ผมเชื่อว่าทุกประเทศย่อมมีมุมที่ผมจะกล่าวถึงต่อไปนี้คล้ายๆกัน “นั่นคือชีวิตต้องสู้” ไม่ว่าจะเป็นประเทศโลกที่สาม โลกอุตสาหกรรม หรือแม้แต่กลุ่มประเทศที่เจริญสูงสุดในปัจจุบันก็ตาม ผมเก็บภาพมาดูกันให้เห็นวิถีชีวิตเหล่านี้ มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น อีกจำนวนมากเรายังไม่มีโอกาสได้รู้ได้เห็นครับ
ภาพชีวิตต้องสู้เหล่านี้ผมเพียงเดินผ่าน นั่งรถผ่านแล้วก็ยกกล้องขึ้นเก็บเอามา ไม่มีโอกาสปรับแต่งองค์ประกอบภาพ มุมกล้อง หรือคุณสมบัติอื่นๆเลย จึงออกมาแบบตรงๆ
ภาพแรกเป็นชีวิตชาวเวียตนามปกติที่ใช้มอเตอร์ไซด์กับจักรยานเป็นจำนวนมหาศาล ซึ่งบีบแตรกันเป็นวัฒนธรรมไปแล้ว ว่ากันว่าประชากรทั้งประเทศมี 84 ล้านคน จำนวนมอเตอร์ไซด์ก็นับสิบล้านขึ้นไปครับ จากจีนราคาถูกมาก แต่พูดกันเล่นๆว่าเมื่อซื้อของจีนแล้วแถมถุงพลาสติกให้ด้วยเพราะคอยเก็บน๊อตที่จะหลุดออกมา ราคาจากจีนประมาณ 15000 บาท แต่จากประเทศไทยนั้นราคา 3-4 หมื่นบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายของทุกคนเพราะแข็งแรงกว่าครับ
ผมได้ภาพนี้หลังกลับออกจากไปดูอุโมงค์ครับ เด็กน้อยช่วยครอบครัวทำงานตั้งแต่เล็กขนาดนี้ เธอมาเก็บน้ำยางพาราแล้วก็เอาไปให้แม่ต่อไป อายุของเธอไม่น่าเกิน 5 ขวบครับ นี่คือเด็กเวียต นามที่ต้องทำงานตั้งแต่เด็ก ชีวิตการทำงานมันสั่งสมมาตั้งแต่เด็ก ว่ากันว่าเมื่อชาวเวียตตื่นขึ้นมาจะทำสามอย่างคือ อ่านหนังสือพิมพ์ กินกาแฟ และติดตามข่าวอุตุนิยมวิทยา ชาวเวียตจึงเป็นคนที่รับรู้ข่าวสารมากที่สุด และข่าวสารคือส่วนสำคัญในการตัดสินใจต่างๆในชีวิต
สตรีท่านนี้ใช้เวลาหลังเลิกงานมาเล่นไวโอลินในร้านอาหารซึ่งผมฟังฝีมือของเธอก็ไม่ใช่จะรื่นไหล แต่ผมสนับสนุนการทำงานพิเศษและเห็นว่าทางร้านอาหารก็ให้โอกาสแก่สตรีท่านนี้ทำงานและมีรายได้
ยังมี อาชีพเก่าแก่คือสามล้อนั่งแรงคน แม้ค่ำคืนก็ยังมีหนุ่มชาวเวียตมาจอดรถสามล้อคอยรับจ้างนักท่องเที่ยว ซึ่งก็คอยเรียกผู้เดินทางผ่านไปมา แต่ก็ไม่ทำให้ถึงกับรำคาญเหมือนกลุ่มขอเงินตามถนนที่มีอยู่บ้าง
คุณป้า หรืออาซิ้มท่านนี้มานั่งขายสิ้นค้าจำนวนนิดหน่อยอยู่ที่มุมถนน โดยมีไฟเล็กๆตั้งอยู่หนึ่งดวง แต่หลักๆคืออาศัยไฟฟ้าจากถนนมากกว่า
สองหนุ่มนี้แทนที่จะไปแข่งมอเตอร์ไซด์แบบบ้านเราก็เข้ามารับจ้างร้านแกะสลักไม้เป็นรูปต่างๆอย่างมีฝีมือ เด็กหนุ่มขนาดนี้ ทำงานระดับฝีมือได้ขนาดนี้ ผมเห็นด้วยกับบางท่านที่ตั้งข้อสังเกตว่าชาวเวียตนามนั้นมีศิลปะอยู่ในสายเลือด
แม่ค้าคานหาบขายสินค้าส่วนใหญ่เป็นขนมของท้องถิ่น และเป็นของชาวจีน อาชีพแบบนี้แต่ก่อนผมเห็นในตลาดบ้านเรา เดี๋ยวนี้ไม่เห็นแล้วครับ
การทำงานยังใช้แรงงานคน เครื่องมือเดิมๆ เช่น ล้อเลื่อนขนทรายนี้ ท่านนึกซิครับว่าถ้าเป็นบ้านเราจะใช้เคลื่อนย้ายทรายด้วยวิธีไหน
คุณลุงสองท่านนี้ หรืออาแป๊ะ ยื่นมือมาขอเงินพร้อมยิ้มๆ จริงๆท่านเชิญชวนให้เช่าเรือพายนั่งชมบ้านเมืองของเขา ซึ่งมีบริการแบบเรือใช้เครื่องจักร และแบบพายอย่างนี้
ตลาดสดยามเย็นแบกะดิน แบบเดิมๆที่เราเห็นในบ้านเรามานานแสนนาน ซึ่งเดี๋ยวนี้ยกระดับเป็นแบบมีร้านที่ที่วางขายสินค้าที่ถูกสุขลักษณะมากกว่า ภาพแบบนี้ก็ต้องไปหาดูที่ชนบท แต่นี่เป็นตลาดที่เมือง ฮอยอัน ซึ่งหมายถึง ชุมชนสงบสุข
ชายท่านนี้ผมไม่ทรายรายละเอียดชีวิตของท่าน แต่วันนี้เขามาเดินขายสิ่งของจักรสานที่มีลวดลายใช้ได้ เขามาคอยตามภัตตาคารที่มีนักท่องเที่ยวกลุ่มใหญ่มาใช้บริหาร เท่าที่ผมสังเกตดูเขาขายไม่ได้เลย
ท่านนี้ผมประทับใจมาก ชีวิตต้องสู้จริงๆ อดีตทหารเวียตกง ที่ต้องตัดขาทั้งสองข้าง แต่ชีวิตต้องดิ้นรนต่อไป ไม่ท้อถอย ไม่ฟูมฟายในชะตาชีวิต แต่ยิ้มสู้ เพียงรู้ว่ามีนักท่องเที่ยวมาพักที่โรงแรม อดีตทหารท่านนี้ก็โยกสามล้อคู่ชีพเข้ามาจอด แล้วก็กางแผ่นโปสเตอร์รูปของเมืองในมุมต่างๆที่ผมเชื่อว่าเขารับมาจากร้านเอามาขายเพื่อแบ่งรายได้กัน เขาพูดเชิญชวนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม มิได้มีความโศกเศร้าแต่อย่างใด หากใครซื้อ Postcard ก็จะแถมนกหวีดดินเผา 1 อัน
ชีวิตต้องดำรงต่อไป ด้วยการทำงาน ใครมีช่องทางใดๆ ก็ทำสิ่งนั้น สร้างสรรค์สิ่งที่ตนเองถนัดและทำได้ มิใช่เพียงรอคอยความช่วยเหลือ หรือเรียกร้องเอาจากรัฐ
สวัสดีค่ะพี่บางทราย
มา welcome home ! ค่ะ
อ่านแล้วถูกใจจนต้องรีบเข้ามาโดยไม่ล็อคอิน
เพราะเวลาที่เบิร์ดเห็นภาพของการไม่นั่งรอโชคชะตา ไม่รอฟ้ารอฝน หรือคนอื่นมาลิขิต เบิร์ดจะมีความสุขและปลื้มมากๆเลยล่ะค่ะ และชอบคำว่า " ชีวิตต้องสู้ " ที่พี่บางทรายเอามาเป็นชื่อบันทึกที่สุดเลยค่ะ
อุปสรรค ความทุกข์ยากคือบทพิสูจน์ความอดทนและกล้าหาญนะคะพี่บางทราย
ขอบคุณสำหรับบันทึกดีๆที่ทำให้เกิดกำลังใจในเช้าวันใหม่วันนี้ค่ะ...ไปเที่ยวซะหลายวันเหนื่อยมั้ยคะ ^ ^
ขอบพระคุณค่ะพี่บู๊ท
ประทับใจความใจสู้ ของคนเวียตนามมากค่ะ
ใช่ค่ะ หนิงเองก็เคยเจอคนพิการของเวียตนามหลายคน แต่ละคน ใจสู้ สุดๆค่ะ ต่อสู้มามากจนเมื่อได้เจอ แล้วรู้สึกอายตัวเอง และ เฮ้อ...ทำไมเมืองเรา ได้แค่นี้กันน๊อ...
สวัสดีน้องเบิร์ดครับ
สวัสดีพี่องุ่นคนสวย
อ้าว คุณบู๊ท ทำไปทำมากลายเป็น Trip เดียวกันเข้าแล้วซิครับ ต่างกันเพียงเวลาเท่านั้นเอง เป็นอันว่าประทับใจสุด ๆ แน่เลย ผมยังอยากกลับไปเที่ยวตามหมู่บ้าน กิน คุย และนอนกันในหมู่บ้านสักพักด้วยซ้ำไป จะได้เรียนรู้อะไรอีกมากมาย
คิดเสียว่าเป็นสะเมิง ในอดีตก็ยังได้เลยนะ