วันนี้ผมรู้สึกอยากนำเรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางด้วยรถไฟสายใต้ เมื่อประมาณ20 ปีที่แล้วมาเล่า สู่กันฟัง เป็นประสบการณ์เล็ก ๆ ของเด็กหนุ่มที่เข้ามาเรียนหนังสือในกรุงเทพ ฯ ด้วยแรงกดดันจากภาวะการแข่งขันด้านการศึกษาที่ค่อนข้างรุนแรงของสังคมแถว ๆ บ้าน ... ทำให้ต้องกระเสือกกระสนไม่ให้แม่น้อยหน้าเขา
ผมออกจากบ้านด้วยรถประจำตำแหน่ง สามล้อเปิดประทุน เป็นจักรยานพ่วงข้างด้วยหวายใช้แรงงานคนถีบ มันเท่มากครับ ค่าจ้างประมาณ 10 บาท (คนถีบเป็นพ่อของเพื่อนสนิทผมที่ภายหลังกลายเป็นนักบาสเกตบอลจังหวัด ผมกลับไปบ้านเขาไม่คุยด้วยแล้วครับ ทั้ง ๆ ที่หัดแล่นมาด้วยกัน) ถึงสถานีรถไฟฉวางเล็ก ๆ แต่สวยงามมากในความคิดผม (เคยได้รางวัลอันดับ 2 ของภาคใต้) ผมยังเคยมีภาพถ่ายขาวดำตอนเด็ก ๆ ที่นี่กับอาที่เคยเป็นดรัมเมเยอร์ของ รร.กัลยาณีศรีธรรมราชและตอนหลังมีลูกสาวเป็นดาราหนังคนหนึ่ง) รถไฟจะจอดที่สถานีนี้ประมาณ 3 นาที ก่อนถึงจะผ่านสะพานโค้ง (สะพานเหล็กสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ) เสียงจะคำรามกึกก้อง เพราะบ้านผมเป็นอำเภอเล็ก ๆ ค่อนข้างเงียบ
ผมเป็นลูกชายคนโตครับการเดินทางไกลครั้งแรกสร้างความลำบากใจเป็นอย่างมาก (กลัว เหงา ตื่นเต้น ...) ขึ้นไปชั้น 3 รถเต็ม ไม่หลงเหลือที่นั่งให้ ! ซึ่งก็ไม่เป็นที่แปลกใจเท่าไรนัก แปลกแต่ทำไมการรถไฟสายใต้ถึงขาดทุนทุกปี ทางรถยนต์คนไม่นิยมเพราะถนนขณะนั้นวิ่งสวนทางกัน ทั้ง ๆ ที่ ส.ส. ภาคใต้บ้านผมเป็นใหญ่ในรัฐบาลทั้งนั้น (สู้ถนนไปสุพรรณของท่านบรรหารก็ไม่ได้ แว่วว่าดีกว่าถนนเข้าสู่เจดีย์ชะเวดากองกลางกรุงร่างกุ้ง หรือในเวียงจันทร์เสียอีก) แต่แม่ก็ได้เตรียมกระดาษหนังสือพิมพ์ให้ไว้แล้วครับ กะว่าถึงกลางคืนจะปูมันลงกับพื้นนี่แหละ ...
ขอเริ่มต้นเท่านี้ก่อนนะครับ ยังมีให้น่าติดตามอีกเยอะมีภาระกิจนะครับ คงต้องบิ้วกันใหม่ เคยตั้งใจจะเขียนเป้น pocket book แต่ไม่ได้ทำซักที วันนี้มีช่องทางใหม่ ขอเล่าอีกซักนิด "เพื่อนผมกินก่วยเตี่ยวรอรถไฟข้างสถานี แต่พอดีรถไฟมาตรงเวลา (ปกติไม่เคย) ลูกชิ้นยังไม่ได้ทานเลยครับ ! เขาเป็นคนหวงลูกชิ้น จะเก็บไว้กินภายหลัง ก็กินเส้นกับน้ำไปก่อน เลยอดทานไป (รถไฟที่นี่ออกเร็ว)" ฮ่า ฮ่า
เป้นไงครับสามารถเล่าเรื่องตลกให้ไม่ตลกได้ ส่วนใหญ่จะได้จากประสบการณ์ตรงครับ