บทคัดย่อ
การศึกษาสภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโรงเรียนในโครงการหนึ่งอำเภอ
หนึ่งโรงเรียนในฝัน
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา
1)
สภาพการดำเนินงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
2)
สภาพการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3)
สภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการจัดการเรียนรู้
และ
4)
สภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้และความพึงพอใจของนักเรียน
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
ได้แก่ ผู้บริหาร ครู
และนักเรียน ในโรงเรียนในโครงการหนึ่งอำเภอ
หนึ่งโรงเรียนในฝัน ทั้งหมด
จำนวน
921
โรงเรียน
ได้มาโดยการสุ่มอย่างง่าย
โดยสุ่ม ผู้บริหารโรงเรียน ๆ 1
คน ครูผู้สอนจากทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ ๆ ละ 1 คน
นักเรียนเฉพาะ
ช่วงชั้นที่ 2 -
4 ช่วงชั้นละ 3
คน เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลในครั้งนี้
ใช้แบบสอบถาม จำนวน 4 ฉบับ
ได้แก่
ฉบับที่ 1 สภาพทั่วไปด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโรงเรียน
ฉบับที่ 2 สภาพการบริหารจัดการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโรงเรียน
ฉบับที่ 3 สภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการจัดการเรียนรู้ และ
ฉบับที่
4
สภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้และความพึงพอใจของนักเรียน
สรุปผลการวิจัย
1.
สภาพความพร้อมด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ได้แก่
อุปกรณ์ครุภัณฑ์คอมพิวเตอร์ ทุกโรงเรียนมีคอมพิวเตอร์อย่างน้อย
33
เครื่อง
และมีอุปกรณ์ครุภัณฑ์ประกอบคอมพิวเตอร์เพื่อประโยชน์ในการนำเสนอข้อมูล
และการผลิตสื่ออิเล็กทรอนิกส์เป็นส่วนใหญ่ ครูผู้สอนมีเพียงร้อยละ
50.59
ที่มีวุฒิทางด้านคอมพิวเตอร์
ความพร้อมทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน พบว่า ด้านไฟฟ้า
มีความเพียงพอร้อยละ 57.64
ทั้งนี้
โรงเรียนประถมศึกษาและโรงเรียนประถมศึกษาขยายโอกาสยังคงพึ่งพาไฟฟ้าจากชุมชนร้อยละ
100 นอกจากนี้พบว่าโรงเรียนร้อยละ 100
มีระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ภายในโรงเรียน
ความเร็วของระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในโรงเรียน ร้อยละ
90.30 ใช้ระดับความเร็วต่ำกว่า 1 Mb/s
และคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในโรงเรียนส่วนใหญ่เป็นชนิด Pentium
IV หรือเทียบเท่า ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ที่ใช้ส่วนใหญ่
คือ ระบบปฏิบัติการ Linux
และ
Microsoft
Windows โปรแกรมประยุกต์ที่ใช้ส่วนใหญ่
คือ Microsoft Office
และในระบบการจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่ายโรงเรียนส่วนใหญ่ใช้โปรแกรม
Moodle เป็นโปรแกรมหลักในการพัฒนา Courseware
เพื่อใช้ในการจัดการเรียนการสอนผ่านเครือข่าย
และโรงเรียนส่วนใหญ่ยังขาดโปรแกรมที่ใช้ในการบริหารจัดการสารสนเทศ
ซึ่งโรงเรียนบางส่วนมีโปรแกรมดังกล่าวหลากหลายชนิดแต่ไม่สามารถเชื่อมต่อกัน
ทั้งระบบได้
2.
สภาพการบริหารจัดการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
พบว่า
โรงเรียน ร้อยละ
82.90
จัดทำแผนพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารรายปี
ร้อยละ 52.10 จัดทำแผนราย
3 ปี และมีเพียงร้อยละ 24.30 จัดทำแผนราย 5
ปี โรงเรียนร้อยละ 90.70
จัดทำ/ใช้ฐานความรู้เพื่อให้นักเรียนสืบค้นผ่านระบบ
e-Library
รวมทั้งมีการจัดทำ/ใช้ห้องปฏิบัติการที่ประกอบด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในโรงเรียนในกลุ่มสาระการเรียนรู้ต่าง
ๆ มากกว่าร้อยละ 80.00 โรงเรียนร้อยละ 92.90
จัดตั้งคณะกรรมการ/คณะทำงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ร้อยละ 70.00 จัดทำ/ใช้ระบบ e-Learning
และ Website ของโรงเรียน
รวมทั้งจัดกิจกรรมประกวด
แข่งขันทักษะด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารสำหรับครูและนักเรียน ครูจัดทำแผนการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ร้อยละ 41.40
การสนับสนุน
ส่งเสริมให้ครูไปประชุม อบรม
สัมมนาด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
อยู่ในเกณฑ์น้อย ครูมีความสามารถในการผลิตสื่อด้านนี้เพียงร้อยละ
43.40
และสื่อที่ผลิตไม่ได้รับการรับรองคุณภาพเป็นส่วนใหญ่
3.
สภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการจัดการเรียนรู้
โรงเรียนวางแผนจัดกิจกรรมการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารโดยจัดทำหน่วยการเรียนรู้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปีทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
กลุ่มสาระการเรียนรู้ที่มีการจัดทำหน่วยการเรียนรู้ที่ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการจัดการเรียนรู้มากที่สุด
คือ กลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี รองลงมาได้แก่
กลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ วิทยาศาสตร์ และคณิตศาสตร์
ครูจำนวนหนึ่งใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในรูปแบบต่าง
ๆ ประกอบการเรียนการสอน ได้แก่
สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI)
WBI/WBT
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์
(e-Book)
e-Presentation
,
e-Album
และ
Courseware ครูส่วนมาก
ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้
ขั้นนำเสนอเนื้อหามากที่สุด รองลงมา คือ ขั้นสรุปบทเรียน
การนำเข้าสู่บทเรียน และใช้น้อยที่สุดในขั้นประเมินผล
ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้
4.
สภาพการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่อการเรียนรู้และความพึงพอใจของนักเรียน
1)
วิธีการเรียนรู้ในห้องเรียน
นักเรียนในโครงการส่วนมาก
ใช้วิธีเรียนรู้โดยการศึกษาจากบทเรียนในอินเทอร์เน็ตในระดับมากที่สุด
ร้อยละ 65.20
รองลงมาใช้วิธีการศึกษาจากระบบ e-Learning ของโรงเรียนจำนวน
ร้อยละ 43.50 และใช้วิธีศึกษาจากสื่ออิเล็กทรอนิกส์อื่น
ร้อยละ
33.40
นักเรียนส่วนมากได้ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในการเรียนรู้
ในทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ในระดับมาก ในด้านการแสวงหาความรู้เพิ่มเติม
นักเรียนในโครงการฯ ส่วนมากค้นคว้า
แสวงหาความรู้เพิ่มเติมจากอินเทอร์เน็ตในระดับมากที่สุด
ร้อยละ
86.63
2)
ประสบการณ์ของนักเรียนในการสร้าง/ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
นักเรียนส่วนมากมีประสบการณ์ในการสร้าง
หรือใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ในระดับมาก เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้แก่
ประสบการณ์ในการนำเสนอข้อมูลด้วยโปรแกรม PowerPoint
คิดเป็นร้อยละ 92.75 รองลงมา ได้แก่
ประสบการณ์การในการจัดทำรายงาน ร้อยละ 92.63
และประสบการณ์การในการจัดทำแผ่นพับหรือวารสาร
ร้อยละ 86.07
ตามลำดับ เมื่อพิจารณาตามประเภทของการสร้าง/ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
พบว่า
นักเรียนส่วนมากมีประสบการณ์ในการสร้างงานกราฟิกด้วยโปรแกรม
Photoshop
ในระดับปานกลาง
ร้อยละ 74.58 รองลงมาได้แก่
การออกแบบผลิตภัณฑ์/ชิ้นงานด้วยโปรแกรม Pro/DESKTOP
ร้อยละ 66.33
และการจัดทำอัลบั้มภาพ ร้อยละ 65.33
ตามลำดับ
ด้านวิธีการติดต่อสื่อสาร พบว่า
นักเรียนส่วนมากใช้วิธีการรับ-ส่งไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์
(e-mail)
มากที่สุด ร้อยละ 85.88 รองลงมา ได้แก่
การสนทนาผ่านทางเครือข่าย (Chat) ร้อยละ
76.95
และการใช้บริการรับส่งข้อความของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ระบบดิจิตอล
(Short Massage Service : SMS) ร้อยละ 75.64
ตามลำดับ ด้านการใช้บริการเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารนักเรียนส่วนมากใช้บริการลักษณะนี้ในห้องสมุดในระดับมาก
คิดเป็นร้อยละ 93.32
รองลงมา ได้แก่ การใช้บริการตรวจสอบผลการเรียน ร้อยละ
76.27 และการลงเวลามาโรงเรียน ร้อยละ 64.65
ตามลำดับ สำหรับรายได้จากผลงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของนักเรียน
พบว่า นักเรียนส่วนมาก
ร้อยละ
62.65
มีรายได้จากผลงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
เมื่อจำแนกตามประเภทของโรงเรียน
พบว่า นักเรียนในโรงเรียนประเภทประถมศึกษา มีรายได้จากผลงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ร้อยละ
65.75 และ นักเรียนในโรงเรียนประเภทประถมศึกษาขยายโอกาส
มีรายได้จากผลงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ร้อยละ
55.00 และนักเรียนในโรงเรียนประเภทมัธยมศึกษามีรายได้จากผลงานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ร้อยละ 64.04
รายได้ของนักเรียนส่วนมากมาจากการพิมพ์งาน ร้อยละ 65.64
รองลงมา ได้แก่ การทำปกเอกสารและรายงาน ร้อยละ 63.65
และการจัดทำแผ่นพับ คิดเป็นร้อยละ 55.90
ตามลำดับ
3)
ความพึงพอใจของนักเรียน
พบว่า นักเรียนโรงเรียนในโครงการมีความพึงพอใจต่อระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารของโรงเรียนในระดับปานกลาง
( =3.32) ทั้งนี้
นักเรียนมีความพึงพอใจในเรื่องการเรียนรู้เกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ในโรงเรียน
มากเป็นอันดับแรก (=4.07)
รองลงมาได้แก่
การจัดการเรียนการสอนที่นักเรียนสามารถนำความรู้ไปปฏิบัติงานในสภาพชีวิตจริงได้
(=3.74)
และ การจัดการเรียนการสอนที่เปิดให้นักเรียนได้มีโอกาสแสดงเหตุผลอย่างหลากหลาย
และการจัดการเรียนรู้ที่เน้นนักเรียนได้ปฏิบัติการในห้องทดลองจริง
(=3.71) ตามลำดับ
รายการที่นักเรียนมีความพึงพอใจในอันดับท้ายสุด คือ
การบริการห้องมัลติมีเดีย ได้แก่ ห้องสมุดภาพและห้องสมุดเสียง
(=2.99)
รองลงมาได้แก่
การบริการสื่อและการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตในห้องปฏิบัติการ
(=3.05)
การให้บริการแหล่งค้นหาความรู้ได้อย่างต่อเนื่องไม่จำกัดเวลา
(=3.36)
และการบริการสื่ออิเล็กทรอนิกส์ระบบ e-Learning
หนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book)
สื่อคอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(CAI) สื่อ
WBI/WBT
รวมทั้งความเร็วในการติดต่อทางอินเทอร์เน็ตเพื่อค้นคว้าหาความรู้
(=3.39) ในด้านการบริการสื่อและการค้นคว้าทางอินเทอร์เน็ตในห้องปฏิบัติการ
นักเรียนมีความพึงพอใจต่อการบริการของกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาอังกฤษ
(=3.44)
มากเป็นอันดับแรก
รองลงมาได้แก่การบริการของกลุ่มสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์
(=3.35)
และกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์ ม.ต้น
(=3.28)
การบริการของกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่นักเรียนพึงพอใจเป็นอันดับท้ายสุด
ได้แก่ การบริการของกลุ่มสาระการเรียนรู้อุตสาหกรรม
(=2.56)
รองลงมาได้แก่
การบริการของกลุ่มสาระการเรียนรู้ดนตรี ศิลปะ
(=
2.80) และสุขศึกษาและพลานามัย
(=2.88)
ตามลำดับ
สงสัย แบบสอบถามยาวๆที่ส่งมาให้หัวหน้ากลุ่มสาระฯตอบเมื่อเร็วๆนี้ คงจะเป็นผล จึงเป็นวิจัยเรื่องนี้มั้งคะ
ขอบคุณค่ะที่นำมาให้ทราบผล..ดีมากเลยค่ะ