STI - KM ที่จัดครั้งแรกในกลุ่ม COP - STI


Storytelling ก้าวแรกของการจัดการความรู้ในสถาบันบำราศนราดูร

STI – KM  ที่จัดครั้งแรกในกลุ่ม COP – STI สถาบันบำราศนราดูร


Storytelling ก้าวแรกของการจัดการความรู้ในสถาบันบำราศนราดูร

Storytelling ก้าวแรกของการจัดการความรู้ในสถาบันบำราศนราดูร <p align="left"></p>

ความเป็นมา     โครงการพัฒนาสถาบันบำราศนราดูรเพื่อเป็นศูนย์กลางแห่งชาติในการดูแลและฝึกอบรมโรคเอดส์ภายใต้การสนับสนุนจากศูนย์ความร่วมมือไทย-สหรัฐ ด้านสาธารณสุขมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาคุณภาพการดูแลรักษาผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ให้ได้มาตรฐานทั้งในระดับประเทศและระดับนานาชาติ มีกิจกรรมย่อยด้านการป้องกันการแพร่เชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ในกลุ่มผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ทั้งเพศหญิงและเพศชาย(Positive prevention in HIV-infected patients for sexually transmitted infection) กิจกรรมนี้ประกอบด้วยการซักประวัติผู้ติดเชื้อเพื่อการให้คำปรึกษาด้านการลดพฤติกรรมเสี่ยงในการรับและแพร่เชื้อเอชไอวี  รวมทั้งการตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อหาการติดเชื้อโรคทางเพศสัมพันธ์  สถาบันฯ จึงต้องส่งบุคลากรเข้ารับการอบรมเพื่อพัฒนาความรู้  ทักษะในการซักประวัติและให้การปรึกษา ซึ่งมีการอบรมทั้งภายในและภายนอกสถาบันฯ เช่นการอบรมเรื่องการให้การปรึกษาและตรวจเลือดโดยสมัครใจ (Voluntary Counseling Testing) สำหรับชายที่มีพฤติกรรมชายรักชาย (Men who have Sex with Men) เพื่อเป็นการถ่ายทอดความรู้ที่ได้จากการอบรม และทักษะในการปฏิบัติงานจริง  สถาบันฯ จึงได้จัดให้มีการแลกเปลี่ยนความรู้โดยใช้วิธีการบอกเล่าเรื่อง (storytelling)   ซึ่งได้ดำเนินการครั้งแรกเมื่อวันที่ 25  พฤศจิกายน 2548

วิธีการ             จัดการประชุมในคณะทำงาน STI ซึ่งเปรียบเสมือนเวทีแลกเปลี่ยนความรู้ซึ่งกันและกันมีลักษณะของชุมชนนักปฏิบัติในด้านโรคติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ในผู้ป่วยเอชไอวี/เอดส์  โดยมี”คุณอำนวย” 2 คน ซึ่งเป็นพยาบาลวิชาชีพผู้ให้การปรึกษา (คุณอารีวรรณ เจริญรื่น และ คุณอารี  รามโกมุท ) ทำหน้าที่ซักถามประเด็นความรู้ในการซักประวัติผู้ติดเชื้อเอชไอวี/เอดส์ที่มีพฤติกรรมชายรักชาย จาก”คุณกิจ”  พยาบาลเทคนิค(คุณเดชา  ญานฤทธิ์ ) ผู้ปฏิบัติงานและผ่านการอบรม  มี “คุณลิขิต” บันทึกข้อมูลก่อนการประชุมได้มีการอธิบายถึงวัตถุประสงค์ในการประชุมว่าเป็นการถ่ายทอดความรู้ผ่านการเล่าเรื่องของผู้ปฏิบัติงาน ซึ่งเป็นวิธีหนึ่งในการจัดการความรู้

ข้อสังเกต        บรรยากาศในตอนแรก ”คุณกิจ” ค่อนข้างจะเขินอายเพราะเป็นครั้งแรกที่เป็นทั้งวิทยากรและผู้ถูกสัมภาษณ์ ไม่กล้าพูดขอให้ทุกคนอ่านเอกสารประกอบการบรรยายที่นำมาแจกแทน  “คุณอำนวย” ต้องใช้เทคนิคในการซักถามพูดคุยในประเด็นปัญหาในการทำงานก่อน และตั้งคำถามด้านวิชาการ เช่น คำนิยามของชายที่มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน ซึ่ง “คุณกิจ” ได้อธิบายเพิ่มเติมจากเอกสารประกอบคำบรรยายพร้อมทั้งยกตัวอย่างประกอบ   จากนั้นบรรยากาศของการเล่าเรื่องของทั้ง”คุณกิจ” และคุณอำนวยจึงได้เริ่มขึ้น  โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมทุกคนร่วมซักถามและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อให้คุณกิจเกิดความรู้สึกอยากจะเล่าประสบการณ์และความรู้ที่ได้รับมาจากการฝึกอบรมเพิ่มขึ้น  “คุณอำนวย” คอยตั้งประเด็นและสรุปสาระสำคัญโดยแบ่งเป็นหัวข้อให้ “คุณลิขิต” บันทึกไว้
ตัวอย่าง         คุณอำนวย ถามว่ามีวิธีซักถามกับผู้ป่วยอย่างไรว่าเขามีพฤติกรรมชายรักชาย 
                        คุณกิจ    ผู้ป่วย HIV/AIDS  ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศจะมีจิตใจที่ละเอียดอ่อน  การตั้งคำถามจึงต้องละเอียดอ่อนตามไปด้วย และต้องเป็นคำถามที่คลอบคลุมทุกรายละเอียด  การตั้งคำถามต้องเป็นคำถามที่ชี้แนวทางให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ป่วยและต้องใช้คำถามที่ไม่ทำลายความรู้สึก  เช่น  ถ้าต้องการที่จะทราบว่าผู้ป่วยมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือไม่  ส่วนใหญ่ผู้ให้การปรึกษาจะพูดคุยในประเด็นอื่น ๆ ก่อนแล้วจึงใช้คำถามที่ถามถึงความรู้สึกที่แท้จริง  เช่น  เมื่อคุณอยู่ใกล้และสัมผัสผู้หญิง  คุณรู้สึกอย่างไร  มีความสุขหรือไม่  และเมื่อเทียบกับการที่ได้สัมผัสกับผู้ชาย  ความรู้สึกไหนสร้างความสุขและความต้องการมากว่ากัน  ในการสังเกตพฤติกรรมผู้ป่วยอาจจะต้องสังเกต  ตั้งแต่การพูดคุย  การตอบคำถาม  พฤติกรรมการแสดงออก  และผู้ให้การปรึกษาต้องให้การประเมินเบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางในการตั้งคำถามให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้ป่วยในแต่ละบุคคล 

ข้อสรุป             แม้ว่ากิจกรรมการจัดการความรู้โดยวิธีการเล่าเรื่องในคณะทำงาน STI จะเป็นครั้งแรกและอาจจะไม่เป็นไปตามแบบแผนนักแต่ถือได้ว่าเป็นก้าวแรกของการแลกเปลี่ยนความรู้ของบุคลากร  ซึ่งจะนำไปสู่ก้าวต่อไปของการจัดการความรู้ในสถาบันบำราศนราดูร 

รายงานโดย        นางชนกพรรณ  ดิลกโกมล
เลขาคณะกรรมการ
จัดโดย  แพทย์หญิงอัจฉรา  เชาวะวณิช
ผู้อำนวยการสถาบัน

ข้อสังเกตจากผู้อำนวยการ
            การทำ KM โดยการเล่าเรื่องเป็นกาทำครั้งแรก  โดยความจริงทางสถาบันก็มีรูปแบบการถ่ายทอดความรู้ตามหลักการแพทย์อยู่แล้ว  แต่เมื่อเราเริ่มมีความรู้เรื่อง  KM และนำ Technique  ต่างๆ มาใช้  น่าจะเป็นช่องทางราบของการประสานงานและถ่ายทอดความรู้ได้มากยิ่งขึ้นแทนการประสานงานทางดิ่ง  ที่ต้องอาศัยหัวหน้างานกำหนดคนนั้นคนนี้ไปเข้าฟัง  หากเจ้าหน้าที่ไม่มีฉันทะที่จะเรียนรู้ อย่างหวังว่าจะเกิดการพัฒนาของการดูแลในระยะยาว

การแลกเปลี่ยนประสบการณ์ การให้คำปรึกษาผู้ป่วย  HIV/AIDS
ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศชายรักชาย (MSM)
นิยามของ  MSM
            MSM  คือ  กลุ่มชายรักชายที่มีพฤติกรรมรักเพศเดียวกัน ซึ่งแบ่งเป็นหลายประเภทและเรียกแตกต่างกันออกไป  ชายที่ชอบร่วมเพศทั้งหญิงและชาย  เรียกว่า  BISEXSUAL  ส่วนชายที่ต้องการหรือชอบที่จะมีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกันอย่างเดียว  เรียกว่า  HOMOSEXSUAL  แต่ก็ต้องดูตามสถานการณ์ด้วย  ซึ่ง  MSM  ไม่ได้หมายถึงว่าบุคคลเหล่านี้จะอยู่ในประเภทที่มีใจรักชายอย่างเดียวเท่านั้น  ชายบางคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงอาจหาผู้หญิงร่วมเพศสัมพันธ์ไม่ได้  จึงจำเป็นต้องร่วมเพศกับชาย  เช่น  ชายที่อยู่ในทัณฑสถาน  หรือ  ผู้ที่ใช้สารเสพติด  เป็นต้น  ซึ่งกลุ่มคนที่มีพฤติกรรม MSM  นี้จะมีความเสี่ยงสูงที่จะติดเชื้อ  HIV/AIDS  และโรคทางเพศสัมพันธ์  (STI)  เช่น  โรค  กามโรค  หนองใน  เริมอ่อน  หูดหงอนไก่  เป็นต้น 
            ในปัจจุบันผู้ที่มีพฤติกรรมชายรักชาย  มีการเปิดเผยมากยิ่งขึ้น  กลุ่มผู้ติดเชื้อจึงมีอัตราที่เพิ่มมากขึ้นเช่นกัน
<h1>การมีเพศสัมพันธ์ที่เสี่ยงทางไหน
</h1>             การมีเพศสัมพันธ์ของ  MSM  จะมีในลักษณะของการร่วมเพศทางทวารหนักเป็นส่วนใหญ่  การร่วมเพศลักษณะนี้อาจทำให้เกิดการระคายเคืองจากการเสียดสีเนื่องจากจะมีไม่มีสารหล่อลื่นจากธรรมชาติเหมือนในเพศหญิง  ซึ่งจะทำให้เกิดแผลและเป็นช่องทางที่ทำให้ติดเชื้อ  HIV/AIDS นอกจากการร่วมเพศทางทวารหนักแล้วยังมีการร่วมเพศในลักษณะของ  Oral sex  คือ  การใช้ปากและลิ้นในการมีเพศสัมพันธ์  ซึ่งเสี่ยงต่อการติดเชื้อ  การร่วมเพศโดยใช้อุปกรณ์ช่วยก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดการติดเชื้อและแพร่เชื้อ
วิธีการตั้งคำถามและการให้คำปรึกษาผู้ป่วย  HIV/AIDS  ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศ
            ผู้ป่วย HIV/AIDS  ที่มีพฤติกรรมรักร่วมเพศจะมีจิตใจที่ละเอียดอ่อน  การตั้งคำถามจึงต้องละเอียดอ่อนตามไปด้วย และต้องเป็นคำถามที่คลอบคลุมทุกรายละเอียด  การตั้งคำถามต้องเป็นคำถามที่ชี้แนวทางให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้ป่วยและต้องใช้คำถามที่ไม่ทำลายความรู้สึก  เช่น  ถ้าต้องการที่จะทราบว่าผู้ป่วยมีเพศสัมพันธ์กับชายหรือไม่  ส่วนใหญ่ผู้ให้การปรึกษาจะพูดคุยในประเด็นอื่น ๆ ก่อนแล้วจึงใช้คำถามที่ถามถึงความรู้สึกที่แท้จริง  เช่น  เมื่อคุณอยู่ใกล้และสัมผัสผู้หญิง  คุณรู้สึกอย่างไร  มีความสุขหรือไม่  และเมื่อเทียบกับการที่ได้สัมผัสกับผู้ชาย  ความรู้สึกไหนสร้างความสุขและความต้องการมากว่ากัน  ในการสังเกตพฤติกรรมผู้ป่วยอาจจะต้องสังเกต  ตั้งแต่การพูดคุย  การตอบคำถาม  พฤติกรรมการแสดงออก  และผู้ให้การปรึกษาต้องให้การประเมินเบื้องต้นเพื่อเป็นแนวทางในการตั้งคำถามให้สอดคล้องกับลักษณะของผู้ป่วยในแต่ละบุคคล 
สัมพันธภาพในการเข้าถึงกลุ่มชายรักชาย
            ผู้ให้คำปรึกษาต้องสร้างความไว้วางใจให้ผู้ป่วยเชื่อใจและมีความมั่นใจว่าความลับของตนจะไม่ถูกเปิดเผย  กล้าที่จะตอบคำถาม  ต้องแสดงให้ผู้ป่วยกลุ่มนี้เห็นว่าผู้ให้คำปรึกษามีความเข้าใจ  เห็นอกเห็นใจ  และทำตัวเป็นพวกเดียวกับคนกลุ่มนี้  ในขั้นตอนแรกอาจต้องมีการเรียนรู้ถึงพฤติกรรมเบื้องต้นของผู้ป่วย  เช่น  ท่าทางการเดิน  การพูดคุย  และ  การแต่งกาย  ผู้ให้คำปรึกษาต้องมีความรู้ความเข้าใจในธรรมชาติ  และจิตใจของผู้ป่วยเป็นอย่างมาก  ต้องมีการพูดคุยที่เป็นกันเอง  ไม่ใช้ศัพท์หรือคำพูดที่ทำให้เห็นถึงความแตกต่างและเกิดช่องว่างระหว่างผู้ป่วยและผู้ให้คำปรึกษา  การใช้น้ำเสียงต้องไม่แข็งกระด้าง  รวมถึงการใช้คำถามผู้ให้การปรึกษาต้องมีกลยุทธ  ในการถามเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องมากที่สุด
การเกิดหูดหงอนไก่ใน HIV/AIDS  ที่มีพฤติกรรมชายรักชาย
            สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดหูดหงอนไก่  คือ  การมีพฤติกรรมที่เสี่ยงในการร่วมเพศที่ผิดวิธี  ผิดธรรมชาติ  ไม่สะอาด  ทำให้เชื้อไวรัสเกิดการแพร่เชื้อ  ซึ่งเชื้อไวรัสชนิดนี้ไม่จำเป็นต้องติดต่อในกลุ่มชายรักชายและผู้ติดเชื้อ  HIV/AIDS    เท่านั้นในกลุ่มคนปกติก็สามารถติดเชื้อไวรัสชนิดนี้ได้  หากไม่มีการตรวจร่างกายก่อนการมีเพศสัมพันธ์  หรือมีการร่วมเพศที่ผิดวิธี  แต่ไวรัสชนิดนี้ก็สามารถรักษาให้หายได้

คำสำคัญ (Tags): #uncategorized
หมายเลขบันทึก: 13293เขียนเมื่อ 25 มกราคม 2006 13:25 น. ()แก้ไขเมื่อ 6 กันยายน 2013 17:15 น. ()สัญญาอนุญาต: จำนวนที่อ่าน


ความเห็น

เข้ามาดูเพื่อเรียนรู้และอยากนำไปทำCOPชมรมจริยธรรมบ้างค่ะ

เห็นด้วยกับข้อมูลที่ให้ในเรื่องของการสัมภาษณ์ที่เราจะไม่ถามตอบตรงๆ หากแต่จะต้องใช้การสังเกต ภาษากายเป็นสิ่งสำคัญเพราะผู้รับบริการเองก็จะสังเกตผู้ให้การปรึกษาเช่นเดียวกัน การพูดคุยในเรื่องเพศหรือพฤติกรรมส่วนต้วที่เขาไม่ต้องการเปิดเผย การรู้จักจังหวะที่จะถามในด้านการปรึกษาถือได้ว่าเป็นProcessอย่างหนึ่ง ซึ่งถ้าเปิดใจเขาได้ก็จะได้รับความร่วมมือและเป็นการชวนคิดชวนคุยกับผู้รับบริการอย่างแท้จริง
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท