ AAR และเช่นเดียวกันก่อนทำก็ควรทำ BAR
ศัพท์แสงมันมีใหม่ๆออกมาเรื่อยๆครับ จนตัวย่อเต็มไปหมดแล้ว