คุณธรรมจริยธรรม(๕)


ความสามัคคีของมนุษย์

ปัญหาความสามัคคีของคนในองค์กรหากเกิดขึ้นมาแล้ว เป็นปัญหาที่แก้ยากเพราะเป็นเรื่องของจิตใจของแต่ละคนที่มีความคิดอ่านไม่เหมือนกัน ในการบริหารงานหากมีเจ้าหน้าที่คนหนึ่งไม่ทำงาน ชอบใช้แต่เด็กฝึกงาน ตัวเองแว๊บหายเรื่อยๆ แถมยังเป็นตัวป่วนยุแหย่คนโน้นทีคนนี้ที จนคนในองค์กรแบ่งฝักแบ่งฝ่ายเป็นเสี่ยงๆ แถมเจ้านายยังเชื่อตามที่คนนี้เป่าหู ถ้าท่านเป็นผู้บริหารท่านจะทำอย่างไร ผมก็จนปัญญาไล่ออกก็ไม่ได้ จะโยกย้ายแต่ละทีก็ต้องเป็นคำสั่งจากส่วนกลาง ผมใช้วิธีเรียกมาพูดเป็นส่วนตัว ให้โอกาส ก็จะดีเป็นช่วงๆ พอดูท่ามีปัญหาก็เรียกมาคุยอยู่อย่างนี้แหละ แล้วผมก็ผ่านตรงนั้นมาได้ แต่ทราบว่าตอนนี้อาละวาดหนักอีกแล้ว ตอนนั้นผมพูดให้เห็นความสำคัญของการทำงานเป็นทีม และเขียนบทความให้อ่านกันทั่วสำนักงาน ตามที่เอามาให้อ่านนี่แหละครับ

คุณธรรมจริยธรรม(๕)

บัณฑูร  ทองตัน  

           เรื่องของคุณธรรมที่เป็นนิทานมีมากมายหลายเรื่อง ผมจะทะยอยนำมาเขียนเพื่อให้ผู้อ่านได้รับทราบและยึดถือเป็นแนวทางดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข ในคราวนี้จะได้เล่าให้ฟังเรื่องความสามัคคีและความสำคัญของความเป็นองค์กร ทราบไหมครับว่าทำไมบริษัทต่างๆในประเทศญี่ปุ่นจึงประสบความสำเร็จมากมาย จากการวิจัยพบว่าพนักงานของบริษัทต่างๆเหล่านั้น ต่างมีความรู้สึกร่วมกันว่าตนแป็นเจ้าของบริษัท จึงต้องทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อให้บริษัทของตนก้าวหน้ายิ่งๆขึ้นไป ทุกคนทำงานหามรุ่งหามค่ำโดยไม่ได้คิดว่าคนนั้นทำมากคนนี้ทำน้อย แต่พนักงานของเขาต่างมีความรับผิดชอบงานในหน้าที่เป็นอย่างดี แหมได้รู้อย่างนี้ ผมก็อยากให้สำนักงานของผมมีพนักงานที่มีความรู้สึกรักองค์กรแบบพนักงานในประเทศญี่ปุ่นจังเลยครับ

            อาจมีคนแย้งว่า ก็นั่นมันเป็นบริษัทเอกชน แต่งานของเราเป็นงานราชการ ผมก็ยอมรับมิได้โต้เถียงตรงนั้น แต่เพราะคนของเขามีระเบียบวินัยด้วย เวลาทำงานเขาทำงานจริงจัง แต่ของพี่ไทยเรามาไทย ไปฝรั่ง  คือตามเวลา หมายถึงเวลามามาหลัง ๘.๓๐ น.พอพ้นเวลาจึงจะมาถึง บางคนอาจจะมา ๙ โมงเศษ แจ่พอถึงเวลา ๑๖.๓๐ น.เป๊ะหิ้วกระเป๋ากลับทันที แต่เตรียมตัวตั้งแต่บ่ายสามโมง ฮั่นแน่....อย่าเข้าใจผิดว่าเป็นลูกน้องผม เพราะลูกน้องผมทุกคนมาก่อนเวลาทุกคนจริงๆ ไม่เชื่อดูบัญชีการมาทำงานได้เลย แฮ่.....

            ในเรื่องขององค์กรทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด ไม่เว้นแต่พนักงานทำความสะอาด เพราะต่อให้สำนักงานมีคนทำงานเก่งอย่างไรก็ตาม หากสำนักงานสกปรก คนที่มาเห็นก็มีเรื่องตำหนิได้ทันที  หญ้าหน้าสำนักงานรกหรือต้นไม้เหี่ยวเฉา ใครมาเห็นก็ตำหนิได้ทันทีเหมือนกัน ถ้าเจ้าหน้าที่ธุรการไม่บริการประชาชนถือว่าไม่ใช่หน้าที่ของตัว เพราะตัวได้รับมอบหมายหน้าที่ให้ทำงานด้านอื่นไม่มีหน้าที่บริการประชาชนก็ต้องถือว่าสำนักงานนั้นๆบกพร่องเช่นกัน  หรือเจ้าหน้าที่ธุรการบริการประชาชนดี แต่พอเจออัยการพูดหรือใช้กริยาวาจากับประชาชนไม่ดี ใครเห็นก็ต้องว่าสำนักงานนั้นแย่ เช่นกัน ดังนั้นทุกคนจึงมีความสำคัญเท่าเทียมกัน เปรียบเสมือนฟันเฟืองในเครื่องจักร หากเฟืองตัวใดตัวหนึ่งไม่หมุนเครื่องจักรก็เดินต่อไม่ได้ ฉันใดก็ฉันนั้น             เรามาลองเปรียบเทียบกับร่างกายมนุษย์ก็ได้ วันนี้มีนิทานมาเล่าให้ฟังเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับร่างกาย ชื่อเรื่องว่าใครใหญ่ อ้อ ไม่ได้เขียนเองอีกนั่นแหละ ได้มาจากอินเตอร์เนตไม่ทราบชื่อผู้เขียนเหมือนเดิม ครับเมื่อครั้งอวัยวะต่างๆ รวมตัวกันเป็น ร่างกายมนุษย์ในครั้งแรกอวัยวะแต่ละส่วนของร่างกายต่างต้องการ จะเป็นเจ้านายใหญ่

สมองพูดขึ้นว่า"ฉันควรจะเป็นนายใหญ่เนื่องจากฉันควบคุมการทำงานทุกส่วนของร่างกาย"

เท้าสองข้างแย้งว่า "เราสิควรจะเป็นนายใหญ่ เพราะเราพาสมองไปไหนมาไหน และนำร่างกายไปสู่จุดหมายได้"

มือสองข้าง จึงพูดบ้างว่า "เราต่างหากที่ควรเป็นนายใหญ่ เพราะเราทำงานทุกอย่างและหาเงินมาเลี้ยงร่างกาย"อวัยวะทั้งหลายต่างแสดงความเห็นและอ้างเหตุผลกันไปเรื่อย     จนกระทั่ง

ทวารหนัก พูดบ้างว่าตัวเองควรเป็นนายใหญ่ ซึ่งทำให้อวัยวะอื่นๆ พากันหัวเราะเยาะ ดังนั้นทวารหนักจึงเริ่มประท้วงด้วยการหยุดนิ่ง ไม่ทำงานถ่ายอุจจาระ ภายในเวลาไม่นานตาเริ่มเหล่ มือเริ่มบิดเกร็ง เท้าเริ่มกระตุก หัวใจและปอดเริ่มหวาดผวาสมองเริ่มมีไข้ในที่สุดอวัยวะทุกส่วน จึงตัดสินใจมอบให้ทวารหนักเป็นนายใหญ่ของร่างกาย กระบวนการต่างๆในร่างกายจึงดำเนินต่อได้ตามปกติ นับแต่นั้นมา อวัยวะทั้งหลายช่วยกันทำงานสำคัญของร่างกายอย่างเต็มที่ในขณะที่ทวารหนักซึ่งเป็นนายใหญ่ เพียงแต่อยู่เฉยๆ คอยระบายของเสียออกจากร่างกายเท่านั้น ข้อคิดจากเรื่องนี้ การเป็นเจ้านายที่ดีไม่จำเป็นต้องอาศัยความฉลาดปราดเปรื่องมากนักหรอก เพียงสนับสนุนลูกน้องให้ทำงานเต็มความสามารถ อย่างมีความสุขก็เพียงพอแล้ว

         ผมเอาเรื่องนี้ ไปเล่าให้เด็กนักเรียนฟัง แล้วถามว่า นิทานเรื่องนี้สอนอะไรลูกบ้าง นักเรียนตอบว่า คนที่เป็นเจ้านายไม่จำเป็นต้องเป็นคนเก่ง มีแค่รูต..ด ก็มาเป็นหัวหน้าได้แล้ว

            แฮ่ะๆ คุณคิดอย่างที่บทความเขาบอก หรือคิดอย่างที่นักเรียนบอก ถ้าคิดอย่างนักเรียนบอก สงสัยผมต้องไปทบทวนตัวเอง ซะละกระมั๊ง......

หมายเลขบันทึก: 134293เขียนเมื่อ 3 ตุลาคม 2007 06:22 น. ()แก้ไขเมื่อ 23 มีนาคม 2012 13:00 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (4)

สนุกมากค่ะ  อ่านบันทึกของท่านแล้วสนุกมากเลยค่ะ  ได้สาระ และจะนำไปเล่าให้นักเรียนฟัง  ถึงความเท่าเทียมของคนค่ะ  เปรียบเทียบกับเอ้อ...ต..ด

อิอิ..สนุกค่ะ  ครูอ้อยขอปรบมือให้ค่ะ

ขอบพระคุณครูอ้อยมากนะครับที่แวะมาทักทาย

ผมแอบอ่านงานครูอ้อยอยู่บ่อยๆเหมือนกันครับ

ต่อจากนี้ไป  ไม่ต้องแอบอ่านนะคะ อ่านดังๆเลยค่ะ  น้องชาย

ขอให้มีความสุขกับการทำงานตลอดวันเลยนะคะ

  • ดีใจที่ครูอ้อยมองว่าผมอ่อนวัยกว่า แสดงว่าหน้าผมยังละอ่อน
  • แต่ความจริงที่แสนโหดร้ายคือผมแก่กว่าครูอ้อย ๑ ปีเศษ ฮิฮิ
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท