วันนี้ : วันจันทร์ที่ 23 มกราคม 2549 นับเป็นวันแห่งความชื่นชมยินดีอีกวันหนึ่งที่ต้องบันทึก เนื่องด้วยเป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์พระราชทานปริญญาบัตร แก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยนเรศวร ประจำปีการศึกษา 2547 ณ อาคารอเนกประสงค์ มหาวิทยาลัยนเรศวร อำเภอเมืองพิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
ในปีนี้ ผู้ที่ได้รับพระราชทานปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ มีจำนวน 2 ท่าน คือ
ปริญญาแพทยศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ :
-
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์เกษม วัฒนชัย
ปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาวิทยาศาสตร์การแพทย์ :
-
แพทย์หญิง คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์
และผู้ทำคุณประโยชน์ทางวิชาการแก่มหาวิทยาลัย ได้รับพระราชทานเข็มเกียรติคุณศาสตราจารย์ (พิเศษ) จำนวน 2 ท่าน คือ
-
รองศาสตราจารย์กาญจนา เงารังษี
-
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ทญ.ดร.วิสาขะ ลิ่มวงศ์
จำนวนผู้สำเร็จการศึกษา
-
ระดับปริญญาเอกและโท 2,809 ราย
-
ระดับปริญญาตรี 3,208 ราย
สำหรับคณะสหเวชศาสตร์ มน. ดิฉันขอแสดงความยินดีกับบุคลากรของคณะ 2 ท่าน คือ
-
ผู้ช่วยศาสตราจารย์อรทัย ตั้งวรสิทธิชัย เข้ารับพระราชทานปริญญาวิทยาศาสตรดุษฎีบัณฑิต ทำให้คณะของเรามี ดร.ในสาขาเทคนิคการแพทย์ เพิ่มขึ้นอีก 1 ท่าน (รวมเป็น 4 ท่าน ในปี 49 นี้)
-
คุณเสาวภาคย์ รุ่งเรือง นักวิชาการเงินและบัญชี เข้ารับพระราชทานปริญญาการศึกษามหาบัณฑิต ทำให้คณะเรามีบุคลากรสายสนับสนุนที่มีวุฒิระดับปริญญาโท เพิ่มขึ้นอีก 1 ท่าน (รวมเป็น 4 ท่านเช่นกัน ในปี 49 นี้)
น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่บุคลากรของคณะสหเวชศาสตร์ ทั้งสายวิชาการและสายสนับสนุน ล้วนเป็นผู้มีความใฝ่รู้ และมุ่งมั่นพัฒนาตนอย่างต่อเนื่อง ทุกวันนี้ ก็ยังมีบุคลากรของคณะฯ กำลังศึกษาต่อกันอยู่อีกหลายท่าน ซึ่งทางคณะ ก็ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ เพราะบุคลากรที่มีคุณภาพ สำคัญยิ่งกว่าทรัพยากรเกื้อหนุนใดใด นอกจากความรู้ที่พัฒนาสูงขึ้นแล้ว ยังมีสิ่งที่ต้องพัฒนาควบคู่ไปด้วย ดังพระราโชวาทของสมเด็จพระเทพฯ ที่พระราชทานแก่มหาบัณฑิต และดุษฎีบัณฑิต ในวันนี้ ซึ่งดิฉันขออัญเชิญใจความสำคัญ มาเก็บไว้เตือนใจใน Blog ดังนี้
บัณฑิตในที่นี้คงจะได้มีหน้าที่การงานทำแล้วเป็นส่วนใหญ่ และคงจะได้รับความรู้ด้วยตนเองแล้วว่า การทำงานร่วมกันกับคนหมู่มากนั้น มีความยากลำบากและสลับซับซ้อนยิ่งกว่าการเรียนหลายเท่า ทุกคนจึงจำเป็นต้องเรียนรู้เหตุและปัจจัยต่างๆ ที่จะทำให้การทำงานร่วมกันประสบความสำเร็จเสียก่อน เบื้องต้น แต่ละคนจะต้องทำความเข้าใจให้ถ่องแท้ว่า คนเราแม้จะเฉลียวฉลาดเพียงใด ถ้าทำงานเพียงลำพังตน ก็คงได้งานจำกัดเท่าที่ความสามารถของคนๆหนึ่งจะกระทำได้ ยิ่งเป็นงานใหญ่งานยาก ก็ยิ่งต้องอาศัยความรู้ความสามารถของแต่ละคนอย่างเหมาะสม มีการรับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกันอย่างกว้างขวาง และมีการทำงานที่ประสานสอดคล้องกัน การทำงานในลักษณะร่วมกันคิดร่วมกันทำเช่นนี้ ย่อมจะทำให้งานที่ทำดำเนินไปอย่างราบรื่นมีประสิทธิภาพ และสำเร็จผลสมบูรณ์ดังที่ประสงค์ เป็นประโยชน์เป็นความดีความชอบของทุกคนทุกฝ่าย ซึ่งในที่สุดก็จะเป็นผลดีแก่ประเทศชาติโดยส่วนรวมด้วย