กรมส่งเสริมการเกษตรได้จัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการแนวทางการบริหารโครงการส่งเสริมการเกษตรปีงบประมาณ 2551วันที่ 24-25 กันยายน 2550 ณ โรงแรมรามาการ์เด้น กรุงเทพมหานคร ผู้เข้าสัมมนาประกอบด้วยผู้บริหารระดับกอง/สำนัก/เขต เกษตรจังหวัด/หัวหน้าฝ่ายยุทธศาสตร์ รวมทั้งผู้อำนวยการศูนย์ปฎิบัติงานต่าง ๆ
เริ่มจากอธิบดีให้นโยบายว่า กรมส่งเสริมการเกษตรจะก้าวไปสู่ยุคใหม่ เป็นยุค knowledge base ใช้ความรู้/ภูมิปัญญาเป็นหลัก ที่ผ่านมากรมฯได้นำ km มาเป็นเครื่องมือในการทำงานอย่างเงียบ ๆ มาระยะหนึ่งแล้ว มีผลงานและมีผู้กล่าวถึงตลอดเวลา เราใช้ km เป็นเครื่องมือเหมือนเครื่องมืออื่น ๆ ที่เราใช้ในชีวิตประจำวัน เช่นคอมพิวเตอร์ ปากกา ดินสอ ฯลฯ ทำให้งานของกรมฯเป็นเรื่องเป็นราวขึ้น
เหตุผลประการหนึ่งที่เราจำเป็นจะต้องเข้าสู่ยุค knowledge base เพราะเราถูกตัดงบประมาณมาก คำถามคือว่าเราจะทำงานอย่างไรให้สำเร็จ km คือคำตอบ แหล่งความรู้ของเรามีมาก อาจเรียกว่า k1, k2 k3................ตัวอย่างเช่น การบริหารจัดการ การลดต้นทุนการผลิต การบริหารทรัพยากร หรือเป็นความรู้วิชาการที่ได้จากการปฎิบัติ เช่นปุ๋ยหมัก ปุ๋ยพืชสด ศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ปลูกต้นไม้ใช้หนี้ เป็นต้น เราติดความรู้เหล่านี้ไปหาประชาชนตามที่เขาอยากรู้ ส่วนงบประมาณอาจมาได้ 3 แหล่ง คือ(1)อบต. (2)อบจ. (3)งบธกส.หรือธนาคารออมสิน
ส่วนการเกิดภัยพิบัติ ในส่วนของ อบต. สามารถให้การสนับสนุน/ช่วยเหลือได้โดยจะต้องทำประชาคมและเขียนโครงการตามแบบฟอร์มที่กำหนด ถ้าเกินกำลัง อบต.เช่นการระบาดวงกว้าง ก็สามารถขอความช่วยเหลือจากจังหวัด ซึ่งอยู่ในอำนาจผู้ว่าราชการจังหวัด 50 ล้านบาทหรือกระทรวงเกษตรฯหรือกระทรวงมหาดไทย วงเงินหน่วยงานละ 50 ล้านบาท
งบประมาณในปีนี้เรามีเงินทำงานประมาณ 400 ล้านบาทเป็นงบพัฒนาจริง ๆ เพราะงบส่วนใหญ่เป็นเงินเดือน ดังนั้นเราต้องพยายามทำงานกับภาคีต่างๆ มากขึ้น กลุ่มวิสาหกิจชุมชนก็สามารถกู้เงินจากธกส./ธนาคารออมสิน ตามเงื่อนไขที่กำหนดโดยต้องศึกษาก่อนดำเนินงานเพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด หากมีปัญหาอะไรก็สามารถปรึกษาส่วนกลางได้
การทำงานของเกษตรตำบล ถ้าเปรียบเทียบกับกองทัพ เกษตรตำบลเปรียบเสมือนทหารราบซึ่งขณะนี้มีไม่ครบทุกตำบล กรมฯได้พยายามขอตำแหน่งพนักงานราชการอีก 1200 ตำแหน่ง ได้มาแล้วแต่มีเงินบรรจุเพียง 300 คน จึงต้องปรับการทำงานให้ทำแบบกลุ่มตำบล วิธีนี้จะสอดรับกับการนำ km มาเป็นเครื่องมือในการทำงาน การทำงานร่วมกับ อบต. เราต้องมี Socialize Intelligence (SI) เรียกว่า ความฉลาดทางสังคม(ส่วนรวม )กับ อบต. จะทำให้กรมฯมีความเจริญก้าวหน้า
งานของกรมฯที่เกี่ยวข้องกับสถาบันมี 5 สถาบันคือ
1.กลุ่มแม่บ้านเกษตรกร
2.กลุ่มยุวเกษตรกร
3.กลุ่มพ่อบ้านเกษตรกร
4.อาสาสมัครเกษตรกร
5.วิสาหกิจชุมชน
และเรายังมีเครื่องมืออีก 2 เรื่องที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆคือ
1.คลินิกเกษตรเคลื่อนที่ในพระราชานุเคราะห์ฯ ขณะนี้เราต้องปรับงบประมาณให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุด สามารถนำ km มาเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงและพัฒนางานด้วย
2.โครงการสายใยรักแห่งครอบครัวฯ ขยายไปทุกจังหวัดแล้ว และยังมีครัวสายใยรัก ประกอบอาหารสดช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ
ท่านยังได้กล่าวถึงจุดพลิกผันของกรมฯและหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงอีกด้วยคะ แล้วจะได้รายงานต่อไปนะคะ
ธุวนันท์ พานิชโยทัย
25 กันยายน 2550
เรียนคุณสิงห์ป่าสัก
น่าดีใจแทนพวกเราที่ผู้บริหารให้ความสำคัญเรื่องการจัดการความรู้ หวังว่าเราจะได้ร่วมงานกันอีกในเวทีต่าง ๆ
เรียนคุณเธียรชัย
ที่ไชยาเป็นอย่างไรบ้างคะ
คุณจี้